Special District 9 – เขตพิเศษที่ 9 - ตอนที่ 142 จากไปโดยไม่มีอะไรติดค้าง
ตอนที่ 142 จากไปโดยไม่มีอะไรติดค้าง
สองชั่วโมงต่อมา
ในร้านอาหารที่เจียงโจว โกโก้จิบไวน์ขาวก่อนหันไปมองฉินอวี่ “เป็นอะไร? อาหารที่ฉันเตรียมให้ไม่อร่อยรึไงถึงได้ทําหน้าแบบนั้น?”
ฉินอวี่กลืนไวน์ลงคอด้วยสีหน้าแดงระเรื่อ “ตาเฒ่านั่นคงจะอยู่ได้ไม่นาน”
โกโก้อึ้ง “ หมายถึงอาของหม่าเหลาเอ๋อเหรอ?”
“อืม” ฉินอวี่พยักหน้า
แมวเฒ่าที่กําลังเมาได้ที่ นั่งถอนหายใจเฮือกใหญ่อยู่ด้านข้าง
โกโก้ไม่ค่อยรู้จักเฒ่าหม่านักแต่ก็เคยได้ยินเรื่องของเขามาบ้าง เธอจึงรู้ว่าควรพูดด้วยน้ำเสียงอย่างไร “เขาคงทุกข์ใจมานานแล้วนี้อาจเป็นการปลดปล่อยเขา”
“มาดื่มกันเถอะ” ฉินอวี่รินไวน์ด้วยท่าทางงุ่มง่าม
ทั้งสามชนแก้วกัน งานนี้มันควรเป็นการเลี้ยงอําลาที่สนุกสนานแต่ทุกคนกลับรู้สึกกระอักกระอ่วน
งานเลี้ยงกินเวลาจนถึงดึกดื่น หลังจากที่โกโก้ชําระเงินไปเรียบร้อย ฉินอวี่ก็เหลือบดูนาฬิกาพลางพูด “ช่วยฉันเตรียมการสําหรับไปเฟิงเป่ยคืนนี้หน่อย”
แมวเฒ่าตกตะลึง “นี่นายจะไป…?”
“ฉันจะไปรับเขากลับซึ่งเจียงแทนเหลาเอ๋อเอง” ฉินอวี่ตอบรวบรัด
“ฉันต้องบอกเหลาเอ๋อไหม?” แมวเฒ่าถาม
“อืม ยังไงต้องบอกให้เขารู้อยู่ดีคงไม่มีประโยชน์ถ้าจะปิดบังไว้”
“โอเค” เฒ่าแมวพยักหน้า
ระหว่างนั้นโกโก้ฟังทั้งสองคุยกันยังไม่ทันจบเธอก็หยิบโทรศัพท์ออกมาและเดินเลี่ยงออกไปเพื่อนัดหมายการเดินทางให้ฉินอวี่
ไม่กี่นาทีต่อมา ทั้งสามก็เดินออกจากร้านอาหาร
โกโก้หันไปคุยกับฉินอวี่ “คือว่า…ฉันมีเรื่องที่ไม่ได้บอกนายมาสักพักแล้ว ครอบครัวฉันมีแต่คนคัดค้านเรื่องการเป็นหุ้นส่วนของเรา เพราะพวกนายไปยุ่งกับพวกบริษัทหลงสิงมากเกินไปจนทําให้กลัวว่าจะพากันลงหลุมซะหมด”
ฉินอวี่ที่เมาเล็กน้อยตอบพร้อมกับกลิ่นสาบไวน์ “ฉันก็ว่าอย่างนั้น”
“อย่าให้ฉันต้องลําบากใจเลย” โกโก้เตือนด้วยคําพูดถนอมน้ำใจ “เพราะฉันยังมีพวกอาวุโสคอยจับตาดูฉันอยู่ด้วย”
“ฉันจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยเอง” ฉินอวี่สัญญาอย่างเคร่งขรึม
“ดีมาก” โกโก้พูดขณะยืนมือออกไป “ฉันขอให้นาย เดินทางโดยสวัสดิภาพและต่อไปนี้อย่าได้มีอุปสรรคได้มาขวางกั้นการเป็นหุ้นส่วนของเรานะ”
ฉินอวี่จับมือของโกโก้แน่นก่อนจะมองรถที่ผ่านไปมาจู่ๆ ก็เอ่ยขึ้น “โอ๊ะ! เกือบลืมไปเลย…ฉันมีของขวัญมาให้เธอด้วย”
โกโก้ประหลาดใจ “ของขวัญ?!”
“แป็บนะ” ฉินอวี่เดินลงบันไดไปเปิดประตูรถด้านหลัง เขาหยิบกระเป๋าใบเล็กๆ ออกมาและกลับไปยืนข้างโกโก้
“มันคืออะไรเหรอ?”
“ฉันเห็นเธอชอบใส่ผ้าพันคอก็เลยให้คนไปซื้อในเฟิงเป่ยนะ” ฉินอวี่พูดต่อ “เธอน่าจะรู้ว่าฉันเป็นคนจนคงไม่มีปัญญาซื้ออะไรหรูหรา ทําได้แค่แสดงความขอบคุณด้วยการซื้อของที่เธออาจชอบมาให้เท่านั้น”
โกโก้เปิดกระเป๋าที่ออกแบบมาอย่างประณีตและหยิบผ้าพันคอขนฟูสีชมพูออกมา เธอยิ้มกว้างด้วยความประหลาดใจ “คิดไม่ถึงจริงๆ นะเนี่ย! นึกว่านายจะเป็นคนที่เอาแต่เมาหัวราน้ำและขี้โม้ไปทั่ว…นายพิถีพิถันมากกว่าที่ฉันคิดซะอีก!”
“เธอช่วยเราทั้งสองครั้งแล้ว แม้ว่าฉันจะยังไม่เคยพูดอะไรแต่ในใจก็รู้สึกขอบคุณ” ฉินอวี่พูดด้วยใบหน้าที่แดงเล็กน้อย “ไม่มีอะไรแฝงหรอก ฉันแค่อยากจะขอบคุณสําหรับทุกสิ่งที่ผ่านมา”
โกโก้กะพริบตาอย่างเจ้าเล่ห์พลางถาม “หืม? นายจะมีเจตนาอื่นอีกเหรอ? อยากรู้จริงๆ ว่านายหมายถึงอะไร”
“อ่า… ฉันหวังว่าเธอคงชอบมัน ขอตัวก่อนนะ” ฉินอวี่ เดินไปขึ้นรถของเขา
โกโก้ยิ้มอย่างชอบใจขณะที่หยิบผ้าพันคอสีชมพูออกจากกระเป๋ามาพลิกดูไปมาอย่างละเอียด “ๆ รสนิยมของพวกผู้ชายนี่อธิบายยากจริงๆ”
เมื่อแมวเฒ่าเห็นว่าฉินอวี่แย่งเป้าหมายของตนไปทีละคน จึงพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “แกมันเจ้าเล่ห์!”
พอขึ้นรถแล้วฉินอวี่ก็โบกมือให้โกโก้พร้อมตะโกนว่า “แล้วเจอกันนะน้องสาว!”
“ฉันชอบของขวัญชิ้นนี้มาก! นายควรจะดีใจนะที่ได้รับคําขอบคุณจากฉัน!” โกโก้หยิบผ้าขึ้นพันรอบลําคอขณะโบกมือกลับด้วยรอยยิ้มสดใส
“ไปกันเถอะ ฉันจะไปส่งนายออกจากเจียงโจว!” แมวเฒ่าเห็นว่าโกโก้คงไม่มีเรื่องที่ต้องให้เขาช่วยแล้วจึงขึ้นรถกับฉินอวี่
…..
ณ ซ่งเจียง
ที่ร้านขายเนื้อข้างบ้านเลขที่แปดสิบแปด โสเภณีในวัยห้าสิบหกสิบเศษกําลังคุยกับสาววัยรุ่นอย่างเกียจคร้าน
“เขี้ยว นายยังเวอร์จิ้นอยู่หรือเปล่า?” หญิงที่นุ่งน้อยห่มน้อยถามเหมือนเป็นเรื่องเคยชิน
เขี้ยวเป็นผู้ชายที่เจนสังคม จากที่เขาเข้าไปร้านนี้บ่อยจึงตอบอย่างไม่ละอายเลย “ลูบๆ คลําๆ นี่นับไหมล่ะพี่?”
“ไม่นับสิ!” ผู้หญิงคนนั้นตอบด้วยแววตาเป็นประกาย “ไม่คิดจะหาเงินบ้างเหรอ? หลังจากเปิดซิงแล้วพี่สาวคนนี้จะปรนเปรอคุณน้องอย่างดีเลย”
“อย่ามาหยอกกันสิ!” เขี้ยวตอบขณะกวาดพื้น “พี่จะทําให้ผมตบะแตกหรือยังไงกัน?”
“ฮ่าๆๆ!” ผู้หญิงคนนั้นปิดปากของเธอขณะหัวเราะ “เด็กคนนี้น่าสนใจจริงๆ”
“ตุบ ตุบ!”
ขณะนั้นเองเสียงเอะอะก็ดังขึ้นจากด้านบนเขี้ยว มองขึ้นไปชั้นสองเห็นแม่ของเซียงเซียงตกบันไดจากชั้นสอง
“บ้าไปแล้วเหรอ!” เจ้าของร้านกุมหัวของเธอขณะตะโกนอย่างโกรธจัด
“ผิดเหรอที่จะเก็บค่าคุ้มครองจากแก!” ชายอ้วนที่เมามายเดินต้วมเตี้ยมเซลงบันไดมา “ถ้าไม่ใช่เพราะฉันดูแลที่นี่ ร้านนี้คงถูกคนอื่นปิดไปแล้วเว้ย!”
เจ้าของร้านกัดฟันแน่นขณะจ้องไปที่ชายตนนั้นด้วยความโกรธ แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรสักคํา
“อีกะหรี่ไร้ราคาเอ้ย!” ชายคนนั้นติดกระดุมกางเกงในขณะเดินไปทางประตูอย่างมง่ามตั้งใจจะออกจากร้าน
เซียงเซียงยืนร้องไห้อยู่หน้าเคาน์เตอร์ “แกกล้าดียังไงมาทําร้ายแม่ฉัน? ฉันจะฆ่าแกไอ้อ้วน!”
ชายคนนั้นชําเลืองมองและถ่มน้ําลายใส่อย่างดูถูก “นังเด็กเหลือขอเลี้ยงเสียข้าวสุก!”
หลังสิ้นเสียง ชายคนนั้นก็ออกจากร้านไป
เขี้ยวชําเลือกมองเงาตะคุ่มที่เดินออกไปด้วยหางตาก่อน รีบเข้าไปพยุงเจ้าของร้านให้ลุกขึ้น “น้าซู โอเครึเปล่าครับ?”
“ไอ้สารเลวนั่นมันไม่ใช่คน! มันคือสัตว์…สัตว์นรก!” เจ้าของร้านยืนตะโกนอย่างฉุนเฉียว
เขี้ยวปลอบเธอก่อนจะวิ่งไปปลอบโยนเซียงเซียงด้านข้าง “ไม่ต้องห่วงนะน้องสาว….คุณน้าไม่เป็นไร”
…..
สองวันต่อมา
ดวงอาทิตย์ส่องแสงจ้าขึ้นจากทิศตะวันออก ย้อมหน้าต่างทางเดินในเรือนจําให้เป็นสีทองสวยงาม
เฒ่าหม่าลุกขึ้นล้างหน้า เขาก็ได้ยินเสียงตะโกนเรียกจากข้างนอก “หม่าป๋อสิง! ยืนรอฟังคําพิพากษาที่หน้าประตู!”
ประโยคนั้นทําให้นักโทษจากห้องขังอื่นพากัน ลุกขึ้นยืนเช่นกัน
“ตามสบายเถอะ ไม่ต้องห่วงฉัน” ผู้เฒ่าหม่ามองพวกเขาและยิ้มอย่างใจเย็น “ฉันขอบคุณสําหรับความห่วงใยตลอดสามเดือนที่ผ่านมา”
ทุกคนมองเฒ่าหม่าโดยไม่พูดอะไรเลย
เสียงเสียดสีของประตูสนิมเขรอะเปิดออก ผู้คุมเรือนจํามองไปที่เฒ่าหม่าและถามว่า “อยากจะพูดอะไรไหม?”
“เดี๋ยวจะถึงเวลาอาหารแล้ว ค่อยคุยตอนนั้นก็แล้วกัน” เฒ่าหม่าเดินออกจากห้องขัง “ไปกันเถอะ”
ผู้คุมเดินขนาบข้างเฒ่าหม่าช้าๆ ท่ามกลางแสงอบอุ่นที่พาดผ่านเข้ามาจากด้านนอก
ไม่กี่วินาทีต่อมาก็มีเสียงตะโกนดังขึ้นจากทั่วเรือนจํา
“เฒ่าหม่า เดินทางดีๆ นะ!”
“คุณต้องพบเจอชีวิตที่ดีขึ้นแน่นอน!”
เฒ่าหม่ายังคงเดินตรงไปข้างหน้าโดยไม่หันไปมองคนเหล่านั้น
หนึ่งชั่วโมงต่อมา ในสถานรกร้างแห่งหนึ่งในเฟิงเป่ย เสียงปืนดังกึกก้องขึ้นสามครั้งติด
เขาตายแล้ว..ตายท่ามกลางดินแดนอันหนาว เหน็บภายใต้แสงยามเช้าที่อบอุ่น
….
วันต่อมา
ฉินอวี่นําขี้เถ้าของเฒ่าหม่าออกจากสถานที่ฝังศพของเรือนจําที่หนึ่งแห่งเฟิงเป่ยกลับซ่งเจียงตามลําพัง