Special District 9 – เขตพิเศษที่ 9 - ตอนที่ 225 พังด้วยสองมือ
Special District 9 – เขตพิเศษที่ 9 Special District 9 ตอนที่ 225 พังด้วยสองมือ
ตอนที่ 225 พังด้วยสองมือ
ตอนสิบโมงเช้าที่ชั้นหนึ่งของบริษัทหมิงหยวนการค้าในรัฐเจียงหนาน มีกลุ่มชายเจ็ดถึงแปดคนกําลังดื่มและคุยกันอยู่ที่โต๊ะภายในห้องรับรอง
“หมิงเฟย พี่ใหญ่นายไม่กังวลเกี่ยวกับการหาเสียงของซุนจงปินเลยเหรอ?” ชายตัวใหญ่ด้านซ้ายถามด้วยเสียงทุ่มต่ํา
“ซุนจงปินไม่ต้องลงแรงมากหรอก ยังไงทุกคนก็คงเลือกเขา” ชายหนุ่มในวัยยี่สิบกล่าวด้วยสีหน้าที่แดงเพราะความเมา
ชายตัวใหญ่ถามด้วยความสงสัย “แล้วถ้าเขาไม่ได้รับเลือกล่ะ ที่เราวิ่งวุ่นหาเสียงอย่างหนักเพื่ออะไร?”
“นายยังไม่เข้าใจ ซุนจงปินได้รับการสนับสนุนจากพวกตระกูลเปย ถึงเขาจะไม่ได้รับเลือกเฒ่าเปยก็ไม่ยอมให้เฒ่าหลี่เข้ารับตําแหน่งง่ายๆ หรอก..สิ่งสําคัญที่สุดตอนนี้คือการแย่งชิงตําแหน่งเพื่อจะได้มีหน้ามีตาในสังคม” หมิงเฟยอธิบายอย่างฉะฉาน “ พี่ใหญ่บอกว่าถึงเฒ่าเปยไม่สนใจเรื่องนี้เราทุกคนก็ต้องสนับสนุนเขาอย่างไม่มีเงื่อนไข”
คนทางด้านซ้ายที่นั่งฟังอยู่ตลอดก็ส่ายหัว “จะมีความหมายอะไรถ้าต้องทุ่มแรงและเงินเยอะขนาดนี้ คิดดูสิเขาต้องจ่ายมากกว่าครึ่งล้านใช่ไหม? ถึงจะได้เงินจากตระกูลเปยมันก็ไม่คุ้มอยู่ดี”
“เจ้าโง่!” หมิงเฟยชี้หน้าชายรายใหญ่ก่อนแสดงความคิดเห็นอย่างรวบรัด “ปัญหาใหญ่ที่สุดของนายคือความโง่นี่แหละ”
“ฉันนะเหรอโง?!”
“ตระกูลเปยหนุนหลังให้ซุนจง ในเรื่องนี้แค่เด็กสามขวบก็ยังรู้เลย ถึงจะชนะเสียงหรือไม่ใครจะไปรู้ว่าตระกูลเปยมอบสิ่งเหล่านี้ให้?!” หมิงเฟยเอื้อมมือออกไปและเคาะโต๊ะเพราะพูดเสียงดัง “พวกนายคิดเหรอว่าเฒ่าเปยจะเสียสติโยนเงินทิ้งฟรีๆเรอะ?! เพราะธุรกิจของเฒ่าหรูไงล่ะที่ทําให้ชื่อเสียงพวกเขาย่ําแย่ลง ฉะนั้นจึงต้องดึงอิทธิพลกลับมาคิดดูสิว่าทําไมตระกูลเปยถึงมีอิทธิพลมากในเจียงหนานมาตั้งนานแล้ว เพราะเรื่องบังเอิญเหรอ?”
ชายร่างใหญ่ได้ยินดังนั้นก็เงียบ
“ปัง!”
ทันใดนั้นเองประตูหน้าของบริษัทก็ถูกเปิดออกอย่างกะทันหัน โดยแรงหม่าเหลาเอ๋อนําพรรคพวกหลายสิบคนวิ่งกรูกันเข้ามา
“ปัง!”
หลิวจื้อชูยกปืนและยิ่งไปที่เพดานพลางตะโกน “ก้มหน้าลงไปซะ!”
“อย่าขยับ”
“ไอ้เวร! ไม่ได้ยินรึไงว่าก้มหน้า?!”
ชายฉกรรจ์หลายสิบคนพร้อมอาวุธครบมือเดินมาล้อมโต๊ะ ก่อนจะใช้สันปืนและสันมีดทุบอีกฝ่ายคนละทีสองที
“หมายความว่าไงวะ?!” หมิงเฟยถามด้วยความตกใจและสับสน “มันเกิดบ้าอะไรขึ้น?!”
“มีคนฟังรถฉัน พวกแกไม่รู้สินะว่าฉันเป็นใคร?” หม่าเหลาเอ๋อก้าวไปข้างหน้าพลางถาม
หมิงเฟยได้ยินคําพูดนั้นจึงมองชายร่างใหญ่ด้วยความงุนงงก่อนอีกฝ่ายกระซิบ “เจ้านี่เป็นหลานชายของเฒ่าหม่า”
หมิงเฟยได้ยินดังนั้นก็ชะงักงัน
“ฉันจะไม่ถามซ้ําสองนะ ” หม่าเหลาเอ๋อเดินไปที่โต๊ะแล้วก้มหน้าถาม “ใคร.พังรถฉัน
ชายทั้งแปดคนนั่งก้มหน้าโดยไม่พูดอะไรสักคํา
“ความกล้าหาญอยู่ไหนหมด?” หม่าเหลาเอ๋อจุดบุหรี่ก่อนเอื้อมมือไปตบบ่าของหมิงเฟยเบาๆ พลางถาม “ทําไมไม่ตอบล่ะ หืม?”
“ฉันเพิ่งมาถึง ไม่รู้อะไรทั้งนั้น” หมิงเฟยตอบกลับไปพร้อมขมวดคิ้ว
“อืม ใครมันจะไปยอมรับง่ายๆ ล่ะจริงไหม?” หม่าเหลาเอ๋อใช้นิ้วคีบบุหรี่ขณะวางมืออีกข้างไว้บนหัวของหมิงเฟย เขาเงยหน้าขึ้นพลางถามหลิวจื้อชู “เขาคือหยินหมิงเฟยใช่ไหม?”
“ใช่” หลิวจื้อชูพยักหน้า
“ไม่มีใครยอมรับ งั้นฉันจะไปหาพี่ใหญ่ละกัน” หม่าเหลาเอ๋อก้าวถอยหลังก่อนกล่าวลอยๆ “ฉันจะซื้อรถใหม่ แต่ยังโกรธไม่หายเลย…ทําไงดีนะ?!”
หลังสิ้นเสียงหลิวจื้อชูจึงลดปืนลงก่อนจะจ้องอีกฝ่าย “อย่าขยับ!”
ชายร่างใหญ่ด้านซ้ายลุกขึ้นยืนพลางหันมาพูดกับหม่าเหลาเอ๋อด้วยใบหน้าซีดเผือด “ฉันเองที่ทุบรถนายจะทําไม?”
“แกทุบเหรอ?!” หม่าเหลาเอ๋อถามด้วยสีหน้าบูดบึง
“ใช่ ฉันเป็นคนทําเอง”
“ใช้มือข้างไหนทํา?”
“ก็ต้องทั้งสองมือไม่ใช่รึไง?” ชายร่างใหญ่พูดด้วยน้ําเสียงแข็งกร้าว
“ฮ่าฮ่า” หม่าเหลาเอ๋อยิ้มแล้วหันกลับมา
ชายหนุ่มสี่คนก็กดตัวของชายร่างใหญ่ราบกับโต๊ะโดยจับแขนทั้งสองข้างยื่นออกมา
หมิงเฟยมองหม่าเหลาเอ๋อด้วยท่าทางลุกลี้ลุกลนก่อนตะโกน “นายกําลังหยามหน้าบริษัทหมิงหยวนถึงถิ่นนะ!”
“แล้วมานั่งรถฉันทําไม?!” หม่าเหลาเอ๋อหันมองอีกฝ่ายก่อนจะพูดต่อ “สมาชิกสามคนที่โหวตให้พวกเราถูกคนไปทาสีแดงหน้าประตูบ้าน โยนหนูตายเขาบ้านอีก พวกแกจะบอกว่าไม่ได้ล้ําเส้นพวกฉันเลยเรอะ?! ทําอะไรไว้ก็ต้องรับผิดชอบสิวะ!”
หมิงเฟยหันไปมองชายร่างใหญ่
“มีดล่ะ” หม่าเหลาเอ๋อตะโกน
จากนั้นชายคนหนึ่งเดินเอามีดมาให้หม่าเหลาเอ๋อ
“ฟุบ!”
“ฉีบ!”
หม่าเหลาเอ๋อหยิบมีดมาและสับไปที่ข้อมือขวาของชายร่างใหญ่ทันที
“อ๊าก!”
ในตอนแรกชายร่างใหญ่ไม่ได้แผดเสียงร้องสักนิด แต่ทันทีที่เห็นมือของตนขาดทั้งกระดูกข้อมือแตก ความเจ็บปวดก็เกิดขึ้นฉับพลัน เขาทําหน้าบูดบึงและพยายามดิ้นรนอย่างหนัก
“ใช้มืออีกข้างใช่ไหม? คงไม่ได้ไปทุบรถใครอีกแล้วนะ” หม่าเหลาเอ๋อจับมืออีกข้างพลางตะโกน “นี่ มาช่วยฉันจับแขนมันหน่อย!”
“พอสักทีเถอะ!” หมิงเฟยคํารามขณะจ้องหม่าเหลาเอ๋อ
หม่าเหลาเอ๋อได้ยินดังนั้นจึงชี้ปลายมือไปที่หมิงเฟย “มาสิ อย่าบอกนะว่าจะทําเอง?
หมิงเฟยกําหมัดแน่นขณะหันไปมองชายร่างใหญ่ที่แขนขาด เขาเงียบไปนานก่อนพยักหน้า “ไม่..พวกฉันยอมรับแล้ว พอแค่นี้เถอะ”
หม่าเหล่าเอ๋อใช้ด้านข้างของมีดตบแก้มหมิงเฟยเบาๆ ก่อนจะหยิบมือชายร่างใหญ่โยนมันลงในหม้อนึ่งบนโต๊ะ
ชายมือขาดไม่สามารถทนความเจ็บปวดได้อีกต่อไปจึงหมดสติทันที
หม่าเหลาเอ๋อโยนมีดคืนให้ชายหนุ่มด้านข้างแล้วชี้หน้าหมิงเฟย “พวกแกทํางานหาเสียงไป ฉันก็จะทําส่วนของฉัน อย่ามาก้าวก่ายกันไม่งั้นฉันจะฆ่าให้หมด!”
พอพูดจบเขาจึงหันหลังเดินจากไป
สิบนาทีต่อมา
หม่าเหลาเอ๋อขึ้นรถและส่งซองแดงให้พวกชายฉกรรจ์ที่มาด้วย จากนั้นก็ยื่นให้หลิวจื้อชู
ในรถ
หม่าเหลาเอ๋อโทรหาฉินอวี่หลังจากที่จัดการทุกอย่างเสร็จสรรพ
“ฮัลโหล?”
“เรียบร้อยแล้ว” หม่าเหลาเอ๋อพูดเสียงเรียบ “สับมือไปคน
หนึ่ง”
“อืม..โอเคงั้นคืนนี้มาหาฉันนะ”
“ได้” ทั้งสองวางสายไปหลังจากคุยโทรศัพท์กันสองสามประโยค
หลังเหตุการณ์นี้ทําให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของหม่าเหลาเอ๋อ เมื่อก่อนเวลาต้องการทําอะไรก็จะไปโดยไม่สนใจใคร แต่กลับมาครั้งนี้เขามักจะถามและบอกความคืบหน้ากับฉินอวี่ก่อนเสมอ จากนั้นค่อยปรึกษาหลิวจื้อชูก่อนจะตัดสินใจลงมือ
คนเราจะเติบโตขึ้นก็ต้องแลกมาด้วยความสูญเสียบางอย่าง แย่หน่อยที่หม่าเหลาเอ๋อต้องจ่ายมากเกินไป แต่ก็โชคดีที่รอดช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อมาได้
สองวันต่อมา เทศกาลฤดูใบไม้ผลิของจีนในวันที่สามสิบก่อนปีใหม่ ซึ่งเจียงเต็มไปด้วยไฟประดับสว่างไสว
ฉินอวี่นําแมวเฒ่า จู้เหว่ย หม่าเหลาเอ๋อและฉีหลินที่เพิ่งกลับมาจากเขตชางงี กับเด็กใหม่อีกสองคนมารวมตัวบนถนนพร้อมกับทุกคนในทีม
ฉินอวี่ไม่ได้ตื่นเต้นกับปีใหม่แต่อย่างใด แต่เขารู้สึกว่าที่ผ่านมานั้น เพื่อนๆและพี่น้องทุกคนได้สัมผัสอะไรหลายอย่างมาด้วยกัน ดังนั้นถือเป็นโอกาสดีในการรวมเพื่อมาสนุกสนานร่วมกัน