Special District 9 – เขตพิเศษที่ 9 - ตอนที่ 149 คําสั่ง
Special District 9 ตอนที่ 149 คําสั่ง
ก่อนเขี้ยวจะออกจากบ้าน เขาซักเสื้อผ้าใช้แล้วเช็ดขอบเตียงขอบหน้าต่างรวมไปถึงถูบ้านทุกซอกมุมเขารักบ้านหลังนี้และรู้สึกขอบคุณฉินอวี่ที่ช่วยดูแลจากใจจริง เขารู้ตัว ว่าในตอนนี้ไม่สามารถตอบแทนบุญคุณฉินอวได้แม้แต่อย่า งเดียว เขาจึงทํางานบ้านทุกอย่างเท่าที่พอจะทําได้
ฉินอวี่รู้สึกกระวนกระวายใจอย่างมากหลังได้อ่านโน้ตที่เขี้ยวทิ้งไว้ ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าเด็กคนนั้นต้องแบกรับความรู้สึกมากมายในการอยู่ร่วมกับคนแปลกหน้า รวมไป ถึงต้องคอยระแวงว่าจะถูกทอดทิ้งอีกครั้งหรือเปล่า แต่เขา กลับใช้คําพูดไม่ยั้งคิดเมื่อวานจนเกินเรื่องขึ้นเขี้ยวอาจดูเป็น คนหัวรั้นทว่าลึกๆ แล้วขี้ระแวง เขี้ยวคงทนไม่ได้หากต้องถูกฉินอวี่ไล่ออกจากบ้านจึงเลือกที่จะออกไปเอง
ทันทีที่ถึงร้านขายเนื้อ ฉินอวี่ตะโกนหาเซียงเซียงทันทีเมื่อหาจนทั่วแล้วไม่พบจึงออกจากร้านไป
หลังตะวันลับฟ้า แสงไฟบนถนนทั่วเขตชายแดนซึ่งเจียงสว่างไสวขึ้น ถึงเวลาที่เหล่าทหารต้องเปลี่ยนเวร
มีรถบรรทุกสินนค้าหลายคันขับเรียงแถวไปยังจุดตรวจชายแดนเตรียมออกจากเมือง
เขี้ยวตัวน้อยนั่งยองอยู่ตรงขอบถนนมองรถกับผู้คนที่สัญจรไปมา
ด้วยหนีออกจากบ้านฉินอวี่มาแต่ไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหนและไม่รู้ว่าที่ไหนที่เขาคู่ควรจะอยู่
สามเดือนที่ผ่านมา แม้ฉินอวีกับเขี้ยวไม่ค่อยได้อยู่ด้วยกันมากนักเพราะฉินอวี่ต้องใช้เวลาพักฟื้นอยู่เจียงโจวเป็นส่วนใหญ่ แต่ถึงอย่างนั้นเขี้ยวก็ผูกพันกับบ้านเลขที่แปดสิบแปดมาก เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกเหมือนได้มีบ้านเป็นของตัว
เอง
เขี้ยวใช้เวลานั่งรําลึกความหลังท่ามกลางสภาพอากาศหนาวเหน็บ รู้สึกราวกับตัวเองเพิ่งตื่นจากฝันอันแสนหวาน…
ท้ายที่สุดเขาก็ต้องกลับมาอยู่ตัวคนเดียว เขาเกิดมาเพื่ออยู่ตัวคนเดียวบนโลกนี้จริงๆ
เขี้ยวไม่ใช่คนขี้แยแต่กลับห้ามน้ําตาที่ไหลออกมาไม่ได้เขากัดปากพยายามสกัดกั้นความเศร้าโศกก่อนลุกขึ้นยืนและเดินไปที่จุดตรวจชายแดน
เขาตั้งใจจะมอบตัวโดยการแจ้งเจ้าหน้าที่ว่าไม่มีใบอนุญาตพํานัก แน่นอนว่าเขาต้องถูกส่งตัวไปเมืองในเขตพัฒนาที่ซึ่งเขาต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอด
หลังเดินฝ่าลมหนาวไม่นานก็พบว่าตัวเองยืนอยู่หน้าป้อมยามแล้ว เขี้ยวสูดหายใจลึกก่อนเอื้อมมือไปเปิดประตู
เป็นเวลาเดียวกับที่ชายวัยกลางคนอายุสี่สิบปีเดินผ่านจุดตรวจเข้ามาพร้อมเด็กสองคนพอดี
เด็กชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างชายวัยกลางคนดูอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขี้ยวชี้ไปยังแผงขายอาหารข้างถนน “พ่อ ผมอยากกินก๋วยเตี๋ยวนั่น”
“ก๋วยเตี๋ยวอะไรล่ะ!” ชายวัยกลางคนตะคอก “ทนไปก่อนที่ทํางานพ่อมีข้าวเลี้ยง”
“แต่ผมอยากกินก๋วยเตี๋ยวนี่”
“โธ่เว้ย!” ชายวัยกลางคนหันมองรอบตัวก่อนชักสีหน้าด่าเด็กชาย “เคยบอกแล้วไม่ใช่รึไงว่าอย่ามาขอกินข้าวต่อ หน้าคนอื่น พ่อไม่มีเงิน!”
เด็กชายก้มหน้าเงียบปากอย่างว่าง่าย
แต่ขณะที่ชายวัยกลางคนกําลังจะเดินต่อ เด็กหญิงที่อยู่ทางขวาก้พูดเสียงแผ่วว่า “พ่อคะ…หนูก็หิวเหมือนกัน…”
ชายวัยกลางคนหยุดเดินและหันไปมองเด็กทั้งสอง
ทั้งสามเงียบไปครู่หนึ่งก่อนผู้เป็นพ่อจะเดินไปที่แผงขายอาหาร “ผมขอก๋วยเตี๋ยวถ้วยหนึ่งครับ เอ่อ…ไม่สิ ขอสองเลยแล้วกัน”
“ได้เลย!” คนขายตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“เข้าไปกินเลยสิ” ชายวัยกลางคนลูบหัวเด็กชายก่อนบอกให้เด็กทั้งคู่เข้าไป
เมื่อผู้เป็นพ่ออนุญาต เด็กทั้งสองจึงวิ่งเข้าไปในนั่งรอบโต๊ะเก่าๆ ในร้าน
“พ่อมากินด้วยกันสิ”
“เดี๋ยวพ่อไปกินที่ทํางานเอา พวกลูกกินเถอะ” ชายวัยกลางคนทิ้งระยะห่างจากโต๊ะ
เมื่อเห็นภาพดังกล่าว เขี้ยวจึงอดร้องไห้ออกมาไม่ได้
ความโหดร้ายของชีวิตไม่ใช่การได้เป็นคนจนหรือคนไม่ดีแต่คือการได้มองเห็นและเปรียบเทียบชีวิตกับคนที่ดีกว่า มนุษย์มักถูกดึงดูดเข้าหาสิ่งที่พวกเขาไม่มี ซึ่งลําพังแค่ ความขัดสนในชีวิตก็ย้ําเตือนความเจ็บปวดได้ดีมากอยู่แล้ว
เขี้ยวจ้องมองเด็กสองคนตรงหน้าด้วยความอิจฉาก่อนกลั้นใจเคาะประตูป้อมยาม
แต่ทันใดนั้นก็มีมือหนาเอื้อมมาจับที่ไหล่
เขี้ยวรีบหันขวับไปมองก่อนพบว่าเจ้าของมือเป็นฉินอวี่ร่างโชกเหงื่อ
ภายใต้แสงไฟสลัวทั้งสองจ้องหน้ากัน เขี้ยวได้แต่อ้าปากค้างขณะฉินอวี่ขมวดคิ้วบ่น “บ่นนิดบ่นหน่อยก็ทนไม่ได้แล้ว รีไง?”
เขี้ยวกะพริบตาปริบด้วยความตกตะลึง ก่อนถามด้วยความสงสัยว่า “พี่มาอยู่นี้ได้ไง?”
“จะอะไรซะอีก ก็มาห้ามไม่ให้นายออกไปตายข้างนอกนั้นไง” ฉินอวีถอนหายใจก่อนลากคอเขียวไปด้วยกัน “ไปได้แล้วเดี๋ยวฉันพาไปเลี้ยงข้าว”
สิบนาทีต่อมา
บริเวณแผงอาหารเล็กๆ ฉินอวใช้กระดาษเช็ดตะเกียบสกปรกก่อนส่งให้เขี้ยว “ทําแบบนี้ไม่เกินไปหน่อยรึไง? อยู่กินข้าวฉันฟรีตั้งสามเดือนแต่จู่ๆ กลับหนีไปไม่บอกกล่าวสักคํา”
เขี้ยวก้มหัวตอบด้วยเสียงสั่นเครือ “ผม..ผมแค่กลัว กลัวว่าพี่จะเบื่อและเหนื่อยใจกับผม ถ้าต้องอยู่ไปแบบนี้ นผมยอมออกมาเองดีกว่าผมตั้งใจว่าจะประสบความสําเร็จ ให้ได้ก่อนกลับไปหาพี่”
“ที่! ส่องกระจกบ้างรึเปล่า? สภาพแบบนี้จะไปทําได้ยังไง?” ฉินอวี่พูดกวนประสาท “ไหนลองบอกมาซิ ประสบ ความสําเร็จที่ว่าของนายน่ะเป็นผู้ว่าการเขตพิเศษที่เก้างั้นเหรอ?”
“พี่จะดูถูกผมรึไง?” เขี้ยวเงยหน้าถาม
“นายก็เหมือนน้องขอฉัน คนเป็นพี่จะดูถูกน้องตัวเองได้ไง” ฉินอวี่พูดพลางยื่นจานให้ จากนั้นจึงครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อน พูดขึ้น “เขี้ยวเราต่างก็เป็นลูกผู้ชาย จะพูดตรงๆ แล้วกัน ฉันเองก็เพิ่งย้ายมาอยู่ซ่งเจียงได้ไม่นาน ยอมรับว่าบางครั้ง มันก็ลําบากกับฉันเหมือนพอสมควรเพราะงั้นจะให้นายอยู่ บ้านฉันตลอดไปคงไม่ได้”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นสายตาของเขี้ยวก็ฉายแววกังวลทันที
“เฮ้ย…อย่าเพิ่งคิดไปไกล ฉันไม่ได้หมายความว่าจะไล่นายออกไปซะหน่อย” ฉินอวีพูดพลางเทไวน์ขาวราคาถูกให้เขี้ยว “ถึงจะยังไม่เข้าวัยผู้ใหญ่ แต่นายก็ไม่ใช่เด็กแล้ว…จะ ให้อยู่บ้านเฉยๆคงไม่ดี”
“ผมออกไปหางานทําได้นะ” เขี้ยวพูดอย่างจริงจัง
“ฟังนะเขี้ยว คนจนอย่างพวกเรายิ่งเริ่มจากจุดต่ําต้อยเท่าไหร่ ยิ่งต้องหวังสูงให้มากเท่านั้น ถึงสักวันจะไปไม่ถึงเป้าหมาย อย่างน้อยก็ต้องไปให้ไกลกว่าคนอื่น” ฉินอวี่ถอนหายใจก่อนพูดต่อ “นายค่อนข้างเกเรแถมบุคลิกก็แย่ ฉันไม่คิด ว่านายจะทํางานให้ใครไหวเพราะงั้น…ฉันเลยคิดว่าจะส่งน ายไปเป็นทหาร”
เขี้ยวชะงักทันทีที่ได้ยิน
“ถ้านายตกลงก็ดื่มไวน์แก้วนี้ซะ แล้วจากนี้เราเป็นพี่น้องกัน” ฉินอวี่พูดอย่างจริงใจ “ฉันเองไม่มีครอบครัว เพราะในข้างหน้าที่เราได้เจอกันมันจะกลายเป็นการพบหน้าคร อบครัวครั้งแรกของฉัน”
กลางดึก
ฉินอวี่ที่กําลังเมาได้ที่เดินออกจากร้านโดยมีเขี้ยวช่วยประคอง เขากดโทรศัพท์ต่อสายหาผู้กํากับหลี “ฮัลโหล นาย ทําอะไรอยู่?”
ผู้กํากับหลี่ตอบอย่างไม่เข้าใจ “เอ่อ..เวลานี้ถ้าไม่นอนแล้วจะให้ฉันทําอะไร?”
“ฉันมีคําสั่ง”
“ว่าไงนะ?” ผู้กํากับหลี่กะพริบตาปริบ “คําสั่งเหรอนายเมารึเปล่าเนี่ย?”
“เลิกพูดจาเรื่อยเปื่อยได้แล้ว ฟังให้ดี…น้องชายฉันอยากเป็นทหาร รีบทําเรื่องและจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยซะ!” ด้วยความที่ฉินอวี่ดื่มหนักเกินไปทําให้เขาไม่รู้ตัวว่ากําลังคุยกับใครอยู่
ผู้กํากับหลี่เกาหัวด้วยความงุนงงก่อนเช็กเบอร์ที่โทรมาว่าเป็นฉินอวจริงๆ “ดื่มไปเยอะขนาดไหนเนี่ย? ตั้งสติให้ได้ก่อนมาพูดกับฉัน!”
“ก็บอกว่าอย่ามาพูดไร้สาระไง! รีบไปจัดการตามที่สั่ง เสร็จแล้วพรุ่งนี้โทรบอกฉันด้วย!” หลังออกคําสั่งเสร็จสิ้นอวี่ก็ตัดสาย
ผู้กํากับหลี่สวมชุดนอนนั่งอยู่บนเตียงและมองโทรศัพท์ด้วยสีหน้าประหลาดใจ “บ้าอะไรวะเนี่ย…”