Special District 9 – เขตพิเศษที่ 9 - ตอนที่ 136 คลื่นลูกใหม่
ตอนที่ 136 คลื่นลูกใหม่
หลังงานศพเสร็จสิ้น ขณะจางเทียนกําลังจะออกจากคฤหาสน์เริงรมย์ ชายหัวโล้นที่กําลังเมาก็โผล่ออกมาตะโกนจากชั้นสองว่า “เฒ่าจาง!”
“มีอะไรหัวโล้น?” จางเทียนถามกลับ
“ขึ้นมานี่ก่อน ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย”
“หม? คุยเรื่องอะไร?”
“ขึ้นมาก่อน!”
สิบหกนาทีต่อมาในห้องทํางานเก่าของหยวนหัว จางเทียนนั่งลงบนโซฟาและถามด้วยรอยยิ้ม “จะคุยอะไรกับฉัน?
“ตอนนี้เฒ่าหยวนตายแล้ว” ชายหัวโล้นลูบหัวไปมาขณะนั่งบนเก้าอี้ เขาพยายามเรียบเรียงคําพูดครูหนึ่งก่อนถาม “ฉันต้องการคุยเรื่องอนาคตของบริษัทกับนาย”
จางเทียนอึ้งไปเล็กน้อยก่อนตอบกลับ “มีอะไรที่ต้องหารือกันอีก? ก่อนเฒ่าหยวนตายเขาก็พูดชัดเจนแล้วไม่ใช่เหรอ…ว่าให้หยวนเค่อขึ้นเป็นเจ้าของบริษัทและให้นายเป็นคนคอยสนับสนุนเขา!”
“อย่าพูดถึงเรื่องไร้สาระนั่นเลย นายก็รู้ว่าฉันไม่สนใจเรื่องพรรค์นั้น” ชายหัวโล้นตอบก่อนถามเข้าประเด็นทันที “ฉันแค่อยากได้ความเห็นของนายก็เท่านั้น….นายโอเคไหมกับการที่หยวนเค่อจะขึ้นเป็นใหญ่?”
จางเทียนเงียบไปครู่หนึ่งก่อนตอบ “ทําไมฉันจะไม่เห็นด้วยล่ะ? เฒ่าหยวนเป็นคนตั้งบริษัทขึ้นมา มันขึ้นอยู่กับเขาแล้วว่าจะให้ใครขึ้นมาแทน!”
“คิดงั้นจริงๆ เหรอ?” ชายหัวโล้นถาม
จางเทียนจ้องหน้าชายหัวโล้นด้วยสีหน้างงงวย “นายหมายความว่าไง?”
“เปล่า ก็แค่ถามว่านายจะสนับสนุนหยวนเค่อจนสุดทางรึเปล่า?”
“ยังไม่ชัดอีกเหรอว่าฉันยืนอยู่ข้างไหน? เขาจะทําอะไรก็ทําไปสิ ฉันยังต้องทําอะไรอีกต้องคุกเข่าแล้วพูดทรงพระเจริญฝ่าบาทด้วยไหม?” จางเทียนตอบอย่างหงุดหงิดขณะหยิบกล่องบุหรี่ออกมา “ ต่อให้เฒ่าหยวนยังอยู่หรือหยวนเค่อจะได้ขึ้นมาแทนนายก็ยังเป็นที่นับถือของทุกคน ถ้านายเห็นด้วยก็ไม่จําเป็นต้องมาถามฉัน”
อาจเพราะดื่มมากไป ทําให้ชายหัวโล้นคิดรําลึกย้อนไปถึงตอนที่ร่วมทุกร่วมสุขมาด้วยกัน เขาพูดขึ้นทั้งดวงตาที่เริ่มแดงเล็กน้อย “เฒ่าจาง ถ้าไม่ใช่เพราะเฒ่าหยวนเราคงไม่มีทุกวันนี้ ไม่ต้องอดมื้อกินมื้อแถมมีเงินใช้เหลือเฟือ ฉะนั้นฉันหวังว่าพี่น้องที่ร่วมชะตากรรมอย่างพวกเราจะไม่ทําอะไรแผลงๆ เข้าใจสิ่งที่ฉันพูดใช่ไหม?”
จางเทียนทอดสายตาไปนอกหน้าต่าง เขาจุดบุหรี่สูบพลางพูด “ฉันขอถามนายอย่างสิ”
“อะไร?”
“พี่น้องร่วมชะตากรรมอย่างพวกเรานี้รวมไปถึงหยงตงด้วยรึเปล่า?”
คําถามนั้นทําให้ชายหัวโล้นถึงกับพูดไม่ออก
“งั้นฉันขอถามกลับนะ ถ้าตอนนั้นอีกฝ่ายขอแลกตัวฉันแทนที่จะเป็นหยงตง เฒ่าหยวนจะยอมรึเปล่า?” จางเทียนสูบบุหรี่ขณะถาม
“นั่นมันคนละเรื่อง!” ชายหัวโล้นตะโกนออกมาอย่างร้อนรน “ฉันบอกหยงตงแล้วว่าทันทีที่อีกฝ่ายปรากฏตัวฉันกับหยวนหัวจะเข้าไปช่วยกลับมาเอง! อยู่ด้วยกันมาตั้งหลายปี นายเคยเห็นหยวนหัวลงมือทําอะไรด้วยตัวเองรึเปล่า? เคยคิดบ้างไหมว่าทําไมถึงยอมส่งหยงตงไป? เพราะเขามองว่าความอยู่รอดของบริษัทและพี่น้องร่วมอุดมการณ์อีกหลายพันคนต้องมาก่อนไง! ถ้าเป็นนายจะเลือกแบบไหน?”
“ฉันไม่ใช่หยวนหัว แต่ไม่ว่ายังไงมันก็เป็นความจริงที่เขาจงใจปล่อยให้หยงตงเดินไปหากับดัก” จางเทียนกล่าวขณะยืนขึ้น “ตอนนี้เฒ่าหยวนตายไปแล้ว ไม่มีประโยชน์ที่จะมารื้อฟื้นว่าเขาคิดถูกหรือผิด เพราะถึงยังไงเรื่องที่เขาทําก็ได้ทิ้งแผลไว้ในใจของทุกคนไปแล้ว”
ชายหัวโล้นเริ่มเข้าใจความคิดของจางเทียนมากขึ้น ลูกผู้ชายแค่มองตากันแวบเดียวก็รู้แล้ว คนที่ตั้งใจที่จะหันหลังให้กันต้องมีเหตุผลแน่นอน
“ฉันแทบไม่ได้พูดถึงบริษัทเลยแม้แต่ตอนที่เฒ่าหยวนยังอยู่” จางเทียนสูบบุหรี่อีกครั้งก่อนกล่าวเสริม “นายไปคุยกับหยวนเค่อและตัดสินใจเอาเองเถอะ ฉันไม่ติดใจอะไร”
ชายหัวโล้นก้มหน้าเงียบครูใหญ่ก่อนตอบกลับอย่างยอมจํานน “เฒ่าจางถ้าสักวันนายจะไป..ฉันหวังว่าเราจะจากกันด้วยดีนะ”
จางเทียนประหลาดใจเล็กน้อยก่อนตอบ “นายคิดมากเกินไปแล้ว”
“อืม ฉันก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น”
“เอาล่ะ ช่วงนี้นายคงเหนื่อยมากพักผ่อนให้เต็มที่เถอะ ฉันขอตัวก่อน” จางเทียนยิ้มก่อนออกห้องไป
ชายหัวโล้นนั่งคิดอยู่บนเก้าอี้พลางหยิบกล่องบุหรี่ขึ้นมา
“แอ๊ด!”
หยวนเค่อเปิดประตูเดินออกมาจากห้องรับรองก่อนเอ่ยถาม “พี่ว่าฉันยังคิดมากอยู่รึเปล่า?”
“เฮ้อ!”
ชายหัวโล้นควงไฟแช็กในมือพลางตอบว่า “ถ้าเราจนกว่านี้คงไม่ต้องมานั่งคิดเรื่องอื่นให้หนักหัว”
ในรถ
จางเทียนถามคนในสาย “นายแน่ใจนะ?”
“แน่ใจครับ หลิวชุนถูกจับแล้ว ส่วนฌาสามก็กําลังหลบหนีอยู่” คนปลายสายตอบ
จางเทียนครุ่นคิดก่อนเหลือบมองนาฬิกาและสั่งว่า “จองตั๋วรถไฟไปเฟิงเปยคืนนี้ให้ที่”
“ได้ครับ”
“เราจะไปกันแค่ไม่กี่คน อย่าบอกใครล่ะ” จางเทียนสั่งอย่างเข้มงวด
“เข้าใจแล้วครับ”
หนึ่งชั่วโมงต่อมา ณ อพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่งในซ่งเจียง
หยวนเค่อนั่งพูดกับเฒ่าสามบนโซฟา “นายควรเลิกใส่ชุดได้นี้แล้ว”
“อืม ผมรู้” เฒ่าสามพยักหน้าตอบ
“นี่เฒ่าสาม มีเรื่องหนึ่งที่ฉันอยากให้นายจัดการ”
“เรื่องอะไรครับ?”
หยวนเค่อเข้าไปกระซิบสองสามคําที่ข้างหูของเฒ่าสาม
พอได้ยินสิ่งที่หยวนเค่อพูดเฒ่าสามก็แสดงสีหน้าตกใจพลางถามว่า “จําเป็นต้องทําขนาดนั้นเลยเหรอ? แล้วคุยกับพี่หัวโล้นโล้นรึยัง?”
“ไม่จําเป็นต้องบอกเขา” หยวนเค่อส่ายหัว “เรื่องนี้มีแค่นายกับฉันที่รู้”
เฒ่าสามถูฝ่ามือไปมาขณะถามอย่างไม่เข้าใจ “ผมไม่เข้าใจ พรรคพวกที่ร่วมอุดมการณ์มาด้วยกันมาถึงจุดนี้ได้ยังไง?”
“ถ้าคิดว่าทําไม่ได้ฉันจะหาคนอื่นมาทําแทน” หยวนเค่อบอกเฒ่าสามด้วยสีหน้าจริงจัง “นายคือคนที่ใกล้ชิดกับฉันที่สุดแล้ว ฉันจะไม่ทําให้นายลําบากใจหรอก”
เฒ่าสามหันไปตอบหยวนเค่อ “ผมมีทุกวันนี้ได้เพราะคุณเพราะงั้นผมจะทําเอง”
ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ
หยวนเค่อนั่งสูบบุหรี่มวนแล้วมวนเล่าบนโซฟา ไม่นานเขาก็ลุกขึ้นไปตบไหล่ของเฒ่าสาม “พักผ่อนเยอะๆ นะ”
ห้องทํางานในคฤหาสน์เริงรมย์
เสี่ยวจิ่วปลุกชายหัวโล้นที่นอนหลับอยู่
“มีอะไร?” ชายหัวโล้นถามด้วยอารมณ์หงุดหงิด
“เขาไปเฟิงเป๋ยแล้ว” เสี่ยวจิ่วพูดรวบรัด “ไปกับพรรคพวกอีกห้าคน”
ชายหัวโล้นตะลึงอยู่พักหนึ่งก่อนค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งตัวตรง เขาพลางลูบหน้าและถอนหายใจอย่างแรง “ไปจองตั๋ว”
เสี่ยวจิ่วยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม
“มีอะไรอีก?” ชายหัวโล้นเงยหน้าขึ้นถาม
“ตอนนี้หยวนเค่อเข้าไปจัดการกับเรื่องนี้แล้ว เราควรเข้าไปยุ่งจริงๆ เหรอ?” เสี่ยวจิ่วถาม
ชายหัวโล้นตะลึงงันไปครู่หนึ่งก่อนถามเสียงสั่น “วะ…ว่าไงนะ?”
เสี่ยวจิ่วจ้องไปที่ชายหัวโล้นโดยไม่พูดอะไรครู่หนึ่งก่อนหันหลังกลับไปและทิ้งท้ายไว้ว่า “ฉันจะไปจองตั๋ว”
ขณะอยู่ในรถหยวนเค่อหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาผู้กํากับ
“ฮัลโหล?”
“ผู้กํากับหลี่ผมคิดว่าควรบอกคุณไว้ล่วงหน้า ผมจะลาออกจากสํานักงานตํารวจครับ”
ผู้กํากับหลี่เงียบไปครู่หนึ่งก่อนถามกลับ “นายคิดดีแล้วใช่ไหม?”
“พรุ่งนี้ผมจะยื่นจดหมายลาออกให้คุณกับสํานักงานตํารวจ”
“เข้าใจแล้ว จากนี้ไปก็ขอให้โชคดี” ผู้กํากับหลี่ตอบอย่างใจเย็น
หยวนเค่อเงียบไปครู่หนึ่งก่อนพูดขึ้น “ผู้กํากับหลี่คนที่มีส่วนรู้เห็นกับการตายของพี่ผมจะต้องชดใช้ด้วยชีวิต”
“บอกฉันได้เลยถ้านายพบหลักฐานอะไร ฉันจะไขคดีให้เอง” ผู้กํากับหลี่ตอบพร้อมหัวเราะเบาๆ
จากนั้นผู้กํากับหลี่ก็วางสาย หยวนเค่อเหยียบคันเร่งไปที่สถานีซ่งเจียงทันที
ซึ่งเจียงกําลังเข้าสู่ยุคเปลี่ยนผ่านอํานาจ คลื่นลูกใหม่กําลังจะปรากฏตัว