Special District 9 – เขตพิเศษที่ 9 - ตอนที่ 139 ตัวปัญหาจากไปแต่ภัยร้ายยังคง
ตอนที่ 139 ตัวปัญหาจากไปแต่ภัยร้ายยังคง
ภายในโกดัง
จางเทียนลงลายมือชื่อในร่างสัญญาข้อตกลงการโอนหุ้นและเงื่อนไขต่างๆ ที่อีกฝ่ายเตรียมไว้ล่วงหน้า พอเสร็จสิ้นจึงลุกขึ้นยืน “เราจะไปแล้ว!”
แต่ลูกน้องของชายหัวโล้นที่จับตัวน้องชายภรรยาจางเทียนไว้ยังไม่ขยับเขยื้อน
“ไอ้เวร! ปล่อยคนของฉันซะ!” จางเทียนตะคอกอย่างโกรธจัด
ชายหัวโล้นเก็บเอกสารเข้าแฟ้มหนังวัวก่อนโยนไปให้หยวนเค่อ จากนั้นจึงคุกเข่าลงต่อหน้าจางเทียนและพูดขึ้น “ถ้านายจะเกลียดใครสักคนก็เกลียดฉันเถอะ ฉันทําให้นายต้องตกอยู่ในสภาพนี้”
จางเทียนแสยะยิ้มพลางพูดเหน็บแนม “ฮ่าๆๆ ฉันว่าฉันทําตัวเองมากกว่า ที่ต้องมาตกอยู่ในสภาพนี้ก็เพราะใจอ่อนเกินไป!”
ริมฝีปากชายหัวโล้นสั่นเล็กน้อยอย่างสะเทือนใจ เขาพูดอะไรไม่ออก
“ปล่อยมันไป!” เสี่ยวจิ่วตะโกนสั่งลูกน้อง
ลูกน้องรีบลดปืนลงและขยับเปิดทางให้น้องชายภรรยาของจางเทียนและคนอื่นๆ เดินออกไป
จางเทียนหมุนข้อมือขณะหันไปหาหยวนเค่อและตะคอกเสียงดัง “ถ้าแกทรยศไอ้หัวโล้นเมื่อไหร่ ขอให้ฟ้าผ่าลงกลางกบาลแก!”
กลุ่มคนที่ถูกจับเดินออกจากโกดังไปพร้อมกัน
หยวนเค่อวางแฟ้มสัญญาลงแล้วรีบวิ่งไปประคองชายหัวโล้นให้ลุกขึ้น
“ฉันทําตัวน่ารังเกียจจริงๆ สะอิดสะเอียนตัวเองเป็นบ้า!” ชายหัวโล้นตัดพ้อเหมือนกลายเป็นเด็กสิบขวบ เขาหันไปหาหยวนเค่อและพูดต่อ “ถ้าบริษัทผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปได้ นายต้องคืนเงินให้จางเทียนทุกบาททุกสตางค์ อย่าลืมซะล่ะ!”
“แน่นอน!” หยวนเค่อรับคําหนักแน่น
ชายหัวโล้นมองตามหลังจางเทียนที่เดินห่างไปเรื่อยๆ ด้วยอารมณ์สับสนก่อนละสายตาและโบกมือเรียกกลุ่มลูกน้อง “มา ดื่มฉลองเป็นเพื่อนฉันหน่อย!”
จู่ๆ เสียงเอะอะโวยวายก็ดังขึ้นจากทางเข้าโกดังสินค้า เฒ่าสามเดินเซไปมาอย่างมึนเมา บนตัวมีกลิ่นแอลกอฮอล์เหม็นหึ่ง เขามองจางเทียนตาขวางและตะคอกเสียงดัง “มึงจะไปไหน?!”
“หลีกไป!” จางเทียนตะคอกกลับ
“ไปตายซะไอ้เหี้ย!” เฒ่าสามที่ยืนโงนเงนพยายามทรงตัว ขณะด่าอีกฝ่ายอย่างหยาบคาย
ทุกคนในโกดังตะลึงลานเมื่อได้ยินคํานั้นออกจากปากเฒ่าสาม!
“มึงแช่งใคร?!” จางเทียนโกรธจัดจนท้องไส้ปั่นป่วน เขาถลึงตาใส่อีกฝ่ายด้วยไม่คิดว่าตัวเองจะถูกด่า “พูดอีกทีซิ!”
“ไม่ได้ยินที่กูพูดหรอไอ้ลูกหมา?! ไปตายซะ!” เฒ่าสามตะคอกดังกว่าเดิม
“ไอ้สัตว์นรก!” จางเทียนที่โมโหสุดขีดตะปบลําคอของเฒ่าสามและออกแรงบีบทันที!
ชายหัวโล้นสะดุ้งสุดตัวและรีบวิ่งไปห้ามพร้อมตะโกนลั่น “พี่สาม! ทําอะไรของแก หา!?”
“เผียะ!”
จางเทียนตบหน้าคู่กรณีฉาดใหญ่ก่อนตะคอกกลับ “มึงนั่นแหละไปตายซะ!”
“ไอ้ระยํา! ลูกพี่หัวเลี้ยงดูมึงมาอย่างดี แต่มึงเลือกหันหลังให้กับบริษัทในวันที่เจอปัญหา! ยังเรียกตัวเองว่าคนได้อีกเหรอ?!” เฒ่าสามตะโกนลั่นพร้อมชักปืนออกมา
จางเทียนตกใจจนท้องไส้ปั่นป่วนอีกครั้ง
“ไอ้สาม!” ชายหัวโล้นตกใจไม่แพ้กัน พอเห็นปืนจึงพุ่งตัวไปด้านหน้าอย่างไม่คิดชีวิต
ถึงเฒ่าสามเมามายแต่ยังเล็งปืนไปทางจางเทียนตรงเผง เขาตะโกนเสียงแหบพร่า “คนเนรคุณบริษัทอย่างมึงควรตายไปซะ!”
“พี่สาม! เป็นบ้าไปแล้วรึไง!” ชายหัวโล้นตะโกน
จางเทียนที่ไม่มีอาวุธติดตัวสักชิ้นถอยกรูดทันที
“ปัง! ปัง! ปัง!”
เสียงปืนดังขึ้นสามนัดพร้อมกับจางเทียนที่ถูกยิงเข้าที่หน้าอกจนเซถอยหลัง
ชายหัวโล้นและทุกคนในโกดังเบิกตาโพลงอย่างตกใจสุดขีด มีเพียงหยวนเค่อที่กําหมัดแน่นขณะจ้องจางเทียนตาขวาง
สองวินาทีต่อมาจางเทียนล้มลงกองกับพื้น ร่างของเขากระตุกหลายครั้ง พอวาระสุดท้ายมาถึงจึงรวบรวมแรงเฮือกสุดท้ายหันไปมองหยวนเค่อ
“ปัง!”
เฒ่าสามเล็งปืนไปที่หัวของจางเทียนและเหนี่ยวไก สมองและเลือดของอีกฝ่ายสาดกระจายไปทั่วพื้น!
“เทียนเอ๋อ!”
“พี่เขย!”
น้องชายภรรยาจางเทียนและชายวัยกลางคนรีบวิ่งไปหาร่างไร้ลมหายใจของจางเทียนทันที
“พวกมึงก็สมคบคิดทรยศไม่ต่างกัน! ตายตามมันไปซะ!” เฒ่าสามตัวแข็งทื่อจนร่างกายเกร็งไปทุกส่วน ถึงอย่างนั้น ก็ยังตะคอกอย่างเกรี้ยวกราดและยกปืนในมือขึ้นเหนี่ยวไก อีกครั้ง
“ปัง! ปัง! ปัง!”
เสียงปืนดังขึ้นอีกสามนัด น้องชายภรรยาของจางเทียน และชายวัยกลางคนฟุบลงข้างศพก่อนหน้าพร้อมลมหายใจที่ปลิดปลิว
ถึงทุกคนตายสนิทแต่เฒ่าสามยังเหนียวไกปืนเปล่าหลายครั้งอย่างสะเปะสะปะเหมือนคนบ้า เสียงคลิกดังก้องไปทั่วโกดังสินค้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ชายหัวโล้นรีบวิ่งไปเตะเฒ่าสามเข้าที่สีข้างโดยแรงก่อนขยําคอเสื้ออีกฝ่ายและดึงขึ้นพลางตะคอกใส่หน้า “ไอ้เหี้ยเอ๊ย! มึงเป็นบ้ารึไงวะ!”
เฒ่าสามถูกผลักติดกําแพงทั้งๆ ที่ยังมึนเมาไม่ได้สติ ชายหัวโล้นไม่พูดพร่ำทําเพลงแต่ระดมหมัดต่อยเข้าไปที่หน้าเขาอย่างจัง
ชายหัวโล้นต่อยเฒ่าสามหลายครั้ง ปากก็ตะโกนด่าไม่หยุด “มึงคิดบ้าอะไรอยู่วะ?! เขาตกลงยอมรับเงื่อนไขแล้ว! ยังพยายามฆ่าเขาอีกทําไม!?”
ตุบ! หยวนเค่อทรุดตัวลงกับพื้น สายตาที่มองร่างลมหายใจของจางเทียนว่างเปล่า
เสี่ยวจิ่วเหลือบมองหยวนเค่อก่อนออกคําสั่ง “ไปแยกตัวพี่หัวโล้นออกมาก่อน”
ตรงทางเข้าโกดังสินค้า ชายหัวโล้นยังส่งหมัดต่อยหน้าเฒ่าสามไม่ยั้งด้วยน้ำตานองหน้า “มึงทําแบบนี้ทําไมวะ?! ทําไม!? กระสุนปืนพอยิงออกไปแล้วมันย้อนกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ เข้าใจไหม?!”
เฒ่าสามไม่ใส่ใจเลือดที่ไหลออกจากจมูก เขามองหน้าอีกฝ่ายโดยไม่ตอบโต้ “เพื่อน! พวกมึงต่างก็มีจุดยืนเป็นของตัวเองกันทั้งนั้น แล้วกูจะมีบ้างไม่ได้หรือไง?!”
ชายหัวโล้นนิ่งอึ้ง
“กูก็มีจุดยืนของตัวเองเหมือนกันโว้ย!” ดวงตาเฒ่าสามแข็งกร้าวขณะพูดขึ้นด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม “ตั้งแต่วันนี้ไป ไอ้อีหน้าไหนที่คิดเป็นปรปักษ์กับหยวนเค่อถือเป็นศัต รูกับกูด้วย! กูยอมทิ้งศักดิ์ศรีฆ่าได้แม้แต่จางเทียน! วันไหนที่หยวนเค่อตายนั้นเป็นวันที่กูจะตายด้วยเหมือนกัน!”
“มึงต้อนให้กูจนมุมเพื่ออะไรวะ!” หยวนเค่อแค่นเสียงตะคอกอย่างโกรธจัดขณะพุ่งตัวเข้าหาเฒ่าสาม “ใครอนุญาตให้ถึงตัดสินใจแทนกู?! ใคร!?”
“ถ้าปล่อยไอ้ระยํานั่นไป เชื่อไม่นานมันก็ตามล่านาย!” เฒ่าสามถลึงตาโพลง “ไม่ใช่แค่มัน ฉันจะตามฆ่าทุกคนที่เลือกข้างมันด้วย! เสี้ยนหนามชั่วๆ จะได้หมดไปจากบริษัทซะที ในเวลาแบบนี้พวกเรายังจะลังเลอีกทําไม?!”
ชายหัวโล้นเซถอยหลังด้วยความสับสนมึนงงเมื่อได้ยินคําพูดพวกนั้น สายตาแข็งทื่อหันไปมองหยวนเค่อก่อนผละไปมองศพของจางเทียน เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าเส้นทางที่คุ้นเคยมาทั้งชีวิตกลับเปลี่ยววังเวงอย่างน่ากลัว!
ซ่งเจียง
นายหญิงคนที่สี่ของหยวนหัวนั่งคุยโทรศัพท์อยู่บนโซฟา โดยไม่ได้ยินเสียงแปลกปลอมจากประตูบ้านที่ดังลั่นเพราะมีผู้บุกรุกกําลังงัดแงะ
“ปัง!”
ไม่นานประตูบ้านก็ถูกถีบจนเปิดกว้าง เด็กหนุ่มรูปร่างผอมแห้งสองคนถือมีดสั้นเดินตรงมาที่นายหญิงคนที่สี่ของหยวนหัว ดวงตาแดงกํากลอกไปมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“พะ..พวกแกเป็นใคร?!” นายหญิงคนที่สี่กระโดดลุกขึ้น จากโซฟาและถอยกรูดติดผนังด้วยความตกใจสุดขีด
“ระ..เราเป็นโจร!”
“เงินทองทั้งหมดอยู่ในลิ้นชัก มาเอาไปสิ!” หล่อนชี้ไปที่ลิ้นชักโดยไม่ลังเลขณะถอยห่างไปไกลกว่าเดิมด้วยความกลัวจนตัวสั่น
เด็กหนุ่มผอมแห้งทั้งสองคนก้าวไปข้างหน้า เป้าหมายไม่ใช่เงินในลิ้นชักแต่เป็นหญิงสาวซึ่งชี้ไปที่มัน!
“พวกแกจะทําอะไรน่ะ!?” หล่อนกรีดร้องลั่นเมื่อเห็นอีกฝ่ายเข้าใกล้
“ฉีก!”
“สวบ!”
โจรกระจอกสองคนพุ่งเข้าหาหญิงสาวแล้วใช้มีดในมือกระหน่ำแทงอย่างโหดเหี้ยมโดยไม่คํานึงถึงความผิดบาปใดๆ
หลายนาทีต่อมาพวกเขาก็กวาดทรัพย์สินมีค่าทุกอย่างใน บ้านจนไม่เหลือแม้แต่ชิ้นเดียวก่อนโกยแนบออกไปทางประตูที่เปิดค้างไว้
คฤหาสน์ตระกูลสิงในเฟิงเป่ย
ขณะที่สิ่งจื่อหลินกําลังเดินขึ้นบันได โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงกลับสั่นแรงพร้อมเสียงเรียกเข้า เมื่อหยิบขึ้นดูแล้วเห็นว่าเป็นเบอร์ของหยวนเค่อจึงนิ่งคิดครู่ใหญ่ ในที่สุดจึงเลือกที่จะไม่รับสาย
หลายวินาทีต่อมาพอสิ่งจื่อหลินยืนอยู่หน้าห้องหนังสือของผู้เป็นพ่อจะเตรียมเคาะประตู เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง
คราวนี้เป็นหมายเลขโทรเข้าเป็นเบอร์ของผู้บริหารคนหนึ่งในบริษัท เขาจึงรีบกดรับสาย “ครับ?”
“จางเทียนตายแล้วครับ”
สิงจื่อหลินชะงักนิ่งทันที
“หยวนเค่อโทรหาผมเมื่อกี้นี้ เขาฝากบอกคุณด้วยว่าให้รับสายของเขา” ปลายสายอธิบายเพิ่มเติม
ชายหนุ่มยืนนิ่งค้างอยู่หน้าห้องหนังสือของพ่อแบบนั้น ด้วยไม่รู้ว่าตัวงเองควรตอบสนองต่อข่าวที่ได้รับยังไงดี
“ปึง!”
ประตูห้องหนังสือถูกเปิดออกจากด้านใน ชายวัยกลางคนร่างอ้วนหน้าตาโทรมเพราะตรอมใจชะโงกถามลูกชายทันที “มีอะไรหรือเปล่า?”
สิงจื่อหลินหันมองพ่อของเขาอย่างทําตัวไม่ถูก ครู่เดียวจึงรีบตอบเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเป็นกังวล “เปล่าครับ พอดีในครัวมีข้าวต้ม ผมก็เลยขึ้นมาเรียกคุณพ่อลงไปกินรองท้องซะหน่อย…”
ขณะเดียวกัน
หลังได้รับเอกสารที่จู้เหว่ยส่งมา ผู้กํากับการหลี่ก็กดหมายเลขโทรออกทันที “ติดต่อประธานสิ่งให้ฉันที ได้เวลาโชว์ฝีมือแล้ว!”