Special District 9 – เขตพิเศษที่ 9 - ตอนที่ 53
ตอนที่ 53 นี่แหละชีวิตฉัน
เมื่อได้ยินคำถามของแมวเฒ่า ฉินอวี่จึงหัวเราะก่อนตอบว่า “ก็แค่อาศัยชื่อเสียงที่มีในการเอาตัวรอด ฉันไม่เคยปล้นใครโว้ย”
“จริงเหรอ?” แมวเฒ่าหัวเราะทันทีที่ได้ยินคำตอบ
ทั้งสองมองหน้ากันครู่หนึ่งก่อนฉินอวี่จะถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ฉันก็คนนะ…ต้องกินต้องใช้เหมือนกัน”
“เออ รู้แล้วหน่า” แมวเฒ่าพยักหน้า
…
ฉินอวี่และแมวเฒ่าขับรถเดินทางต่อ ใช้เวลานานกว่าสิบชั่วโมงจนในที่สุดก็ถึงทางตอนใต้ของเขตพัฒนา ซึ่งสภาพอากาศไม่หนาวจัดเท่าทางเหนือ
แหล่งที่ฉีหลินใช้กบดานตั้งอยู่กลางที่ราบใกล้ภูเขาเฟิงอัน ชาวบ้านมักรวมกลุ่มกันเสี่ยงชีวิตขึ้นเขาเพื่อล่าสัตว์มำทำอาหาร แต่ถ้าหาได้มากพอพวกเขาก็จะแบ่งไปขายในเขตปกครองพิเศษเพื่อแลกกับเงิน
ด้วยแหล่งอาหารและรายได้ที่มั่นคง ทำให้ภูมิภาคนี้มีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าในย่านสามอุปสรรค
ฉินอวี่ไม่เคยมาที่เฟิงอันเนื่องจากผู้คนไม่ค่อยเป็นมิตร เพราะของป่าที่หาได้เพียงพอต่อประชากรร้อยคนเท่านั้น หากมีคนมากกว่านี้ทรัพยากรจะขาดแคลน จึงทำให้ผู้คนรู้สึกไม่ยินดีนักที่มีคนนอกเข้ามา
ฉินอวี่มีเพื่อนอยู่คนหนึ่งที่แวะเวียนมาที่เฟิงอันบ่อยครั้งและมีอิทธิพลอยู่ไม่น้อย จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ฉินอวี่ส่งฉีหลินมาตั้งรกรากที่นี่แม้ตนจะไม่เคยมา
หลังจากขับมาจอดหน้าบ้านไม้สภาพทรุดโทรมหลังหนึ่ง แมวเฒ่าและฉีหลินก็ลงมาจากรถจี๊ป
“มีคนอยู่ในบ้านทุเรศขนาดนี้ด้วยเหรอ?” แมวเฒ่ามองบ้านไม้ผุพังสลับกับพื้นดินแห้งแล้งพร้อมส่ายศีรษะ “ทำเอาเขตพิเศษที่เก้ากลายเป็นสวรรค์ไปเลย ฉันเข้าใจแล้วว่าทำไมนายถึงไต่ยศได้ไวขนาดนั้น ถ้าผ่านนรกนี่ไปได้อยู่ที่ไหนก็รอด!”
“เจอฉีหลินก็อย่าไปพูดอะไรหมาๆ แบบนี้แล้วกัน หมอนั่นยังเจ็บปวดกับเรื่องที่ผ่านมาอยู่” ฉินอวี่พูดเตือน
“เออ…ไม่ต้องห่วง ถ้าได้ฟังฉันด่าเดี๋ยวก็รู้สึกดีขึ้นเอง” แมวเฒ่าตอบ
“นายนี่มัน…” ฉินอวี่หมดปัญญาเถียงพลางถอนหายใจเดินเข้าบ้าน
“แอ๊ด…”
แต่ไม่ทันไรฉีหลินก็เปิดประตูออกมา เขาได้ยินเสียงเครื่องยนต์จึงตั้งใจมาดูก่อนจะชะงักเมื่อเห็นทั้งสอง
แมวเฒ่าเดินเข้าไปตบศีรษะฉีหลินก่อนพูดขึ้น “ว่าไงพวก คิดถึงฉันไหม?!”
“ทะ…ทำไมพวกนายถึงมาอยู่ที่นี่ได้?” ฉีหลินตกตะลึง
“พวกฉันมาที่นี่เพราะมีเรื่องอยากถามแต่ติดต่อนายไม่ได้เลย” แมวเฒ่าพูดพลางถือวิสาสะเดินเข้าบ้านไป “คุณน้า…ฉียู่!”
ฉียู่เดินออกจากห้องทันทีที่ได้ยินเสียง ก่อนพูดทักทายอย่างนอบน้อม “สวัสดีค่ะพี่แมว”
“ตัวโตขึ้นหรือเปล่าเนี่ย? ผิวพรรณดูเปล่งปลั่งเชียวนะ” แมวเฒ่าทักทายเรื่อยเปื่อยตามประสา
“แมวเฒ่ามาเหรอลูก?” หญิงชราตะโกนถามขณะนั่งอยู่บนเตียงเตา
แมวเฒ่าส่งถุงใบใหญ่ให้ฉียู่ “ถุงนี้พวกพี่ซื้อมาให้ ล่ะก็หลังรถพี่ยังมีอีกเพียบเลย เดี๋ยวให้พี่เธอไปเอาแล้วกัน””
“ขอบคุณค่ะพี่แมว!” ฉียู่รับถุงด้วยสีหน้ายิ้มแย้มก่อนจะรีบพาแมวเฒ่าเข้าบ้าน
แมวเฒ่าเข้าไปนั่งบนเตียงเตาก่อนเอ่ยถาม “สบายดีไหมครับคุณน้า?”
“สบายดีจ๊ะ”
“ค่อยยังชั่ว แต่ผมว่าคุณน้าควรเลิกบุหรี่นะครับ เพราะอีกไม่กี่ปีผมจะได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้กำกับการตำรวจแล้ว ถ้าคุณน้าอยู่ถึง ผมสัญญาว่าจะทำให้น้ากับฉียู่มีชีวิตที่ดีขึ้น!”
…
อีกด้านหนึ่งของบ้าน
ฉีหลินพาฉินอวี่ไปนั่งเก้าอี้ก่อนพูดด้วยรอยยิ้ม “เดี๋ยวฉันเอาน้ำมาให้”
“ไม่ต้องหรอก” ฉินอวี่โบกมือปฏิเสธ “นั่งลงสิ”
ฉีหลินนั่งลงข้างฉินอวี่
“แผลเป็นไงบ้าง?” ฉินอวี่ถาม
“หายแล้ว” ฉีหลินตอบพลางขยับแขนขาเพื่อแสดงว่าสบายดี ก่อนพูดขึ้นด้วยความซาบซึ้ง “ต้องขอบคุณจอห์นเพื่อนนายมากๆ นอกจากบ้านหลังนี้แล้ว ยาต่างๆ ก็ได้เขานี่แหละช่วยหามาให้ ถ้าไม่ได้เขา…ฉันคงตายไปแล้ว”
“เห็นนายสบายดีฉันก็โล่งอก” ฉินอวี่ตอบด้วยรอยยิ้ม
ทั้งสองพูดคุยกันอยู่พักใหญ่ก่อนฉีหลินจะถามเสียงแผ่ว “หลังจากที่ฉันหนีมา ตระกูลหยวนยังก่อปัญหาอยู่อีกหรือเปล่า?”
“อืม…สถานการณ์ไม่ดีขึ้นเลย” ฉินอวี่ตอบตามจริง “ช่วงนี้มีแต่เรื่อง ฉันกับแมวเฒ่าเลยไม่รู้ทำไง นอกจากมาหาคำตอบกับนายที่นี่”
“นายอยากรู้อะไรล่ะ?”
“นอกจากกระเป๋าใบนั้นแล้ว อาหลงได้พูดหรือทิ้งข้อมูลอย่างอื่นให้อีกไหม? ข้อมูลอะไรก็ได้…อย่างชื่อเพื่อน พี่น้อง หรือคนรู้จัก” ฉินอวี่ถาม
“บอกตามตรงว่าตอนนี้สถานการณ์ฝั่งตระกูลหม่าไม่ค่อยดีเท่าไร เฒ่าหลี่เองก็ถูกบังคับให้เลือกข้าง เหตุผลเดียวที่หยวนหัวยังไม่ล้างแค้น เพราะเขากำลังรอให้เรื่องวุ่นวายบนถนนเถ้าธุลีสงบลง ซึ่งอีกไม่นานแน่นอน ถ้าไม่มีเส้นทางขนยา…ตระกูลหม่าก็ทำอะไรไม่ได้ แถมเฒ่าหลี่ยังต้องเสียเส้นสายไปอีก เพราะงั้นเพื่อความอยู่รอด เราต้องหามันให้เจอ”
หลังได้ฟังคำอธิบายของฉินอวี่ ฉีหลินนิ่งเงียบมองพื้นด้วยความสับสนครู่ใหญ่
“เป็นอะไรหรือเปล่า?” ฉินอวี่เอ่ยถามเมื่อรับรู้ถึงความผิดปกติของฉีหลิน
ไม่นานฉีหลินจึงลุกขึ้นและหันไปยกฟูกนอนก่อนดึงกระเป๋าสีดำออกมา
ฉินอวี่ผงะ “ฉันไม่เข้าใจ…”
“เปิดดูสิ” ฉีหลินส่งกระเป๋าให้ฉินอวี่
ฉินอวี่เปิดกระเป๋าหยิบกระดาษใบเล็กออกมา
ฉีหลินนั่งลงบนเตียงพลางลูบแก้มและพูดขึ้น “มันคือกระเป๋าที่อาหลงให้ไว้ ก่อนไปเขาบอกไว้ว่าถ้ามีปัญหาให้โทรไปเบอร์นี้…ตอนนั้นฉันยังเป็นตำรวจอยู่ ไม่อยากให้เขาโดนจับก็เลยไม่ได้สนใจอะไร แต่หลังจากอาหลงตาย หยวนเค่อบังคับให้ฉันบอกข้อมูลสินค้า ฉันถึงนึกขึ้นกระเป๋าใบนี้ขึ้นมา…”
“แต่ตอนนั้นฉันให้เบลล่าดูแลกระเป๋า พอกลับไปหามันก็ดันเจอเธอกับไอ้เสือกำลังเล่นชู้กันซะก่อน ฉันโกรธมาก…ทำให้เบลล่ากลัวจนต้องโกหกว่าทิ้งกระเป๋าไปแล้ว และฉันก็เชื่อเธอและคิดว่ามันคงหายไปจริงๆ”
ฉินอวี่นั่งฟังด้วยความงุนงง
“ฉันเพิ่งรู้ตอนมาถึงที่นี่ว่าแม่เป็นคนเก็บกระเป๋าไว้” ฉีหลินฝืนยิ้ม “ที่จริงเบลล่าไม่ได้ทิ้งกระเป๋า…แต่เป็นแม่ขี้งกของฉันที่เอาไปใช้ คืนนั้นพอฉันบอกว่าจะย้ายออก เธอก็เลยเก็บข้าวของรวมถึงกระเป๋าใบนี้ด้วย”
ฉินอวี่นิ่งเงียบ
“นี่แหละชีวิตฉัน!” ฉีหลินเผยท่าทีไม่พอใจและโมโหอย่างชัดเจนขณะพูดประชดประชัน “พอได้ยินว่ามันถูกโยนทิ้ง…ฉันพลิกแผ่นดินหาจนสิ้นหวัง ฉันต้องทิ้งงาน ฆ่าคน โดนยิงเกือบตาย จนสุดท้ายต้องหอบครอบครัวหนีหัวซุกหัวซุน แต่แล้วมันก็โผล่มาหลังความเฮ็งซวยทุกอย่างจบลง พระเจ้าใจร้ายกับฉันเกินไปหรือเปล่า? ฮ่าๆ!”
ฉินอวี่นั่งเงียบมองฉีหลิน แม้ทุกอย่างจะดูเหมือนเดิม แต่ลึกๆ แล้วเขารู้ว่าในตัวฉีหลินมีบางอย่างที่เปลี่ยนไป
“ฉันดูแล้ว ในกระดาษมีแค่เบอร์โทร” ฉีหลินพูดขึ้น “แต่ฉันโทรหาเขาไม่ได้และนายก็มาได้จังหวะพอดี ไปตามหาเพื่อนอาหลงกัน…ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราต้องเปิดช่องทางการค้าขึ้นใหม่ให้ได้”
“นี่นายคิดจะ…” ฉินอวี่อึ้งไปชั่วขณะ
“เมื่อก่อนฉันดูถูกอาหลง คิดว่าเขาเห็นแก่ตัวและไม่มีความรับผิดชอบ” ฉีหลินยิ้มอย่างอาลัย “แต่ตอนนี้ฉันอยากเดินตามรอยเขา ฉันจะสานต่อสิ่งที่เขาทำทิ้งไว้ให้ได้!”
………………………………….