Special District 9 – เขตพิเศษที่ 9 - ตอนที่ 12
ตอนที่ 12 มองโลกมุมต่าง
แปดนาฬิกาของวันรุ่งขึ้น
หยวนเค่อส่งยิ้มให้ฉินอวี่ในห้องทำงานส่วนตัวของตน “เอาล่ะ! เข้าประเด็นเลยแล้วกัน ทุกคนที่ร่วมปฏิบัติการเมื่อวานจะได้รับเงินชดเชยคนละสามร้อยหยวน ซึ่งเงินจำนวนนั้นถูกโอนเข้ากองทุนหน่วย…”
ฉินอวี่ยกนิ้วโป้ง “เยี่ยมครับ!”
“ไปทำงานต่อได้แล้ว ฉันจะรอฟังข้อสรุป”
“ครับ” ฉินอวี่พยักหน้า “ออกไปได้!”
“เดี๋ยว…” หยวนเค่อกล่าวพลางเปิดลิ้นชักพร้อมหยิบกล่องรองเท้าออกมา “นายใส่รองเท้าไซส์อะไร?”
“สี่สิบสามครับ”
“อืม…เราใส่ไซส์เดียวกัน” หยวนเค่อตอบพร้อมนำกล่องรองเท้าวางไว้บนโต๊ะ “รองเท้าคู่นี้ฉันได้มาฟรี ทว่ายังไม่เคยใส่…นายเอาไปใช้สิ”
“มะ…มันแพงนะครับ”
“ก็แค่รองเท้าคู่เดียว!” หยวนเค่อโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ “เอาไปเถอะ…”
ฉินอวี่มองกล่องรองเท้าพลางคิด หยวนเค่อมิใช่คนที่สักแต่พูด เขาพร้อมทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ของลูกน้อง
“ขอบคุณครับผู้หมวดหยวน”
“ไม่เป็นไร…ไปได้แล้ว” หยวนเค่อกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ครับ!”
ฉินอวี่หยิบกล่องรองเท้าและเดินออกไป
…
สองห้องถัดมาไม่ไกล…สมาชิกทีมสามสอบปากคำผู้ต้องหาคดีลักลอบค้ายาอย่างเข้มข้น ทว่าสิ่งที่ต้องประหลาดใจคือหม่าเหลาเอ๋อและลุงสามต่างปิดปากเงียบ แม้ลูกสมุนทั้งสองคนจะรับสารภาพแล้วก็ตาม
ฉินอวี่ไม่ถนัดพูดจาหว่านล้อม เนื่องจากเขาเคยอาศัยอยู่ที่เขตพัฒนามาก่อน วิถีชีวิตหล่อหลอมให้เขาต้องเป็นคนหยาบกระด้าง ทว่าสมาชิกคนอื่นๆ ของทีมถนัดเรื่องคำพูดเกลี้ยกล่อมและหลักการกฎหมาย ดังนั้นฉินอวี่จึงมอบหมายหน้าที่นี้ให้แก่พวกเขา
วันพฤหัสเวลาบ่ายสามโมง…
ฉินอวี่พูดคุยอย่างเป็นกันเองกับฉีหลิน จาบี น้องหกและทีมคนอื่นๆ ในห้องทำงาน ขณะจู้เหว่ยเดินเข้าห้องมาอย่างเมามาย
“เฮ้ย! ไม่สอบปากคำผู้ต้องหาแล้วหรือไง?!” จู้เหว่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“อืม พักอยู่” ฉินอวี่พยักหน้า
เพียะ!
จู้เหว่ยตบหัวหัวฉีอวี่อย่างจัง “เขยิบไป!”
ฉินอวี่ยิ้มพร้อมขยับตัวหนี “เลิกทำตัวหยาบคายกับฉันเสียที! มีสิทธิ์อะไรมาตบหัวคนอื่น!”
“ไอ้เวร! ตบหัวแค่นี้ไม่ได้! แกวางอำนาจเช่นนี้เพราะผ่านงานแล้วงั้นสิ?!” จู้เหว่ยยั่วโมโห
“นายกินเหล้าในเวลางานอีกแล้วเหรอ?!” ฉินอวี่ถาม “ก็รู้ว่าเหล้ามันแพง! ถ้ายังตามใจปากแบบนี้ วันหน้านายจะหมดตัวเอานะ!”
“ช่วยไม่ได้…ฉันต้องสังสรรค์กับเพื่อนฝูง!” จู้เหว่ยตอบพลางสั่นขา “พ่อแม่เอาแต่รบเร้าให้แต่งงาน พวกเขานัดให้ฉันไปเจอสาวญี่ปุ่น”
“อืม” ฉินอวี่พยักหน้าพลางหยิบบุหรี่ชุนฮวาออกมาคาบก่อนจุดไฟ
“อะไรวะ?!” จู้เหว่ยอึ้งก่อนด่า “ไอ้สัตว์! ไหนบอกว่าบุหรี่หมด! โกหก! ส่งมาสักมวน!”
“หมด…มวนนี้มวนสุดท้าย!” ฉินอวี่ตอบก่อนหันไปสูบ
“หยุดแกล้งหัวหน้าสักที! บุหรี่นั่นแพงจะตายนายก็รู้! เป็นฉัน…ฉันก็ไม่ให้!” กวนฉีกล่าวกับจู้เหว่ยอย่างติดตลกพลางผายมือไปที่ฉีหลิน “แต่หัวหน้า! ผมไม่ได้ขี้เมาแบบเขา ดังนั้นของสักมวนหนึ่งสิ!”
หากจู้เหว่ยไม่พูดจาหยอกล้อฉินอวี่ คนในทีมก็คงไม่มีใครกล้าพูดจาไร้กาลเทศะกับเขาเช่นนี้ ทว่าคนอย่างจู้เหว่ยชอบพูดจาขวานผ่าซาก ซึ่งมันส่งผลเสียให้แก่คนรอบข้างทำให้พูดจาแย่เหมือนกับเขา
“หึ! ขี้เหนียวว่ะ…แบ่งกันบ้างสิ!” จู้เหว่ยกล่าวพลางจับข้อมือฉินอวี่
“หัวหน้าทีมอย่างกไปหน่อยเลย แบ่งให้พวกเราบ้างครับ? ครึ่งมวนก็ได้…” จาบีกล่าว
“ฉันไม่มีแล้วจริงๆ” ฉินอวี่ตอบพร้อมกระโดดหนี
“จับไว้!” จู้เหว่ยจับไหล่ของฉินอวี่เอาไว้พร้อมตะโกนสั่งคนในทีม “จับเขาไว้! เอาบุหรี่ในกระเป๋าออกมาแบ่งกัน! แม่ง! นายนี่ไม่มีน้ำใจต่อคนในทีมเลย…เพิ่งมาใหม่ทำไมขี้เหนียวขนาดนี้?”
“จู้เหว่ย! หยุด! ฉันบอกว่ามันหมดแล้ว!” ฉินอวี่ตอบพลางหัวเราะ
“เร็วสิ! จับไว้! น้องหกจับขา!” จู้เหว่ยตะโกน
ทันใดนั้นความวุ่นวายเข้าครอบงำทุกคนในทีมยกเว้นแต่ฉีหลิน…สมาชิกทีมคนไทยสองคนที่ยังบาดเจ็บอยู่วิ่งเข้าไปจับฉินอวี่พร้อมค้นตัวเขา
“หยุด! ฉันไม่มีจริงๆ…ฮ่าๆ” ฉินอวี่กล่าวพร้อมหัวเราะไปกับคนในทีม
“ฮ่าๆๆ แล้วมันหายไปไหนหมดล่ะ?” ฉีหลินกล่าวด้วยรอยยิ้มก่อนเดินไปกินน้ำ
“ฮ่าๆ ฉันจะจัดการนายเอง! ออกมาเร็วไอ้บุหรี่!” จู้เหว่ยเริ่มล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าของฉินอวี่
ฉึก!
ฉินอวี่คว้ามีดสั้นบนและแทงไปที่ต้นขาของจู้เหว่ย
การจู่โจมอย่างกะทันหันนี้ทำให้จู้เหว่ยตัวแข็งทื่อ
“อย่างยุ่งกับฉันอีก! ไม่อย่างนั้นนายจะต้องเจ็บตัว!” ฉินอวี่ตะโกนด้วยรอยยิ้มขี้เล่น ก่อนจ้วงมีดไปที่ต้นขาของจู้เหว่ยซ้ำอีกครั้ง
ฉึก!
จู้เหว่ยผงะถอยหลังทันทีที่มีดแทงทะลุผิวหนัง
สมาชิกทุกคนในทีมต่างตกใจเมื่อเห็นเลือดสาดกระเซ็น พวกเขาต่างหันไปมองฉินอวี่ด้วยใบหน้างุนงงและตกใจ
“มองทำห่าอะไรวะ?! อยากโดนแทงหรือไง?! แค่หยอกเล่นนิดหน่อยเอง…” ฉินอวี่แสร้งตกใจพลางวางมีดลง ก่อนก้มมองต้นขาของจู้เหว่ย “เป็นอะไรมากไหม?”
ความเจ็บปวดไม่ได้ทำให้จู้เหว่ยสงบลง เขาลุกขึ้นผลักฉินอวี่ทันที “เฮ้ย! มึงจะฆ่ากันเหรอวะ?! แทงทำไม?!”
ฉินอวี่ยักไหล่พลางยิ้มเจ้าเล่ห์ “บอกแล้วว่าอย่ามายุ่ง! ฉันพยายามข่มอารมณ์หลายครั้งแล้ว…ทว่าพวกนายยังเล่นไม่เลิก! สุดท้ายก็เจ็บตัว!”
เมื่อได้ยิน ทุกคนนิ่งเงียบพร้อมหันมองฉินอวี่ด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ฉินอวี่ไม่ได้ใส่ใจท่าทีของพวกและกล่าวพลางหัวเราะ “ครั้งหน้าก็อย่าวุ่นวายกับฉันให้มาก!”
จากนั้นฉินอวี่เดินไปหาจู้เหว่ย “ไปทำแผลที่โรงพยาบาลกัน…”
จู้เหว่ยลังเลก่อนก้มหน้าพลางยื่นมือให้ฉินอวี่พยุง เพราะความโกรธที่เขามีก่อนหน้านี้หายไปหมดแล้ว
…
หลังจากนี้ไม่มีใครในทีมสามกล้าพูดจาไม่เคารพฉินอวี่อีกเลยรวมถึงจู้เหว่ยด้วยเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น…ไม่มีใครกล้ามองว่าเขาเป็นเด็กใหม่อีกต่อไป!
จากมุมมองของฉีหลิน…ฉินอวี่สามารถปราบจู้เหว่ยได้อยู่หมัด และรู้สึกว่าฉินอวี่มีทักษะรับมือสถานการณ์ได้ดี อีกทั้งเป็นคนจิตใจดี เข้ากับคนง่ายจึงดูเป็นมิตร ทว่าหากมีใครลามปาม…ฉินอวี่มีวิธีจัดการขั้นเด็ดขาดที่สามารถเตือนสติอีกฝ่ายว่าอย่าล้ำเส้น และวิธีที่เขาเลือกยังเป็นการรักษาศักดิ์ของเขาได้อีกด้วย
สิ่งนี้ทำให้ฉีหลินตระหนัก…เพราะตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ลักพาตัว หัวหน้าการสามไม่กล้ายุ่งวุ่นวายกับฉินอวี่อีกเลย
นั่นก็เพราะ….
ฉินอวี่ก็สามารถปกป้องตัวเองและสู้ได้เป็นอย่างดี
ขณะที่ฉีหลินตระหนักได้ทันทีว่าฉินอวี่จะไปได้ไกล แม่ว่าสถานการณ์รอบตัวจะวุ่นวายเพียงใดเขาก็แก้ไขและสามารถเป็นใหญ่ได้
กล้าหาญ…ทว่าอ่อนไหว มีสติและฉลาด อีกทั้งใส่ใจความรู้สึกคนรอบข้าง
บางที…ฉินอวี่อาจฝึกฝนตัวเองเพื่อรอเวลาเข้ารับตำแหน่งที่เขตพิเศษที่เก้านี้มาเนิ่นนานแล้วก็ได้
…
หลังจากฉินอวี่แยกทางกับจู้เหว่ยที่โรงพยาบาล เขาพลันนึกขึ้นได้ว่าต้องกลับบ้านบ้าง ซึ่งสองสามวันที่ผ่านมาเขายุ่งมากจนไม่มีเวลาไปทำความสะอาดบ้านด้วยซ้ำ ดังนั้นจึงโทรหาแมวเฒ่ามาและมุ่งหน้าไปยังบ้านทันที
ขณะเดียวกัน…
ณ โกดังเก็บสินค้าแห่งหนึ่งในตรอกเถ้าธุลี ชายชราอายุราวหกสิบปีเศษถือไม้เท้ามองไปโดยรอบด้วยสายตาว่างเปล่า “ฉินอวี่เหรอ? ไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน…”
“ผมสืบมาแล้วครับ เขาเป็นเด็กใหม่…เพิ่งเข้าทำงานได้ไม่นาน”
“อืม…ทั้งๆ ที่เพิ่งมาก็จับหม่าเหล่าเอ๋อและดามินได้เลย? น่าสนใจ…มีใครหนุนหลังเขาอยู่หรือเปล่า?” ชายชราผู้นั้นพึมพำก่อนหันไปออกคำสั่ง “ไปจับตัวมันมา!”
………………………………….