Special District 9 – เขตพิเศษที่ 9 - ตอนที่ 43
ตอนที่ 43 ลาก่อน
รุ่งสาง
บนดาดฟ้าของคฤหาสน์เริงรมย์ หยวนหัวนั่งเท้าคางอยู่บนโซฟา โดยมีตระกูลทรงอิทธิพลหลายสิบตระกูลในโลกใต้ดินนั่งขนาบข้างซ้ายขวาด้วยท่าทีไม่เป็นมิตร
ความเงียบอึดอัดปกคลุมไปทั่วห้อง ก่อนชายหัวโล้นที่นั่งสั่นขาอย่างร้อนรนคนหนึ่งจะพูดขึ้น “ชื่อเสียงของเราป่นปี้หมดแล้ว การมานั่งประชุมหาทางออกเอาป่านนี้ไม่ต่างอะไรจากการตอกย้ำตัวเอง! พวกแมลงวันตัวอื่นในโลกใต้ดินอาจดิ้นรนเพื่อเงินกับอาหาร แต่เราต่างจากพวกมัน…เราสู้เพื่อความภาคภูมิใจและเกียรติยศ! ไม่ว่าไอ้ฉีหลินจะให้เส้นทางขนสินค้าหรือไม่ เราก็ควรจะกำจัดมันเพื่อเป็นการแก้แค้นเฒ่าหม่าและเฒ่าหลี่ให้สาสมกับสิ่งที่มันทำ!”
“ที่นายพูดมาก็มีเหตุผล” ชายร่างเล็กพยักหน้า “เราต้องเลือกระหว่างไอ้ฉีหลินกับเฒ่าหลี่ ถ้าไม่เลือกจัดการใครคนใดคนหนึ่ง เราจะเสียความน่าเชื่อถืออย่างมาก ไหนจะพวกผู้มีอิทธิพลที่กำลังประเมินสถานการณ์อีก ไม่รู้ว่าพวกเขาจะทำงานกับเราต่อหรือเปล่า”
“ฉันจัดการเอง” ชายหัวโล้นลุกขึ้นอาสา “ฉันจะทำทุกทางเพื่อขัดขวางไอ้ฉีหลินหนีจากออกซ่งเจียงต่อให้ต้องเสียเงินเท่าไหร่ก็ยอม ถ้ายังไม่ได้ผล ฉันก็จะหาวิธีอื่นมาจัดการให้ได้”
“พอแค่นั้นแหละ” หยวนหัวขมวดคิ้วพูด
หลังสิ้นเสียงหยวนหัว ความเงียบก็เข้าปกคลุมภายในห้องอีกครั้ง
หยวนหัวยกถ้วยชาขึ้นจิบ ก่อนกวาดสายตามองกลุ่มพันธมิตรด้วยสีหน้าจริงจัง “สินค้ากับคนของเรายังอยู่ในมือตระกูลหม่า พวกมันกล้าขนาดนี้เพราะมีตาเฒ่าหลี่คอยช่วย ขนาดโดนล้อมขนาดนี้ยังคิดจะทำให้เรื่องมันบานปลายอีกรึไง?”
ชายหัวโล้นลูบใบหน้าด้วยความหงุดหงิด ทว่ากลับไม่กล้าโต้แย้งหยวนหัว
“ตระกูลหม่าตั้งตนเป็นศัตรูกับเราเพราะข้อมูลช่องทางการค้าในมือฉีหลินนั้นก็พอเข้าใจได้นะ แต่ที่ไม่เข้าใจคือทำไมเฒ่าหลี่ถึงเลือกอยู่ฝ่ายนั้น” หยวนหัวยืนขึ้นพลางเดินไปรอบห้อง
“ตราบใดที่เราไม่ไปขวางพวกมันทุกอย่างก็ยังต่อรองได้ แต่ถ้าพวกนายอยากได้ความภาคภูมิใจกับเกียรติยศที่ว่าก็คงต้องสู้ ซึ่งในสองปีที่ผ่านมา อำนาจของผู้กำกับหลี่กับตระกูลหม่านั้นก้าวกระโดดมาก…คิดเหรอว่าจะเอาชนะพวกมันได้ง่ายๆ?! ด้วยสถานการณ์ตอนนี้ พวกมันคงทำทุกทางเพื่อช่วยฉีหลิน ถ้าเราเคลื่อนไหวแค่นิดเดียว สินค้ากับคนของเราจะถูกส่งตัวไปที่สำนักงานตำรวจในวันรุ่งขึ้นทันที เมื่อถึงตอนนั้น…ทั้งเงินและทั้งกำลังคน เราจะไม่เหลืออะไรเลยนอกจากปัญหาที่ตามมา”
ทุกคนภายในห้องต่างพยักหน้าเห็นด้วย เมื่อได้ยินสิ่งที่หยวนหัวพูด
“ยิ่งไปกว่านั้น..ต่อให้หาไอ้ฉีหลินเจอ…คิดเหรอว่าพวกมันจะโง่ถึงขนาดปล่อยให้พวกนายเจรจากันตามลำพัง? ขอทานยังหาพวกได้ นับประสาอะไรกับผู้กำกับการตำรวจที่ทำงานมาหลายปี มันต้องส่งคนไปดูแลอยู่แล้ว” หยวนหัวถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ในเมื่อชิงตัวไอ้ฉีหลินมาไม่ได้ คงต้องปล่อยมันไปและจัดงานศพให้อาเล็กก่อน เราต้องทำให้ยิ่งใหญ่เพื่อเป็นเกียรติแก่เขา”
เมื่อได้ยินคำว่ายิ่งใหญ่ ชายหัวโล้นจึงเตือนหยวนหัวด้วยความกังวลทันที “หยวนหัว…เรื่องของอาเหว่ยทำให้เราเสียหน้าไม่ใช่น้อย ถ้าจัดงานใหญ่ไป คงโดนเอาไปพูดกันสนุกปากแน่”
“คนที่มีดีแค่เปลือกนอกเท่านั้นแหละที่กลัวโดนนินทา” หยวนหัวกล่าวอย่างทะนงตัว “จัดงานให้ยิ่งใหญ่ ส่งเขาและไอ้เสือครั้งสุดท้ายอย่างมีเกียรติ!”
“ได้ครับ” ชายร่างเล็กพยักหน้าตอบรับ
“เลิกประชุม…ไปกันได้แล้ว” หยวนหัวเอ่ยก่อนเดินจากไป
ผู้คนที่อยู่ในห้องได้แต่นั่งสบตากันด้วยสีหน้าไม่สู้ดีก่อนจะถอนหายใจและเริ่มซุบซิบ
อันที่จริงหยวนเค่อก็เข้าร่วมการประชุมวันนี้เช่นกัน แต่เขาก็ไม่พูดอะไรก่อนจะเดินออกจากห้องตามพี่ชายไปอย่างเงียบๆ
ระหว่างทางเดิน หยวนเค่อตามพี่ชายพลางบ่นอย่างไม่พอใจ “ฉันเคยบอกแล้วว่าถ้าอยากให้บริษัทประสบความสำเร็จ เราต้องรักษากฎระเบียบอย่างเคร่งครัด! ในช่วงสองปีมานี้ไอ้พวกลูกน้องประมาทมากเกินไป พวกมันทั้งโง่และไร้ความสามารถที่ไม่เห็นคุณค่าของบริษัท แม่งเอาแต่สร้างปัญหาไม่รู้จบ”
“ดูอย่างไอ้เสือ มันโชคร้ายก็จริง แต่ก็เพราะความอดทนที่มีต่ำของมันเองด้วยแหละ รู้หรือเปล่า…ขณะที่ผมตาลีตาเหลือกกวาดล้างพวกตระกูลหม่า มันกลับแอบเอายาไปขายที่ถนนเถ้าธุลี?! มันคิดแค่ว่าวิธีนี้หาเงินง่าย…แต่กลับไม่คิดว่าถ้าเรื่องถึงหูตำรวจจะเป็นยังไง นี่แหละคือเหตุผลที่ฉันต้องรีบจัดการตระกูลหม่าในตอนนั้นเพื่อไม่ให้ใครรู้เรื่องที่มันทำ! เพราะบางครั้ง คำนินทาก็ฆ่าคนได้!”
“คิดว่าผู้กำกับหลี่ตั้งใจเป็นศัตรูกับเราแต่แรกงั้นเหรอ? จะบอกอะไรให้…มันไม่เคยเห็นเราในสายตาด้วยซ้ำ มันคิดเสมอว่าสักวันเราต้องล้ม อย่างเดียวที่มันสนคือกลัวว่าฉันจะแย่งตำแหน่ง! หยวนเค่อคนนี้ไม่เคยทำตัวบุ่มบ่ามหรือยโสเลยสักครั้ง! ฉันคอยระมัดระวังและอยู่ในกรอบมาตลอด! แต่สิ่งที่ทำให้ไอ้ผู้กำกับหลี่เริ่มระแวงฉันมากขึ้นก็เพราะพฤติกรรมของคนในบริษัท!”
เมื่อได้ยินหยวนเค่อโวยวาย หยวนหัวจึงหันกลับไปมองเขาพลางถามอย่างไม่ใส่ใจ “ตกลงแกต้องการจะสื่ออะไรกันแน่?”
“ที่ฉันอยากบอกคือ…เราจะปล่อยให้อาเล็กตายอย่างสูญเปล่าไม่ได้ ทุกคนต้องได้เรียนรู้จากความผิดพลาดครั้งนี้!” หยวนเค่อพูดด้วยความไม่สบายใจ “เราต้องเริ่มวางกฎใหม่และกำจัดพวกแตกแถวซะ”
หยวนหัวมองน้องชายก่อนจะชี้นิ้วใส่หยวนเค่อและพูดขึ้น “แกต้องเข้าใจว่าฉันไม่ได้เป็นหัวหน้าของพวกมีการศึกษา ลูกน้องของฉันมีแต่พวกที่ต้องปากกัดตีนถีบเพื่อหาอาหารในโลกโสมมนี่ ที่มาถึงวันนี้ได้เพราะพวกมันคือฐานอำนาจของฉัน! ถ้าแกสร้างกฎและไล่พวกมันออกจนหมด…แล้วใครจะจัดการกับตระกูลหม่า? แกหรือฉันงั้นเหรอ?”
“ฉันหมายถึง…”
“ความคิดแกก็แค่ทฤษฎีสวยหรู มันใช้กับชีวิตจริงไม่ได้” หยวนหัวเดินออกไปทันทีที่พูดจบ
คำพูดเหล่านั้นทำให้หยวนเค่อโกรธจนเลือดขึ้นหน้า เขาตะโกนด้วยความร้อนใจว่า “พี่หัว…เขตพิเศษที่เก้าไม่ได้วุ่นวายไปตลอด อีกห้าปี สิบปี หรือยี่สิบปีข้างหน้าทุกอย่างจะเข้าสู่สภาวะปกติ สังคมจะเริ่มมีความมั่นคงขึ้น และถ้ายังไม่ปรับตัว พี่นั่นแหละที่จะถูกคนพวกนั้นลากไปตายด้วย!”
หยวนหัวทำหูทวนลมไม่สนใจคำพูดของหยวนเค่อและเดินไปจนลับตา
…
สองวันต่อมา
รถบรรทุกของกองทัพสามคันขับออกจากเขตพิเศษที่เก้า ก่อนไปจอดบริเวณชายแดนแห้งแล้ง
สิบนาทีต่อมา
สุดปลายถนนมีรถบรรทุกสินค้าเก่าๆ คันหนึ่งเปิดไฟสูงส่องมายังพวกเขา
ครู่ต่อมา…ฉีหลิน ฉียู่ รวมถึงแม่เฒ่าอาการออดแอดลงจากรถ พวกเขาโบกมือลาให้กับทหารที่มาส่งก่อนขึ้นรถบรรทุกสินค้า
ทิวทัศน์โดยรอบนั้นเป็นสีขาวจากหิมะที่โปรยปราย ทั้งโลกตอนนี้ถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็งมานานสามถึงสี่ปีแล้ว
ฉีหลินนอนอยู่เบาะหลังของรถบรรทุก หน้าท้องถูกพันด้วยผ้าพันแผล เขามองไปยังเขตพิเศษที่เก้าด้วยความรู้สึกซับซ้อนมากมายที่ประเดประดังเข้ามาในหัว
สถานที่ที่เขาดิ้นรนอย่างสิ้นหวัง พยายามอย่างสุดชีวิตเพื่อเอาตัวรอดในโลกอันโหดร้ายด้วยรอยยิ้ม
สถานที่ที่เขาต้องละทิ้งศักดิ์ศรีและใช้ชีวิตเหมือนหมาข้างถนน เพื่อหวังเพียงแลกเศษอาหารกินไปวันๆ…
ตอนนี้เขากำลังออกจากสถานที่อันโสมมแห่งนั้น โดยไม่สามารถเอาอะไรติดตัวมาได้เลยแม้แต่ผ้าห่มดีๆ สักผืน มีเพียงหนี้ก้อนโตกับอีกสองชีวิตที่ต้องปกป้อง
ทุกอย่างจบสิ้นลงแล้ว การทำงานหนักตลอดหลายปีที่ผ่านมาพังทลายลงในชั่วข้ามคืน
ฉีหลินไม่รู้ว่าทำไมถึงยอมใช้ชีวิตอย่างไร้ค่าอยู่หลายปี แต่ตอนนี้เขาตัดสินใจแล้วว่าจะยืนด้วยขาตัวเองอีกครั้ง
เขาพิงศีรษะกับหน้าต่างรถบรรทุกที่ถูกเคลือบไปด้วยน้ำแข็งพลางพึมพำ “อย่าให้ฉันหาย…อย่าให้ฉันได้มีโอกาสกลับมา เพราะถ้าวันนั้นมาถึง…ฉันจะยืนมองพวกแกร้องคร่ำครวญด้วยรอยยิ้มอย่างมีความสุข”
………………………………….