Special District 9 – เขตพิเศษที่ 9 - ตอนที่ 195 ยอมง้างปาก
Special District 9 – เขตพิเศษที่ 9 Special District 9 ตอนที่ 195 ยอมง้างปาก
ฉินอวี่สะบัดผ้าห่มและลุกขึ้นนั่งก่อนจะพูดหยอกเย้าหลิน เหนียนเลย “ทําไมเธอถึงชอบมาได้จังหวะเรากําลังทําอะไรกันทุกทีนะ?”
“ฟ้าคงกําหนดให้ฉันมาเป็นพยานรักให้พวกนายมั้ง” หลินเหนียนเลยหิวผลไม้เข้ามาในห้อง “ได้ข่าวว่าเจ็บหนักอีกแล้วในฐานะสือขอมาดูอาหารหน่อยนะคะ”
“เชิญทางนี้เลย ฉันเองก็เอาอาหารมาเหมือนกัน” แมวเฒ่ายิ้มทัก
“แล้วนายหายไปไหนมาซะนาน?” หลินเหนียนเลยถามขณะจัดผลไม้วางไว้บนโต๊ะ
“ยุ่งอยู่กับธุรกิจพันล้ายนะ พอดีเปลี่ยนบุคลากรใหม่ก็เลยต้องไปคุมงานไกลหน่อย” แมวเฒ่าลากโต๊ะเล็กไปไว้ข้างเตียงผู้ป่วย
“ฮ่าๆๆ” หลินเหนียนเลยหัวเราะกับคําตอบก่อนจะหันไปถามฉินอวี่ “แล้วนายล่ะยังเจ็บหนักอยู่เหรอ?”
“แค่เจ็บขาน่ะ ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง” ฉินอวี่กับหลินเหนียนเล่ยต่างเผชิญอะไรมามากมายด้วยกันจึงไม่ต้องอธิบายอะไรมาก “แล้วเรื่องข่าวของเธอไปถึงไหนแล้ว?”
“หยุดกลางคัน” หลินเหนียนเลยถอนหายใจ “ฉันอุตส่าห์ทํางานหามรุ่งหามค่ําเงินก็ไม่ได้สักแดงไหนจะโดนคนไล่ล่าอีกสุดท้ายก็ต้องจําใจถูกระงับด้วยสถานการณ์ที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ นี่ยังไม่รู้จะต้องเจออะไรอีก…”
“หัวหน้าเธอเองก็เข้าไปเกี่ยวพันด้วยสิท่า?” ฉินอวี่ถาม
“ไม่รู้สิ” หลินเหนียนเล่ยตอบอย่างไม่ใส่ใจ “เลิกพูดเรื่องนี้เถอะเดี๋ยวฉันจะกลายเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น”
ฉินอวี่พยายามพูดปลอบ “ใจเย็นก่อนเถอะ ข่าวยังนี้ไม่หลุดมือเธอไปง่ายๆหรอก”
หลินเหนียนเล่ยประหลาดใจ “ไปได้เบาะแสอะไรมาอีกล่ะ?”
“ก็เปล่า…แค่ความรู้สึกมันบอกอย่างนั้น”
“แค่ความรู้สึกเนี่ยนะ?”
“ถ้าหวูเวินเซิงทนไม่ไหวสุดท้ายก็ต้องเป็นข่าวอยู่ดีนั่นแหละ” ฉินอวี่ตอบตามตรง
หลินเหนียนเลยชะงัก “ให้ตายเถอะ เป็นแบบนี้ตลอดแค่นี้คนข่าวอย่างพวกฉันยังเสี่ยงปืนไม่พออีกรึไง?”
“พูดแบบนี้เหมือนจะผ่านอะไรมาเยอะเหมือนกันนะเนี่ย” แมวเฒ่าพูดขึ้นด้วยท่าที่เจียมตัว
“ฉันว่าอย่าไปแซวเธอเลย แค่นี้คงเครียดพออยู่แล้ว”ฉินอวี่รีบตัดบท “ช่วยฉันนั่งหน่อย จะได้กินข้าว”
“มาฉันช่วย” เมื่อเห็นว่าแมวเฒ่ากําลังจัดการสํารับอยู่หลินเหนียนเลยจึงเสนอตัวเธอรีบถอดเสื้อโค้ตแล้วเข้าไปประคองฉินอวให้พิงกับหมอนสองใบที่เตรียมไว้ด้วยสองแขน “พิ่งได้เลยจะได้ไม่ลําบากมากเวลากิน…”
แต่ขณะที่ฉินอวี่กําลังเงยหน้าขึ้น หน้าผากของเขาก็สัมผัสเข้ากับยอดปทุมถันของหญิงสาวตรงหน้า “เฮ้ยัยเซ่อมันใกล้เกินไปแล้วนะ!”
หลินเหนียนเลยก้มหน้ามองก่อนจะตกใจและพลั้งมือตบหน้าฉินอวี่ “ไอ้โรคจิตฉันจะฆ่านาย!”
ในห้องใต้ดินบนถนนชีหยวน
ประตูเหล็กถูกเปิดออกโดยชายหนุ่มสองคน หลี่จือที่ไม่เห็นมนุษย์มาสามวันเต็มเงยหน้าขึ้นมองด้วยแววตาเคียดแค้นทันที
ชายหนุ่มไม่พูดไม่จาเดินเข้าไปถูกแขนเสื้อก่อนจะหยิบเข็มฉีดยาจากกล่องอลูมิเนียมออกมาเข็มยาวถูกแทงเข้าแขนหลีจือทันทีโดยไม่ฟังคําคัดค้านใด
“พวกแกจะทําอะไรฉัน? ห้ะ? ไอ้หภู่เงินเพิ่งมันอยู่ไหนไปเรียกมันมาคุยสิวะ?!”
ชายหนุ่มทั้งสองไม่สนใจและยังคงฉีดสารเข้าไปในเส้นเลือดหลีจือจนหมดหลอดก่อนจะเดินออกไป
“เรียกหรูเวินเพิ่งมา ฉันจะคุยกับมัน…บอกให้ไปเรียกมันมา!” ด้วยความสิ้นหวัง โกรธแค้นและหวาดกลัวทําให้หลีจีอคํารามออกมาจนสุดเสียง
“ปัง!”
ประตูห้องถูกปิด ทุกสิ่งรอบตัวกลับสู่ความเงียบอีกครั้ง
หลีจือทําได้เพียงนั่งก้มหน้าเหงื่อใสนับไม่ถ้วนผดซึมออกมาทั้งสายตาและสติสัมปชัญญะพร่าเลือนเขาไม่ได้นอนมาหลายชั่วโมงจนส่งผลให้หัวใจเริ่มสั่นมีอาการประสาทหลอนถึงขั้นเห็นแสงไฟลอยอยู่ตรงหน้า
ในห้องควบคุม หยวนเค่อนั่งสูบบุหรี่และมองผ่านกล้องวงจรปิดอย่างครุ่นคิดถึงกระนั้นเขาก็ยังอดทนจนกว่าจะถึง เวลาที่เหมาะสม
“แน่ใจนะลูกพี่ว่ามันจะได้ผล?” ชายคนหนึ่งที่ทําหน้าที่ควบคุมกล้องวงจรปิดหันไปถาม “ถ้าอยากให้มันปริปาก ไวๆ ผมว่าเราเล่นของแข็งอย่างดึงเล็บไม่ดีกว่าเหรอครับ? เล็บหนึ่งไม่พูดก็ต่อด้วยเล็บสอง ถึงจะอึดแค่ไหนก็คงทนไม่ ได้นานหรอก”
“หมอนี่ไม่เหมือนกับคนอื่น มันยอมเสี่ยงชีวิตทํางานที่รู้ว่าอาจตายเมื่อไหร่ก็ได้มันไม่กลัวต่อให้ต้องโดนยิงกลางกบาล แล้วคิดว่าแค่ดึงเล็บจะได้ผลเหรอ?” หยวนเค่อยกขานั่งไขว่ห้าง “ตอนที่ฉันฝึกงานอยู่เฟิงเปยครูฝึกเคยสอนฉันไว้ว่าการจะยอมให้คนคนหนึ่งยอมจํานนจะต้องทรมานร่างกายจนถึงขีดสุดที่จะรับไหวแต่สําหรับคนที่ไม่กลัวเจ็บไม่กลัวตายใช้วิธีนั้นไม่ได้ผลถ้าอยากให้คนที่มีพลังใจแข็งแกร่งยอมจํานน….นายจําเป็นจะต้องทําลายมันจากภายใน
“เป็นเหตุผลที่ฉีดยาสินะ”
“ถูกต้อง” หยวนเค่อพยักหน้า
“ยาที่ว่าเป็นยาอะไรเหรอครับ?” ชายคนดังกล่าวถามต่อด้วยความใคร่รู้
“แค่กลูโคสธรรมดา”หยวนเค่อยิ้มตอบ“แถวนี้อากาศแห้งแถมไม่ได้กินข้าวกินน้ํามาหลายชั่วโมงแล้วกลัวว่ามันจะน็อกตายไปซะก่อน”
“หือ? แค่กลูโคสเองเหรอ?”
“ใช่ มันก็แค่น้ําตาลประเภทหนึ่งแต่เจ้าตัวไม่รู้นี่นะ”หยวนเค่อสูบบุหรี่ก่อนพูดต่อ “เดี๋ยวก็เห็นผลแล้ว”
ภายในห้องมืด หลีคือก้มหน้ากําหมัดแน่นจนมือแทบแตกเขาตะโกนร้องด้วยแววตาแห่งความแค้น “พวกแกฉีดยาอะไรให้ฉัน? ทําไมไม่ไปเรียกหรูเวินเซิงมาฉันจะคุยกับมัน…”
ข้างนอกยังคงเงียบกริบไร้เสียงตอบรับใดๆ
เขาส่ายศีรษะไปมาเพื่อสลัดความรู้สึกที่เหมือนมีคนจ้องมองผ่านประตูตรงหน้า เขาได้ยินแม้กระทั่งเสียงฝีเท้าอึกทึกแต่แท้ที่จริงแล้วเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีใครมองผ่า นประตูเนื่องจากมันเป็นประตูเหล็ก
หากเป็นคนทั่วไปอดน้ําอดอาหารสามวันก็คงสิ้นใจไปนานแล้ว….ทว่าหลีจือกลับทนได้ในสถานที่ซึ่งมืดไม่รู้วันรู้คืนนอกจากไม่มีอะไรตกถึงท้องแล้วยังต้องอดนอนมาจนถึงตอนนี้ทําให้สภาพร่างกายและจิตใจของเขาเริ่มถึงขีดจํากัด
ในช่วงที่สภาพร่างกายและจิตเริ่มไม่ปกติเมื่อมีชายแปลกหน้านําสารบางอย่างมาฉีดให้จึงทําให้หลีจือรับไม่ไหวอีกต่อไปเขาคิดวนอยู่ในหัวซ้ําๆ ว่าศัตรูนํายาพิษมา ฉีดให้ตัวเองโดยหวังให้ตายอย่างทรมาน
ความคิดที่เริ่มฟุ้งซ่านทําให้ความตั้งใจแน่วแน่ที่เคยมีเริ่มสั่นคลอน
กระทั่งกลางดึก หลีจือเริ่มควบคุมตัวเองไม่อยู่เขาร้องไห้คร่ําครวญพลางตะโกนอ้อนวอนขอความเมตตา “ฆ่าฉันเถอะขอร้องฆ่าฉันไปซะ!”
“แอ๊ด…”
ทันใดนั้นประตูเหล็กถูกเปิดพร้อมกับหยวนเค่อที่เดินเข้ามา “พร้อมจะคุยรี่ยัง?”
หลีจือรีบเงยหน้าขึ้นพลันหรี่ตาลงเล็กน้อยเมื่อดวงตาได้สัมผัสกับแสงสว่างจากประตู หัวใจเขาเต้นรัวอย่างลิงโลดทันทีที่เห็นแสงสว่างกับคนอีกครั้ง
“ถ้ายอมตอบคําถามที่ฉันอยากรู้ ฉันจะยอมให้นายนอนและกินอาหาร”หยวนเค่อพูดเสียงเรียบ
“ฉัน…ฉันจะยอม บะ…บอกทุกอย่างเลย…” แม้จะลังเลแต่สุดท้ายหลีจือก็ตอบตกลงด้วยสติที่เหลืออยู่ไม่มาก