Special District 9 – เขตพิเศษที่ 9 - ตอนที่ 268 พ่อเคยเป็นไอดอลของผมมาก่อน
ตอนที่ 268 พ่อเคยเป็นไอดอลของผมมาก่อน
ในห้องรับแขกบ้านตระกูลจ่าว
“ตาจ่าว เสี่ยวเปาดูอารมณ์ไม่ดีนะ” แม่จ่าวนั่งอยู่บนโซฟาด้วยท่าทางเป็นห่วง “คุณได้ด่าอะไรเขาไปรึเปล่า?”
ท่านรัฐมนตรีจ่าวยืนขึ้นพลางขมวดคิ้ว “กลับมาค่อยว่ากันเถอะ เดี๋ยวฉันจะออกไปข้างนอกก่อน”
“ไปทําอะไรเหรอ?”
“ก็ไปเช็ดก้นให้มันน่ะสิ” ท่านรัฐมนตรีตอบกลับและกําลังจะเดินออกจากประตู
ทันทีที่จ่าวเปาได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากชั้นบน เขาจึงเดินลงมา “แม่ ผมอยากคุยกับพ่อหน่อยน่ะ”
รัฐมนตรีจ่าวได้ยินจึงหันหลังกลับ
“โอเคๆ ทั้งสองคุยกันเถอะเดี๋ยวแม่จะเข้าไปทําอาหารในครัวหน่อย” แม่จ่าวได้ยินจึงรีบเดินออกจากห้องรับแขกและเข้าห้องครัวอย่างโล่งใจ
จ่าวปู่ครุ่นคิดอยู่นานก่อนหันกลับมาแล้วนั่งลงบนโซฟา
หลายนาที่ผ่านไป
จ่าวมองดูลูกชายที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของตัวเองพลางถอนหายใจ “แกจะคุยกับฉันไม่ใช่เหรอ? ก็พูดมาสิ!”
จ่าวเปาก้มหน้าลงพร้อมกับดวงตาแดงก่ํา “ผมจะเปิดเผยคดีนี้ในคอลัมน์ข่าวกฎหมาย”
“ไม่ได้!” จ่าวปู่ปฏิเสธทันที
“ทําไมล่ะครับ?!” จ่าวเปาเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว “ผมมีหลักฐานครบถ้วน และตอนนี้ก็สามารถแถลงได้หมดแล้ว ผมจะให้ความร่วมมือกับตํารวจในการสืบหาตัวคนร้ายเพื่อแก้แค้นให้กับถังหยวน”
“คอลัมน์กฎหมายเป็นสื่อของคนทั้งเมืองซ่งเจียง ไม่ใช่ของแกคนเดียว”
“แล้วถังหยวนไม่ใช่ประชาชนของซ่งเจียงงั้นเหรอครับ? หืม?!” จ่าวเปายืนขึ้นพร้อมเผยสีหน้าทั้งทุกข์ใจ เคียดแค้น และเสียใจปะปนกันอย่างอธิบายไม่ถูก “เขาตายด้วยน้ํามือของพวกค้ามนุษย์ สื่อของเราก็มีหน้าที่ต้องแพร่กระจายข่าวไม่ใช่เหรอ?”
“ฉันบอกว่าไม่ได้ก็คือไม่ได้!” จ่าวกําหมัดแล้วมองลูกชายตัวเอง “แกเพิ่งกลับมาได้ไม่นาน แกไม่มีวันเข้าใจสถานการณ์ในฮ่งเจียงตอนนี้หรอก”
“ พ่อครับ นี่ไม่ใช่เหตุผล” ตั้งแต่เล็กจนโตจ่าวเปาไม่เคยปะทะกับพ่อตัวเองแบบนี้มาก่อน “ผมจะเปิดโปงคดีนี้แล้วมันเกี่ยวกับเข้าใจไม่หรือไม่เข้าใจเหตุการณ์ตรงไหนครับ ผมเป็นสี่อ หน้าที่ของผมก็คือการเปิดเผยเรื่องจริง”
“แกรู้ไหมว่าเปยเตอหยงเป็นคนยังไง?”
“ผมไม่รู้”
“แกไม่รู้แล้วแกยังจะกล้าไปเล่นกับมันอีกเหรอ?”จ่าวปู่โมโหจึงยืนขึ้นก่อนตะโกนด่าลูกชายตัวเอง “แกรู้ไหมว่ามีคนต้องบาดเจ็บกับเรื่องนี้มาแล้วไม่รู้ต่อกี่คน? แล้วแกเคยรู้บ้างรึเปล่าว่ามันพรากชีวิตคนไปแล้วกี่ชีวิตเพื่อแลกกับไอ้แค่เส้นทางการเดินยา? มันไม่ใช่อาชญากรธรรมดา ๆ อย่างที่แกคิด! แต่มันเป็นอาชญกรที่มีทั้งเงินทองและอํานาจอย่างมหาศาล!”
จ่าวเปามองพ่อตัวเองอย่างเหม่อลอยพร้อมแววตาอึ้งทั้ง
“แกรู้ไหมว่าวันนี้แกโชคดีมาก? ถ้าแกมาเร็วกว่านี้สักหน่อย และถ้าเมื่อวานแกไม่แยกกันกับเพื่อนร่วมชั้นของแก แกรู้ไหม ว่าตอนนี้จะเกิดอะไรขึ้นกับตัวแกบ้าง? ห้ะ?!” จ่าวปู่ถามกลับด้วยความโมโห “เราเลี้ยงแกมาจนโตขนาดนี้ ถ้าไม่เห็นแก่ตัวเองก็เห็นแก่เราเถอะ!”
“ พ่อครับ ผมรู้ว่าผมเป็นลูกของพ่อ แต่ผมก็มีหน้าที่การงาน ของตัวเอง” จ่าวเปาชี้ไปที่พื้นพร้อมตอบกลับด้วยเสียงกระแทก “เราจะทําเป็นไม่รู้ไม่เห็นเพียงเพราะว่าเปยเตอหยงเป็นคนที่กล้าเล่นกับชีวิตคนอื่น หรือกล้าที่จะฆ่าคนไม่ได้นะพ่อ!หรือจริงๆ แล้วหน้าที่หลักของการเป็นสื่อ สารธรณะเป็นแค่สิ่งที่ทําให้พ่อมีหน้ามีตาเหมือนที่ผู้พวกนั้นได้สวมหมวกกัน?! หรือเป็นการโน้มน้าวเพื่อปฏิรูปซ่งเจียงด้วยสิ่ง ที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงงั้นเหรอ? เวลาที่นายตํารวจคนหนึ่งได้เลื่อนยศก็มีสํานักข่าวตั้งหลายสิบสํานักไปทําข่าว แต่พอมีเด็กที่ตายอย่างน่าอนาถอยู่นอกเขตเมืองกลับไม่มีแม้แต่คนถามถึง หน้าที่ของเราล่ะครับ? พ่อครับ จรรยาบรรณของเราทิ้งไว้บนโต๊ะไวน์ที่เต็มไปด้วยคําโกหกหมดแล้วใช่ไหม?!”
จ่าวปู่เผชิญหน้ากับคําถามของลูกชาย และตะโกนพร้อมกับชี้ไปที่ประตูด้วยความโมโห “สังคมของเรามันมีแค่เรื่องเด็กแปดคนที่ตายไปเท่านั้นรึไง? หา?! หลายปีก่อนที่เกิดการปะทะขึ้นในเขตที่เก้า พอเสียงปืนดังขึ้นหนึ่งที่ก็มีคนตายนับพันคน แล้ว ตอนนั้นแกได้สนใจมันบ้างไหม?”
“ผมจะช่วยได้หรือไม่ได้มันเป็นอีกเรื่องหนึ่งแต่ผมจะพูด หรือไม่พูดมันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง” จ่าวเปามองไปที่พ่อของตัวเองพร้อมกับน้ําตาที่อาบเต็มทั้งหน้า “พ่อ….ที่ผมเลือกอาชีพนี้ก็เพราะผมมีพ่อคนหนึ่งที่เคยเป็นแรงผลักดันให้กับผม เขาเป็นไอดอลของผมเป็นคนที่ผมสามารถเอาไปพูดอวดเพื่อนๆได้ ฉะนั้นผมจึงพยายามมาโดยตลอด ผมอยากจะออกไปสู่โลกภายนอกอยากจะเข้าเรียนที่ดีๆ หวังว่าวันหนึ่งถ้าผมกลับ มาแล้วผมจะได้ทํางานกับพ่อ แต่พอผมโตขึ้นพ่อกลับไม่ใช่ไอดอลผมอีกต่อไปแล้ว”
จ่าวปู่ยืนอยู่ที่เดิมและไม่พูดไม่จาอยู่นาน
“ผมขอลาออกผมไม่ทําแล้ว” จ่าวเปากัดฟันก่อนจะชี้นิ้วไปที่พื้น “ถึงผมจะต้องกลายเป็นนักจ่าวที่เร่ร่อนผมก็ไม่มีวัน กลับไปผลิตสื่อขยะในห้องร้อยกว่าตารางวาที่พ่อให้ผมอยู่เด็ดขาด”
พูดจบจ่าวเปาก็เดินขึ้นบันไดไปทันที
ในห้องครัว แม่จ่าวชะโงกหัวออกมาก่อนจะพูดอย่างร้อนรนว่า “ฉันให้คุณคุยกับลูก คุณคุยยังไงของคุณเนี่ย?”
รัฐมนตรีจ่าวครุ่นคิดพลางก้มหน้า “จับตาดูมันไว้ให้ดี อย่าให้มันออกจากบ้านแม้แต่ก้าวเดียว”
“ฉะ..ฉันรู้แล้ว” แม่จ่าวพยักหน้า
จ่าวปู่หันหลังแล้วจึงเดินออกจากบ้านไป
หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมง มีรถเก๋งคันหนึ่งขับเข้ามาจอดตรงชั้นล่างของสถานีโทรทัศน์อย่างช้าๆ
ผ่านไปอีกสักพัก เปยเตอหยงก็พาหนานหยางและพวกอีกเจ็ดถึงแปดคนเดินมายืนอยู่ข้างรถเก๋ง
ประตูรถเลื่อนลง จ่าวปู่จึงถามด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “นายคือเปยเตอหยงเหรอ?”
“ครับ ครับ ผมเปยเตอหยงเอง”
“นายขึ้นรถมาสิ” จ่าวปู่เรียกเขาขึ้นรถ
“ผะ.ผมหมดปัญญาแล้วจริงๆ?!” เปยเตอหยงแสดงออกถึ งความหดหูและเกรงใจต่อหน้ารัฐมนตรีจ่าว
ในใจของรัฐมนตรีจ่าวรู้ดีว่าที่เปยเตอหยงไม่กล้าขึ้นรถต้อง เป็นเพราะกลัวตัวเองจะถ่ายวิดีโอหรืออัดเสียงจึงครุ่นคิดอยู่นานก่อนสั่งกําชับคนขับรถ “นายรออยู่ตรงนี้ก่อน”
“ครับ” คนขับรถพยักหน้าตอบ
ท่านรัฐมนตรีว่าวลงจากรถก่อนชี้นิ้วสั่ง “ไปทางนั้น”
“นี่ นี่” เปยเตอหยเดินนําหน้าพร้อมเรียกคนให้เดินตาม
เพียงไม่กี่นาทีต่อมา ภายใต้แสงไฟข้างถนน
“ท่านรัฐมนตรีจ่าว ท่านเป็นคนใหญ่คนโตส่วนผมล่ะเป็น แค่นักธุรกิจตัวเล็กๆคนหนึ่ง” เปยเตอหยงพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ถ้าเมื่อก่อนผมเคยทําอะไรไม่ดีไว้กับท่าน ท่านช่วยให้อภัยผมด้วยนะครับ…”
“เพี้ยะ!”
จ่าวปู่หันกลับมาตบหน้าเปยเตอหยงเต็มแรง
ทุกคนพากันวิ่งไปชั่วขณะ
“แม่งเอ๊ย!” หยางหนานจ้องตาเขม็งก่อนจะเดินขึ้นมาข้างหน้าอย่างใจร้อน
เมื่อเปยเตอหยงรู้สึกตัวก็ขวางหนานหยางไว้ทันทีพร้อมสีหน้าที่ยังคงยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “ปากพล่อยๆ แบบนี้หมายความว่ายังไงล่ะเนี่ยท่านรัฐมนตรีจ่าว?”
“ฉันขอเตือนนายว่าอย่ามาแตะต้องลูกชายฉัน ไม่งั้นนายได้ ตายอย่างอนาถแน่ และแน่นอนว่าต้องอนาถยิ่งกว่าหรูเวินเซงด้วย เข้าใจไหม?!” จ่าวปู่พูดอย่างชัดถ้อยชัดคําพลางชี้ไปที่ปลายจมูกของเปยเตอหยง
เปยเตอหยงจ้องจ่าวปู่พลางตอบกลับ “อ้อ งั้นผมเข้าใจแล้วล่ะ”
“ไม่ต้องหาคลิปวิดีโอนั้นหรอกเฉันทําลายมันไปหมดแล้ว!” จ่าวปู่โบกมืออย่างไร้อารมณ์ “และอีกสักพักลูกชายฉันก็จะออกจากเขตพิเศาที่เก้าแล้วเหมือนกัน”
“เข้าใจ เข้าใจแล้วล่ะ” เปยเตอหยงฟังแล้วก็รู้ทันทีว่าเรื่องนี้ต้องไม่เกี่ยวข้องกับจ่าวปู่และฉินอวี่แน่นอน พวกเขาทั้งสองคนช่างเป็นเด็กตาบอดที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวเสียจริงๆ
“กลับไปเถอะ” จ่าวปู่สะบัดมือไล่
“เดี๋ยวก่อนสิ ผมเตรียมของขวัญเล็กๆน้อยๆ มาด้วย…” เปยเตอหยงยิ้มก่อนจะสั่งให้ลูกน้องเอาเงินออกมาจากรถ
จ่าวปั้มองเปยเตอหยง “ของขวัญของคุณมากมายเกินไป ผมรับไว้ไม่ไหวหรอกครับคุณรีบไปเถอะ”
เปยเตอหยงครุ่นคิดอยู่นาน “โอเคๆ รบกวนท่านเกินไป แล้วท่านรัฐมนตรีว่าว”
จ่าวไม่ได้ตอบกลับแต่อย่างใด
เปยเตอหยงให้สัญญาณทางสายตากับทุกคนก่อนเดินไปทางรถเก๋งอย่างรวดเร็ว
บนถนน
หยางหนานกําลังใช้มือขวาจับปืนใส่กระเป๋า “ไม่หาคลิปวิดีโอแล้วเหรอ? ที่ตาแก่คนนี้พูดน่ะเชื่อได้จริงเหรอ? ไม่งั้นให้ฉันบอกพวกของเราสักสองคนดีไหมว่าให้จับเมียน้อยของมันไว้ก่อน”
“ไม่ต้องแล้ว คําพูดของรัฐมนตรีว่าวก็ชัดเจนดีแล้ว เขาเป็นคนฉลาดฉันไม่อยากจะสร้างความวุ่นวายให้แก” เปยเตอหยงส่ายหน้า
ตรงข้างทาง จ่าวปู่ยืนอยู่บนพื้นหิมะพลางมองไปที่เปย เตอหยงและนึกถึงคําพูดที่คุยกับลูกชายตอนอยู่ในห้องรับแขกที่บ้านจึงรู้สึกสะใจหน่อยๆ
สองวันผ่านไป ในภูมิภาคเจียงโจว
ฉีหลินยืนตะโกนอยู่ในโกดังใหญ่ “ชาเหมิง ข้างนอกกําลังมีหิมะตก เรารีบจัดเตรียมรถแล้วขับไปสักระยะหนึ่งก่อนดีกว่า ถ้าไม่อย่างงั้นเราคงเดินทางยากแน่นอน”
อีกฝั่งหนึ่ง
จ่าวเปากําลังแอบหนีออกจากบ้าน