Special District 9 – เขตพิเศษที่ 9 - ตอนที่ 271 ปืนกับเงินอีกห้าพันดอลลาร์
ตอนที่ 271 ปืนกับเงินอีกห้าพันดอลลาร์
บริเวณถนนหนานหยาง
รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กขี่ฝาทุ่งหิมะมาและจอดที่ด้านขวาของถนน
ชายหนุ่มลงจากรถมาพร้อมกับกระเป๋าหนังใบใหญ่สี่ใบ และรีบเดินเข้าไปในซุปเปอร์มาร์เก็ตเล็กๆ
ภายในอาคาร เมื่อคนนับสิบเห็นชายหนุ่มเดินมาพวกเขาจึงรวมตัวกันทันที
“ยามาแล้วเหรอ?”
“รีบหน่อย พวกฉันรอตั้งนาน”
คนหนุ่มสาวที่มารวมตัวกันต่างก็เร่งเร้า
“อย่าเร่งสี ใจเย็นก่อน เข้ามาทีละคนยังไงวันนี้ก็มีให้ไม่อั้น” ชายหนุ่มโน้มตัวลงข้างเคาน์เตอร์พลางก้มไปเปิดกระเป๋าหนังสี่ใบก่อนตะโกน “จ่ายเงินมาแล้วรับของไป เตรียมเงินมาให้พร้อมล่ะ”
ทุกคนเข้าคิวและเริ่มซื้อยาที่ละคนอย่างสงบ
ระหว่างซื้อขายอยู่นั้น มีคนต้องการยาเพิ่ม แต่เงินที่นํามาด้วยไม่พอซื้อ คนพวกนั้นจึงจําเป็นต้องลงรายชื่อจ่ายทีหลังอย่างไม่มีทางเลือก
คนอื่นอาจไม่มีความมั่นใจกล้าให้เครดิตกับผู้อื่นในปีนี้ แต่เปยเตอหยงกล้าจะให้ ที่เขาใจถึงพอและพร้อมสนับสนุน ความมั่นใจแบบนี้ก็เพราะเขามียาไม่จํากัด ดังนั้นการเปิดฉากธุรกิจยาในย่านหนานหยางจึงถือได้ว่าเป็นกําไรรายวันอย่างมากจริงๆ
ไม่ถึงยี่สิบนาทีหลังจากขายสินค้าหมด ชายหนุ่มก็รีบออกไปขี่มอเตอร์ไซค์ของตัวเอง พร้อมรีบขี่กลับไปโกดังใหญ่อีกครั้ง
มอเตอร์ไซค์คันเล็กขับไปได้ครึ่งทางเด็กหนุ่มก็จอดรถไว้บนถนนตามปกติ เขาหันหลังและเดินเข้าไปร้านสะดวกซื้อ เพื่อซื้อของกลับบ้าน
“เอ๊ยด!”
เสียงเบรกดังขึ้นอย่างกะทันหัน แสงจ้าส่องมายังหน้าชายหนุ่ม
“อะไรวะเนี่ย?!” ชายหนุ่มตกใจ
“ พลั่ก! บึง!”
ประตูท้ายรถเปิดออก และชายทั้งสามก็รีบลงมา
“พวกนายจะทําอะไร?” เด็กหนุ่มรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขาจึงหันหลังและวิ่งหนี
ชายทั้งสามคนวิ่งตามไปคว้าคอเสื้อชายหนุ่มจากด้านหลัง และประกบเข้าจากทั้งสองด้านทันที
“แกรู้ไหมว่านี่คืออะไร?” คนทางซ้ายดึงมีดออกมาต่อหน้าชายหนุ่ม
“แล้วรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร?! ฉันเป็นคนของเปยเตอหยงจากเขตหนานหยาง” ชายหนุ่มถามกลับขณะเหลือบมองมีด
“ผัวะ!”
คนทางขวาชกหน้าชายหนุ่ม “เป็นเด็กเฒ่าเปยต้องปากดีขนาดนี้เชียวเหรอ?”
ชายหนุ่มตกตะลึง
“อย่าขยับ ไม่งั้นฉันแทงแกแน่” ชายร่างสูงกํายําและเพื่อนอีกคนลากชายหนุ่มเขาเข้าไปในรถ ในขณะที่ชายอีกคนเป็นมอเตอร์ไซค์ของเขาเข้าไปในตรอกมืด
หลังจากนั้นไม่กี่นาที
รถเอสยูวีขับแล่นออกไปที่ถนนเถ้าธุลีด้วยความเร็วสูง
ในรถ ชายหนุ่มมองหม่าเหลาเอ๋อพลางถาม “จับฉันมาทําไม?!”
“แค่อยากจะถามนายสักสองสามคํานะ” หม่าเหลาเอ๋อหันมาพูดจากเบาะด้านข้างคนขับ
“นายหมายความว่ายังไง?” ชายหนุ่มถามด้วยสีหน้าสับสน
หม่าเหลาเอ๋อเอื้อมมือไปคว้าคอเสื้อชายหนุ่มแล้วพูด “ขนาดหนิวเจนยังไม่ปากร้ายเท่านายเลยนะ”
ชายหนุ่มนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ
“นายคงไม่ได้ไปต่อสู้ที่มาโกวล่ะสิเลยไม่รู้จักฉัน?” หม่าเหลาเอ๋อถามด้วยเสียงเรียบ
เมื่อชายหนุ่มได้ยินดังนั้น สายตาก็เปลี่ยนไปและเขาก็จําเหตุการณ์ต่อสู้ในมาโกวได้ในทันที
“ฟังฉันให้ดีนะ” หม่าเหลาเอ๋อพูดขณะชี้หน้าของอีกฝ่าย “บ้านนายที่ชางจีมีแม่ป่วยหรือเปล่า?”
ชายหนุ่มตกตะลึงและไม่ตอบอะไร
“ฉันถามอยู่!” หม่าเหลาเอ๋อตะเบ็งเสียงใส่อีกฝ่าย
ชายหนุ่มสะดุ้ง “ไม่ พะ..พี่พูดอะไร?”
“ตอบมาสิวะ!”
“พี่ไปเช็กมาแล้วเหรอ?” ชายหนุ่มกะพริบตามองหม่าเหลา เอ่อ และถามด้วยความสงสัย
“ไอ้เวรนี่! แกกล้าถามยอกย้อนฉันเหรอ?”
ชายหนุ่มเงียบทันที
หม่าเหลาเอ๋อมองอีกฝ่ายครู่หนึ่งก่อนอธิบาย “เดี๋ยวแกโทรไปบอกเพื่อนแกซะ ว่าแม่แกกําลังจะตายเลยต้องกลับไปที่ชางจีโดยด่วน
ชายหนุ่มตกตะลึงและมองหม่าเหลาเอ๋อด้วยสายตาที่งุนงง “พี่หม่าเหลาเอ๋อ.แม่ของฉันสบายดีอยู่นะ”
“แกต้องหายไปสักพักไง ก็เลยต้องหาเหตุผลว่าทําไมถึงต้องหายไป เข้าใจไหม?” หม่าเหลาเอ๋ออธิบายต่อ “พอแกกลับไปถึงโกดัง แล้วจะได้ออกไปได้ทันทีไงล่ะ”
“แต่แม่ผม…”
“รู้แล้วๆ แม่แกไม่ได้เป็นไร” หม่าเหลาเอ๋อขี้เกียจจะพูด เรื่องไร้สาระกับอีกฝ่ายอีก “แค่โทรไปบอกว่าตาย แล้วคืนนี้แกต้องกลับไปชางจี”
“พี่หม่าอะไรนะ…พี่จะทําอะไร” ขายหนุ่มได้ยินเช่นนั้นก็ยิ่ง
งงงวย
“ช่วยฉันหน่อย”
“ปล่อยผมไปเถอะพี่ ผะ..ผมแค่ทํางานหาเลี้ยงชีพไปวันๆเท่านั้น” ชายหนุ่มอ้อนวอน
หม่าเหลาเอ๋อเอื้อมมือไปหยิบของสองอย่างออกจากกระเป๋า เป็นปืนหนึ่งกระบอกกับเงินปีกหนึ่งประมาณห้าพันดอลลาร์
ชายหนุ่มตะลึงกับสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า
“เลือกอันไหนล่ะ?” หม่าเหลาเอ๋อถาม
“ผมไม่อยากเลือกเลย ผม…”
“ถ้าไม่เลือก ฉันคงต้องเสิร์ฟเจ้านี้ให้แกแล้วล่ะ” ชายร่างกํายําทางซ้ายถือมีดมาจ่อชายหนุ่มเพื่อบังคับ
หม่าเหลาเอ๋อพูดอย่างรวบรัด “มีเงินมาเสนอทั้งที่ยังจะไปลําบากทําแบบเดิมอีกเหรอ? นายทําได้มากกว่านั้น…และนายไม่ต้องรู้สึกผิด ใครๆก็ทําแบบนี้กันหมด”
ชายหนุ่มก้มหน้าพลางครุ่นคิดอย่างหนัก
“จะเลือกอันไหน?!” หม่าเหลาเอ๋อถามด้วยเสียงคําราม
“งั้น..ผมเลือกเงิน!”
“ถ้าทําเสร็จฉันจะให้เงินนายอีกหมื่นหนึ่ง” หม่าเหลาเอ๋อยัดเงินใส่มือชายหนุ่มทันทีพลางออกคําสั่ง “โทรซะ”
หลังจากนั้นไม่กี่นาที
ใบหน้าชายหนุ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงขณะทอดสายตาไปนอกรถที่มีแต่หิมะขาวโพลน จากนั้นก็ตัดสินใจโทรออก “เออ.แม่ของฉันตายแล้ว”
สองวันต่อมาในตอนเย็น
ขบวนรถฉีหลินอยู่ห่างจากซ่งเจียงประมาณหนึ่งร้อยสามสิบกิโลเมตร
ที่ข้างประตูรถริมถนนฉีหลินรับโทรศัพท์ “สินค้าน่าจะถึงประมาณคืนนี้
เตรียมตัวรับของได้เลย”
“โอเค คืนนี้เจอกัน” หม่าเหลาเอ๋อพยักหน้า
“จัดห้องให้ด้วยนะ ฉันจะพาพวกลูกน้องเข้าไปเที่ยวในเมืองบ้างเพื่อพักผ่อน” ฉีหลินพูด
“ได้ เดี๋ยวฉันจัดการเอง”
“โอเค แค่นี้นะ”
หลังสิ้นเสียงทั้งสองก็วางสายไป
บอกพวกเขาให้เตรียมตัวเลย รีบสั่งอะไรมากินให้อิ่ม อยากจะงีบก็ตามสบาย พอฟ้ามืดเราต้องออกเดินทางกันต่อแล้ว
“ถ้าคุณรีบ เราก็ไปกันได้เลย” ชาเหมิงตอบกลับ
“ไม่รีบหรอก หม่าเหลาเอ๋อยังต้องจัดที่จัดทางก่อน” ฉีหลินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็นไร พักผ่อนกันก่อนเถอะ”
“ครับ”
ชาเหมิงเดินไปกระจายคําสั่งกับคนอื่นๆ
ฉีหลินก้มจุดบุหรี่ก่อนเงยหน้าหันไปมองโดยรอบ ทันใดนั้น เขาก็พบรถที่มีโลโก้แปะอยู่จอดบริเวณด้านหลังร้านขายอาหารและเครื่องดื่ม