Special District 9 – เขตพิเศษที่ 9 - ตอนที่ 22
ตอนที่ 22 หาเมีย
วันต่อมา
แมวเฒ่าเข้าไปในห้องทำงานของฉินอวี่พลันเอ่ยถาม “นายกำลังทำอะไร?”
ฉินอวี่กล่าวพลางจิบน้ำ “จาบีบอกให้มอบเงินบำเหน็จการตายให้เด็กสองคนที่รับเลี้ยงไว้ ฉันเพิ่งเขียนรายงานเรื่องนี้เสร็จ กะจะเอาไปส่งพอดี”
“อ๋อ”
ฉินอวี่ถามต่อ “แล้วเด็กสามคนที่นายรับเลี้ยงล่ะ ไม่ต้องจัดการอะไรเหรอ?”
“มือขวาฉันช่วยดูอยู่ ตอนนี้คงกำลังคุยกับครอบครัวของเด็กๆ ฉันไม่ถนัดเรื่องการจัดการเลยไม่ไปด้วย” แมวเฒ่ากล่าวตอบ
“ฉันเข้าใจ” ฉินอวี่พยักหน้า
“แล้วจากนี้นายมีอะไรต้องทำอีกไหม?” แมวเฒ่าเอ่ยถาม
ฉินอวี่ครุ่นคิดก่อนกล่าวตอบ “คงไปช่วยสอบปากคำสองคนนั้นเหมือนเดิม ทั้งที่ไม่จำเป็นต้องมีฉันก็ได้”
“ถ้าอย่างนั้นไปบ้านฉีหลินด้วยกันไหม?” แมวเฒ่าถาม “พอถูกย้ายไปทำงานเอกสาร เงินเดือนก็ต้องถูกตัดเพราะไม่ได้ค่าความเสี่ยงจากภารกิจแนวหน้า…ฉันกลัวว่านายจะแขวนคอตายซะก่อน”
ฉินอวี่ใกล้ชิดแมวเฒ่ามากขึ้น แม้จะดูเป็นคนปากพล่อยไม่สนใจความรู้สึกใคร แต่แท้จริงแล้วเขาใส่ใจเพื่อนพ้องอย่างมาก
ที่ร้านอาหารเช้าเมื่อวาน แมวเฒ่ารู้ตัวว่าพูดแรงจึงอยากไปเยี่ยมฉีหลิน แต่ทว่าด้วยเหตุทะเลาะที่เพิ่งผ่านมาทำให้เคอะเขินเล็กน้อยถึงต้องดึงฉินอวี่ไปด้วย
“ค่อยไปช่วงบ่ายหลังเลิกงานแล้วกัน ฉันต้องตามงานสอบสวนกับจู้เหว่ยก่อน” ฉินอวี่กล่าวพลางดูเวลา
“โอเค หลังเลิกงานฉันจะโทรหา”
“โอเค”
…
ในตอนบ่าย เมื่อถึงเวลาเลิกงาน ฉินอวี่กับแมวเฒ่าขึ้นรถยนต์ไฟฟ้าไปยังบ้านฉีหลิน
ในยุคนี้ คนที่ทำงานในสำนักงานตำรวจมักถูกมองว่ามีอันจะกิน เพราะในเขตปกครองพิเศษที่เก้าอาชีพนี้มีรายได้ระดับปานกลาง แม้ต้องเผชิญเรื่องอันตรายมากมาย แต่ก็นับเป็นงานที่มั่นคง
ถึงอย่างนั้นฉีหลินก็ยังคงใช้ชีวิตลำบาก บ้านเขาอยู่ติดกับสลัมย่านชานเมืองเขตพื้นทมิฬ ส่วนใหญ่คนที่นั่นไม่มีอาชีพที่มั่นคง คนหนุ่มสาวยังพอทำงานใช้แรงแลกเงินได้ ในขณะที่คนเจ็บและคนแก่ต้องใช้ชีวิตอย่างขัดสนไปวันๆ
เมืองซ่งเจียงไม่มีทรัพยากรมากพอแจกจ่ายให้ทุกคน ทำให้คนจนต้องเผชิญความอดอยาก ทั้งยังเกิดอาชญากรรมบ่อยครั้งจนข่าวคนหายไม่ใช่เรื่องแปลกอีกต่อไป
ด้วยปัญหาทางการเงิน ฉีหลินจึงต้องมาอาศัยอยู่ชานเมือง บ้านแถบนี้ราคาถูกเนื่องจากไฟฟ้าและระบบประปาเปิดปิดเป็นเวลา อีกทั้งค่าครองชีพที่ไม่สูงมาก ทำให้ฉีหลินกับครอบครัวพออยู่ได้
แต่สาเหตุหลักที่อยู่มาได้นานขนาดนี้ เพราะส่วนใหญ่ฉีหลินใช้ทรัพยากรที่มีในสำนักงานตำรวจ หลังเลิกงานเขามักห่ออาหารเหลือจากโรงอาหารกลับบ้าน และนำเสื้อผ้าใช้แล้วกลับมาซักที่ทำงาน
เมื่อถึงบ้านฉีหลิน เท่าที่ฉินอวี่สังเกต…บ้านสองห้องนอนขนาดเล็กที่ฉีหลินเช่าเป็นทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีเนื้อที่ประมาณสี่ร้อยเมตรเท่านั้น
แต่ละห้องมีกำแพงและประตูเหล็กกั้นพื้นที่ให้เช่ากับพื้นที่เจ้าของบ้าน คนนอกอาจรู้สึกทึ่งกับการออกแบบ ทว่าลูกบ้านทุกคนต่างรู้ดีว่าประตูนี้ถูกสร้างไว้เพื่อป้องกันมิจฉาชีพ แต่ละคืนก่อนนอน เจ้าบ้านจะล็อกประตูเหล็กไม่ให้ใครสามารถเข้าไปได้
แต่เพราะฉีหลินอยู่ที่นี่มานานทั้งยังเป็นตำรวจ เจ้าบ้านจึงเปิดประตูทิ้งไว้เพื่อเป็นการแสดงความเคารพและเชื่อใจ
ทันทีที่เดินเข้าไปในบ้านก็พบฉีหลินกำลังนั่งอยู่บนบันไดด้วยสีหน้างุนงงปนขมขื่น
“นายนั่งทำอะไร?” แมวเฒ่าถามพลันเดินขึ้นไป
ฉีหลินรู้สึกตกใจกับผู้มาเยือน จึงลุกขึ้นเอ่ยถาม “นายสองคนมาทำอะไรที่นี่?”
“มาดูไงว่าตายยัง?” แมวเฒ่าผู้ปากพล่อยกล่าวตอบ
“เข้ามาก่อนสิ” ฉีหลินไม่พูดถึงเรื่องวุ่นวายเมื่อวานราวกับลืมไปแล้ว ก่อนจะปรับอารมณ์ยิ้มแย้มและเชิญทั้งคู่เข้าห้อง
“แม่นายอยู่ไหนล่ะ?” แมวเฒ่าเอ่ยถาม
“แม่ฉันพักผ่อนอยู่อีกห้อง ส่วนน้องสาวฉันรับจ้างทำงานบ้านให้คนอื่น คงไม่ได้อยู่ที่นี่สักพัก” ฉีหลินกล่าวตอบ “เข้ามาดื่มน้ำกันก่อนสิ”
“ไม่เป็นไร เราขอไปทักทายแม่นายก่อนแล้วกัน” แมวเฒ่าไปหาแม่ฉีหลินพร้อมอาหารสองสามถุงที่เตรียมมา
ฉีหลินเงียบไปชั่วขณะก่อนส่ายหัวพลันกล่าว “อย่าเลยดีกว่า”
“ทำไมล่ะ?” ฉินอวี่ถาม
“ฉันเพิ่งทะเลาะกับแม่”
“อะไรนะ?” แมวเฒ่าสบถด่าทันทีที่ได้ยิน “นายเครียดเรื่องงานแล้วเอาไปลงที่แม่ใช่ไหม? อายุก็ไม่ใช่น้อยๆ เมื่อไหร่จะโตเป็นผู้ใหญ่สักที?!”
“ก็แม่ชอบระเบิดอารมณ์ใส่ฉันนี่” ฉีหลินถอนหายใจ “ทำไมถึงอยากให้ฉันแต่งงานขนาดนั้นก็ไม่รู้? เงินเดือนหายไปร้อยดอลลาร์เพราะย้ายไปทำงานเอกสาร แค่นี้ก็จะอดตายกันอยู่แล้ว จะให้ฉันหาเมียได้ไง?”
“แล้วทำไมแม่ถึงรีบล่ะ?” แมวเฒ่าถามด้วยความสงสัย
ฉีหลินลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกวักมือเรียกทั้งสองกลับเข้าห้องและเริ่มอธิบายทุกอย่าง
แม่ฉีหลินป่วยเป็นโรคตับ ต้องชะลอการรักษาเพราะมีเงินไม่พอ ด้วยอวัยวะเริ่มอ่อนแอและความเครียดสะสมยิ่งทำให้อาการแย่ลงทุกวัน เวลาของเธอเหลือน้อยลงทุกที หญิงชราคนนี้ไม่เคยได้เรียนหนังสือ ชีวิตมีแต่ความทุกข์ยาก ความปรารถนาเดียวในตอนนี้คือการได้เห็นฉีหลินแต่งงานมีหลานก่อนเธอตาย…
จริงๆ แล้วหญิงชราไม่ต้องการให้ฉีหลินสิ้นเปลืองเงินกับตัวเองมาก จึงอยากให้ลูกชายลงหลักปักฐานกับใครสักคนและใช้ชีวิตของตนเอง
ในห้องของฉีหลิน
เมื่อฉีหลินเล่าจบ ฉินอวี่นิ่งเงียบด้วยไม่รู้จะแนะนำอะไร
แมวเฒ่าครุ่นคิดพักหนึ่งก่อนเอ่ยถาม “ต่อให้นายอยากแต่งงานและตั้งตัวจริงๆ ก็ต้องใช้เวลา…จะไปหาลูกสะใภ้ทันได้ไง?”
“เพื่อนบ้านแนะนำแม่ให้หาคนกลางขายผู้หญิง…แล้วให้ฉันซื้อหล่อนเป็นเมีย แต่นายก็รู้สถานการณ์ตอนนี้ดี ฉันเพิ่งถูกตัดเงินเดือน แถมไม่มีอะไรรับรองด้วยว่างานเอกสารที่ฉันทำอยู่จะไม่เกิดปัญหา…” ฉีหลินกล่าวอย่างหนักใจ
แมวเฒ่านิ่งคิดก่อนกล่าวตอบ “ฉันว่านายควรซื้อผู้หญิง”
“อย่ามาไร้สาระ” ฉีหลินโบกมือปัด “หากฉันถูกตัดสินความผิดให้ไล่ออกจากสำนักงาน นายจะให้ฉันทำยังไง?”
“ไม่หรอก” แมวเฒ่าก้มหัวตอบ “ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น นายจะไม่ถูกไล่ออกแน่นอน”
ฉีหลินเบิกตากว้างเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“บอกมาตามตรง…แม่นายอาการแย่มากไหม?” แมวเฒ่าเอ่ยถาม
ฉีหลินเงียบไปครู่หนึ่งก่อนถอนหายใจตอบ “เพราะไม่ได้รับการรักษา สิ่งที่ทำได้ตอนนี้คือยื้อเวลาไปเรื่อยๆ…ไม่รู้ว่าจะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน”
“ถ้าอย่างนั้นนายก็ควรมีเมียได้แล้ว” แมวเฒ่ากล่าว “ถึงเวลาแล้วที่นายต้องแต่งงาน นายไม่สามารถลากลับบ้านได้ทุกครั้งที่เกิดปัญหา ถึงต้องมีคนช่วยดูแลบ้านจะได้มีสมาธิกับงาน”
“แต่ฉันไม่มี…”
“รอเดี๋ยว” แมวเฒ่าขัดฉีหลินพลันหันไปถามฉินอวี่ “นายไปข้างนอกกับฉันหน่อย”
“ไม่ต้องทำขนาดนั้นก็ได้แมวเฒ่า” ฉีหลินลุกขึ้นกล่าว
แมวเฒ่าชี้นิ้วสั่งฉีหลิน “ฉันบอกให้รออยู่ตรงนี้”
สองนาทีต่อมา นอกบ้านของฉีหลิน…
แมวเฒ่าสูบบุหรี่ไฟฟ้าพลันมองฉินอวี่และเอ่ยถาม “นายมีเงินไหม?”
ฉินอวี่กล่าวตอบ “ฉันให้ยืมได้มากสุดแค่ห้าร้อยดอลลาร์”
“ยังไม่พอ” แมวเฒ่าส่ายหัว
ฉินอวี่ตอบกลับโดยไม่ลังเล “ฉันให้ได้เท่านี้จริงๆ”
แมวเฒ่าเงยหน้าขึ้นกล่าวอย่างจริงจัง “ถ้าฉีหลินยังคืนเงินนายไม่ได้ ฉันจะจ่ายให้ก่อนครึ่งหนึ่งก่อนคริสต์มาสนี้”
ฉินอวี่มองแมวเฒ่าด้วยความประหลาดใจ เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนกล่าวตอบ “ตอนนี้ฉันมีเงินติดตัวอยู่พันห้าดอลลาร์ ฉันให้ยืมได้พันสาม…อีกสองร้อยขอเก็บไว้ซื้อข้าวกิน”
“ขอบใจเพื่อน” แมวเฒ่าตบไหล่ฉินอวี่
“เฮ้อ ฉันมีเรื่องอยากถาม” ฉินอวี่มองแมวเฒ่าด้วยความสงสัยพลันเอ่ยถาม “แล้วถ้าฉีหลินคืนส่วนที่เหลือไม่ได้นายจะทำยังไง?”
“ต่อให้ต้องไปขายตัวในตรอกเถ้าธุลีฉันก็จะหามาคืน”
“ไอ้บ้า…” ฉินอวี่พูดไม่ออก “ถ้าอย่างนั้นฉันไม่ให้ยืม”
“เดี๋ยวเขาก็คงตั้งตัวได้” แมวเฒ่าหัวเราะเบาๆ พลันเดินกลับเข้าห้อง “ฉีหลิน…ไปหาซื้อผู้หญิงซะ เราสองคนรวมเงินกันให้นายได้สามพันห้าร้อยดอลลาร์ แต่ที่เหลือนายต้องออกเอง”
ในห้องอันทรุดโทรม ฉีหลินมองหน้าทั้งคู่ก่อนโค้งคำนับด้วยความขอบคุณอย่างสุดซึ้ง “ฉ…ฉันจะหาเงินมาคืนพวกนายแน่นอน”
…
ที่จริงฉีหลินไม่อยากขัดคำขอสุดท้ายของแม่ เพราะรู้ดีว่ามันทำให้เธอมีความสุขได้
บ่ายสามโมง ทั้งสามขับรถออกจากเมืองซ่งเจียงไปพร้อมกับเงินจำนวนหนึ่ง มุ่งหน้าไปหมู่บ้านเป่ยไท่
ล้อรถถูกหิมะเกาะหนาเพราะฝ่ามันมาตั้งแต่ซ่งเจียง พวกเขาจึงต้องจอดรถไว้กลางถนนที่ไม่รู้จัก และเดินเท้าอีกสามกิโลเมตรเข้าหมู่บ้านเป่ยไท่ เมื่อไปถึงก็โทรหาคนที่นัดไว้ทันที
หลังจากรออยู่ครึ่งชั่วโมง หญิงชราสวมเสื้อคลุมทหารก็เดินมาต้อนรับด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ “คนที่นัดซื้อผู้หญิงใช่ไหม?”
“ต้องพูดดังขนาดนั้นเลยเหรอ?” แมวเฒ่าไม่สบอารมณ์ “เราแค่อยากได้เมีย”
“ตามฉันมา” หญิงชรากล่าวก่อนเดินนำพวกเขาไป
ทั้งสามเดินผ่านย่านที่อยู่อันทรุดโทรมก่อนจะเข้าไปในบ้านเก่าหลังหนึ่ง
หญิงชราเปิดประตูโลหะพลันชี้ไปยังผู้คนนับสิบจากทุกเชื้อชาติที่นั่งอยู่บนพื้นก่อนกล่าว “ไม่ว่าจะผิวขาว ผิวสี เรามีทุกแบบที่คุณต้องการ ทุกอย่างต่อรองได้ถ้าเงินถึง”
ฉินอวี่ยืนกล่าวอยู่ด้านข้าง “ฉีหลิน…เข้าไปเลือกสิ”
“พวกเธอมีบัตรประจำตัวคนต่างด้าวหรือเปล่า?” แมวเฒ่าแกล้งถามเหมือนมีความรู้
“พ่อหนุ่ม…ฉันต้องไล่บอกด้วยเหรอว่าใครมีบัตรต่างด้าวบ้าง?” หญิงชรากลอกตา “พวกหล่อนรับลูกค้าแถวตรอกเถ้าธุลีเป็นประจำอยู่แล้ว”
“…ฟังแล้วพี่คงมีประสบการณ์มากทีเดียว”
“ชู่!” หญิงชราจุปาก “ยุคนี้ใครบ้างล่ะที่ไม่มีความหลัง?”
แมวเฒ่าเถียงไม่ออก
หญิงชราตบไหล่ฉีหลินพลันกล่าว “ไม่ต้องเขินพ่อหนุ่ม…เรื่องธุรกิจลูกค้ามาก่อนอยู่แล้ว เข้าไปเลือกได้เลย ไฟฉายวางอยู่ตรงนั้น ถ้าเห็นหน้าไม่ชัดก็ใช้ไฟฉายส่องดู…”
ฉีหลินยืนเคอะเขินอยู่ข้างประตูด้วยความอึดอัด
‘ตุบ!’
แมวเฒ่าถีบฉีหลินเข้าไปในบ้านก่อนกล่าว “เร็วเข้า! จะค่ำแล้ว!”
ฉีหลินลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนเดินเข้าไป
…
ในเมืองซ่งเจียง เงามืดของใครบางคนกำลังทำลับๆ ล่อๆ บริเวณหน้าต่างห้องฉีหลิน เขาชะโงกหน้าพลันตะโกนเรียก “ฉีหลิน…ฉีหลิน…นายอยู่ไหม?”
ทันใดนั้นก็มีเสียงฝีเท้าจากด้านหลัง ชายคนนั้นตกใจก้มหัวพลันจับปืนที่ซ่อนในเสื้อไว้แน่น เมื่อหันไปดูก็พบว่าเป็นคนสัญจรไปมาเท่านั้น
ชายปริศนาเหงื่อผุดเต็มหน้าผากด้วยความตกใจ เขามองหาฉีหลินผ่านหน้าต่างอีกครั้ง เมื่อพบว่าไม่มีใครอยู่จึงจากไป
………………………………….