Special District 9 – เขตพิเศษที่ 9 - ตอนที่ 178 นักข่าวหลินเหนียนเล่ย
Special District 9 – เขตพิเศษที่ 9 Special District 9 ตอนที่ 178 นักข่าวหลินเหนียนเล่ย
บนบันได
หยวนเค่อมองลงไปที่หวู่เวินเซิ่งและตอบว่า “ชักจะไม่เข้าท่าแล้ว ผมว่าต้องมีใครบางคนอยู่เบื้องหลังเล่ยจื่อแน่”
“เล่ย…หาเล่ยจื่อเพื่อตามล้างตามเช็ดให้มัน” หวู่เวินเซิ่งอ้าปากค้างและจับหน้าอกของเขาพลางพูดเป็นระยะ “เสียวเค่อช่วย..ช่วยฉันหน่อย”
“ยังมีคนอื่นอีกสองคนที่รู้เรื่องนี้” หวู่เหวินเฉิงตอบทันที “ต้องปิดปากพวกนั้น”
“ยังมีอีกสองคนที่เกี่ยวกับหลู่เหย้างั้นเหรอครับ?” หลานชายถามทันที
“อืม” หวู่เวินเซิ่งพยักหน้า “ฉันจะบอกเพื่อนที่สภานิติบัญญัติเพื่อเตรียมพร้อมสําหรับการกระจายข่าว และเราคงต้องชี้แจงความสัมพันธ์ของฉันกับลูกของฉันให้ชัด”
“แล้วเราจะกระจายข่าวยังไง? ก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าหวู่เหย้าเป็นลูกชายของลุง” หลายชายถามด้วยความไม่เข้าใจ
“แกโง่รึไง?!” หวู่เวินเซิ่งตะคอกพลางไอออกมาสองสามครั้ง “สินค้าของเหยียนคังล้วนเป็นอาวุธเถื่อน หวู่เหย้าก็ถูกหลอกให้ใช้เงินลงทุนของบริษัทไปลงทุนอีก”
“งั้นเหรอครับ” หลานชายพยักหน้า
หวู่เวินเซิ่งคว้ามือของหยวนเค่อ เขามองหน้าแล้วพูดอย่างจริงจัง “นายช่วยฉันหน่อยนะ..ฉันจะฝากตลาดในรัฐเจียงหนานให้นายดูแลแล้วกัน”
“วางใจได้เลยผมจะช่วยอย่างเต็มที่ให้ผ่านเรื่องนี้ไป” หยวนเค่อเดิมพันโดยไม่ลังเล
ในห้องทํางานผู้บัญชาการตํารวจ
เหวินหยงกังตบโต๊ะและตะโกน “ฉินอวี่! ใครใช้ให้นายสืบเรื่องคลังปืน?”
ฉินอวี่มองไปที่เหวินหยงกังซึ่งมีท่าทีตื่นตระหนก แต่ก็ทําให้ฉินอวีมั่นใจมากขึ้นว่าการตัดสินใจของเขาถูกต้องแล้ว
“พูด!”
“ผมเจอเบาะแสในสมุดจดเล่มนั้นเลยพาคนไป”
“แล้วทําไมถึงไม่รายงานก่อนล่ะ?!”
“เพราะผมไม่ไว้ใจหลิวเป่าเฉิน” ฉินอวี่พูดตามตรงและไม่คิดโทษตัวเอง
“หมดคําพูดจริงๆ หลิวเปาเฉินเป็นหัวหน้าของนายนะ มีอะไรทําไมถึงไม่ไว้วางใจเขา ห้ะ?” เหวินหยงกังโกรธมาก “ทําแบบนี้เท่ากับว่านายกําลังสร้างความขัดแย้งในสํานักงานของเรานะ”
“ผมมีสิทธิ์ที่จะสงสัยเขาอยู่แล้ว” ฉินอวีพูดต่ออย่างตรงไปตรงมา “เมื่อสองวันก่อนหลิวเปาเฉินเพิ่งถูกลงโทษจากการปฏิบัติหน้าที่ ดังนั้นผมจึงมีเหตุผลเพียงพอแล้วที่จะสงสัยเพื่อประโยชน์สูงสุดของคดีนี้”
เหวินหยงกังถึงกับพูดไม่ออกทําได้เพียงมองฉินอวี่นิ่งเงียบ
“คลังของพ่อค้าถูกกวาดล้าง และเราได้รวบรวมหลักฐานทั้งหมดมาแล้ว” ฉินอวี่มองไปที่เหวินหยงกังด้วยสายตาไร้อารมณ์ “ฉะนั้นการตัดสินใจของผมถูกต้องแล้วถ้าคิดว่าผมเก่งเรื่องการเรียกร้องนักละก็ ให้สารวัตรเข้ามาทําด้วยและผมจะให้ความร่วมมือกับการสอบสวน รองผู้กํากับเหวิน… ผมมีเรื่องที่ต้องไปจัดการ ขอตัวก่อนนะครับ”
หลังจากพูดจบฉินอวี่ก็หันหลังกลับ
เหวินหยงกังปัดปอยผมที่ร่วงลงปรกหน้าและกัดฟันแน่น “เฒ่าหลิ่นะ เฒ่าหลี่! เอาคนแบบนี้มาอยู่แถวหน้าได้ยังไงกัน?! ทําตัวน่าโมโหซะจริง! ได้ ได้เลย! ถ้าอย่างนั้นฉันจะเล่นเกมนี้กับนายเอง!”
พื้นที่ทํางานของทีมสี่
ฉินอวี่ออกคําสั่งกับทุกคนทันที “เราต้องจับเสี่ยวเหมียวและต้าจินให้ได้ พวกนั้นเป็นลูกน้องคนสนิทของหวู่เหย้า มันต้องรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างหวู่เวินเซิ่งและเหยียนคังแน่ๆ”
“รับทราบ!”
“รับทราบ!”
มีเพียงติงกั๋วเซินและฟู่เสี่ยวห่าวที่ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรมากนัก ส่วนอีกสามคนในกลุ่มที่อยู่มานานรู้สึกตื่นเต้นมาก เพราะไม่ได้ทําคดีเกี่ยวกับตระกูลหยวนมานานแล้ว และเรื่องที่หยวนเค่อทํากับกวนฉีจึงทําให้ทุกคนตั้งใจทําคดีนี้เป็นพิเศษเพื่อจะเอาคืนให้เขาในคืนนั้น
จู้เหว่ยและคนอื่นๆ ทํางานหามรุ่งหามค่ำเพื่อสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับที่อยู่ของเสี่ยวเหมียวและต้าจิน
ในเวลาเดียวกัน
อาคารสํานักงานสถานีออนไลน์
หลินเหนียนเล่ยกําลังรับประทานข้าวกล่องขณะมองไปที่เอกสารรายงานที่เธอเพิ่งจัดทําขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“นี่ เสี่ยวหลินยังไม่เลิกงานอีกเหรอจ๊ะ?” หญิงวัยสามสิบปีเดินเข้ามาทักทาย
หลินเหนียนเล่ยเงยหน้าขึ้นและตอบด้วยรอยยิ้ม “อ่าวคุณซวี๋จิ่วก็ยังไม่กลับเหรอคะ? พอดีฉันทําข่าวอยู่น่ะ”
“เด็กใหม่นี้ไฟแรงซะจริง” ซวี๋จิ่วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “แต่ใส่ใจสุขภาพด้วยล่ะ ทํางานหนักทุกวันก็แก่เร็ว”
“ไม่เป็นไรค่ะ ยิ่งเหนื่อยแค่ไหนก็ยิ่งหลับสบาย” หลินเหนียนเล่ยประหลาดใจเล็กน้อยเพราะปกติซวี๋จิ่วไม่ค่อยพูดกับคนอื่นนัก
“ทีม นี้กินข้าวกล่องเหรอเนี่ย?” ซวี่จิ๋วเหลือบมองลงที่ข้าวกล่องพลางพูดด้วยรอยยิ้ม “มันมีคุณค่าทางโภชนาการมากเกินฉันไม่ค่อยชอบกินเท่าไหร่หรอก ไปเถอะ ไปกินสแน็คบาร์กัน”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เกรงว่าจะทําคุณเสียเวลาถ้า…”
“ไม่ต้องสุภาพกับฉันนักหรอก” ซวี๋จิ่วยิ้ม “ฉันไปเปลี่ยนเสื้อผ้ารอเธอด้านล่างนะ”
หลังจากพูดจบซวี๋จิ่วก็เดินออกไป
หลินเหนียนเล่ยไม่อยากไปเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้ทําข่าวใหญ่ตั้งแต่ทํางานมาทําให้เธอกระปรี้กระเปร่า แต่เพราะซวี๋จิ่วเป็นผู้ชํานาญการพิเศษด้านคอลัมน์ คงไม่ใช่มารยาทที่ดีถ้าเธอคิดจะปฏิเสธ
หลังจากนั้นประมาณครึ่งชั่วโมง
ซวี๋จิ่วพาหลินเหนียนเล่ยข้ามไปที่ฝั่งตรงข้ามของสถานีและเข้าไปในร้านกาแฟที่ดูหรูหรา
หลังจากที่ทั้งสองนั่งลงในห้องส่วนตัวซวี่จิ๋วก็ยิ้มให้อีกฝ่าย “ฉันไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ สั่งอะไรรอไปก่อนเดี๋ยวฉันจ่ายเอง ฮ่าฮ่า”
“โอเคค่ะ” หลินเหนียนเล่ยพยักหน้า
เมื่อพูดจบซวี่จิ๋วจึงผลักประตูออกไปขณะที่หลินเหนียนเล่ยก้มดูเมนูติ่มซำ
ไม่ถึงสองนาทีต่อมาหลานชายของหวู่เหวินเซิ่งจึงผลักประตูเดินเข้าไป
“คุณเป็น?” หลินเหนียนเล่ยมองอย่างงุนงง
ชายคนนั้นบิดประตูถอดกระเป๋าสะพายจากไหล่และนั่งตรงข้ามกับหลินเหนียนเล่ย เขายิ้มให้ก่อนอธิบาย “เหยียนคังที่ถูกฆาตกรรมที่สถานีซ่งเจียงเหนือเป็นคนรู้จักของผม”
หลินเหนียนเล่ยตกใจเมื่อได้ยินเรื่องนี้
“ซวี๋จิ่วและผมเป็นเพื่อนกันมาหลายปีแล้ว ผมยังรู้จักคนใหญ่คนโตในสถานีของคุณด้วย” หลานชายหวู่เวินเซิ่งมองหลินเล่ยและพูดอย่างสุภาพ “ผมไม่รู้จะทํายังไงแล้วแค่อยากจะขอร้องคุณ ช่วยผมหน่อยนะ”
“หืม…ให้ช่วยเรื่องอะไรคะ?”
“เรื่องข่าวที่คุณกําลังทํา ช่วยบิดเบือนให้มันออกอากาศไปอีกทางหนึ่งที่” เขาวางกระเป๋าสะพายบนเก้าอี้ข้างหลินเหนียนเล่ยพลางพูดเสียงเบา “ฉันเข้าใจกฏดี ของคุณอยู่ในกระเปา”
หลินเหนียนเล่ยเบิกตากว้างทันทีเมื่อเห็นกระเป๋าหนังสีดํา จึงอดไม่ได้ที่จะพูด “ซูก้า…กระเป๋ารุ่นลิมิเต็ดของคุณซวีจิ๋วนี่นา”
เขาประหลาดใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนพูดด้วยรอยยิ้ม “ถ้าทําเสร็จผมจะส่งกระเป๋าที่ดีกว่านี้ให้คุณอย่างแน่นอน”
ภายในรถที่จอดริมถนน
หลังจากรับสายหยวนเค่อก็หันกลับมาและถามชายหัวโล้น “ใครเจอมันแล้วบ้าง?”
ชายหัวโล้นไม่พูดอะไร และพอเสี่ยวจิ๋วกําลังจะอ้าปาก เขาก็เอื้อมมือออกไปปิดปาก
เสี่ยวจิ๋วหันไปมองชายหัวโล้นและส่ายหัวเป็นเชิงว่าต้องพูดให้ได้
ทั้งจ้องหน้ากันอยู่นานก่อนที่เสี่ยวจิ๋วจะสะบัดฝ่ามือของชายหัวโล้นออกไปและพูด “ฉันจะพูด”
ชายหัวโล้นขมวดคิ้วมุ่นและไม่พูดอะไรอีก