Special District 9 – เขตพิเศษที่ 9 - ตอนที่ 203 เริ่มดําเนินการจับกุม
Special District 9 – เขตพิเศษที่ 9 Special District 9 ตอนที่ 203 เริ่มดําเนินการจับกุม
ตอนเที่ยง
เฒ่าหลี่เดินทางไปที่สํานักงานตํารวจรัฐพื้นทมิฬ เพื่อทําเรื่องขออนุญาตเข้าจับกุมหวูเวินเซิ่ง หวังปิง และ หวูซ่ง
เวลาบ่ายโมง สานักงานตํารวจส่งต่อเอกสารให้สภานิติบัญญัติพิจารณาก่อนจะส่งคนไปยังสภาแห่งรัฐทันที
ภายในเวลาไม่ถึงสองชั่วโมง ห้องทํางานรวมถึงเอกสาร และอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ของหวูเวินเซิงก็ถูกเข้ายึดเป็นของกลางไว้ทั้งหมด
สํานักงานตํารวจรัฐพื้นทมิฬ
จู้เหว่ยหันไปพูดกับแมวเฒ่าด้วยท่าที่ไม่พอใจเล็กน้อย “นายแจ้งเบื้องบนล่วงหน้าแบบนี้ เกิดหวูเวินเซิ่งมันรู้ข่าวก่อนก็ซวยจับยากกันพอดี”
“นายก็น่าจะรู้อยู่แก่ใจนะ” แมวเฒ่าตอบด้วยความเบื่อหน่าย “มันเป็นถึงประธานสภา ถ้าไม่แจ้งให้ทางสภานิติบัญญัติรู้เรื่องก่อนเราก็ทําอะไรไม่ได้”
“อะไรมันจะยุ่งยากขนาดนั้นวะ” จู้เหว่ยถอนหายใจ “ต้องให้รายงานก่อนจับกุมคนร้ายแทบไม่ต่างอะไรกับการส่งสัญญาณเตือนให้พวกมันรู้ตัว”
“มันก็เป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว…” แมวเฒ่าตอบกลับ “ด้วยกําลังตํารวจที่มีเราจะต้องแบ่งทีมไปเฝ้าทางเข้าออกเมืองและสถานีรถไฟไว้ให้เร็วที่สุดเพื่อกันไม่ให้หวูเวินเซิ่งเซิ่งหนี”
“หมวดหนึ่งกับหมวดสองจะให้ความร่วมกับเรารึเปล่า?” จู้เหว่ยถาม
“อืม ต้องให้เฒ่าหลี่ไปขอความร่วมมือเพื่อการจับกุมให้ครั้งนี้”
“โอเค งั้นเรียกรวมพลไขคดีกันเถอะ”
“ได้เลย”
หลังจากทั้งสองหารือกันเสร็จ ทั้งสํานักงานตํารวจรัฐพื้นทมิฬก็ตกอยู่ในความวุ่นวาย ตํารวจหลายร้อยนายถูกเรียกรวมพลเพื่อทําตรวจสอบบริษัทหวูรวมไปถึงหาตัวผู้ต้องหาสําคัญอย่างหวูเวินเซิ่ง
ขณะเดียวกัน
ในร้านอาหารญี่ปุ่นข้างอาคารสถานีวิทยุออนไลน์ ชายหนุ่มสวมชุดสูทสีชมพูอ่อนนั่งไขว่ห้างพูดขึ้น “สภาพแวดล้อมในเขตพิเศษที่เก้านี่ยังย่ําแย่กว่าฝั่งยุโรปเหมือนเดิม ขนาดอาหารญี่ปุ่นที่ควรจะหอมฉุยกลับไม่มีกลิ่นอะไรเลย แถมรสชาติก็งั้นๆ”
หลินเหนียนเลยนั่งกะพริบตามอง “ฉันว่ามันก็พอกินได้นะ”
“เพราะว่าเธอชินกับรสชาติวัตถุดิบราคาถูกแบบนี้ไงล่ะ” ชายหนุ่มพูดต่อด้วยท่าทีเบื่อหน่าย “ไว้ถึงวันหยุดเมื่อไหร่ ฉันจะพาเธอไปเที่ยวยุโรปสักครั้ง”
“งั้นเหรอ..” หลินเหนียนเลยยิ้มเงื่อน
“เล่ยเลย ฉันได้ยินมาว่าตอนนี้ครอบครัวเธอกําลังไปได้สวยเลยนี่”
“ฮ่าๆๆ ก็ไม่ได้ขนาดนั้นหรอก ในเฟิงเปยยังมีครอบครัวที่ร่ํารวยกว่านี้มากจนบ้านฉันดูจนไปเลยล่ะ” หลินเหนียนเล่ยกับเขาเพิ่งเคยเจอกันเป็นครั้งแรกจึงไม่ค่อยอยากคุยถึงเรื่องที่บ้านเท่าไหร่
“ไม่เป็นไร” ชายสวมชุดสูทสีชมพูหยิบผ้ามาเช็ดปาก “เรื่องครอบครัวเอาไว้ที่หลังค่อยเป็นค่อยไป ตอนนี้เรามาพูดถึงเรื่องความรักกันดีกว่า”
หลินเหนียนเล่ยชะงักไปครู่หนึ่งและเกาหัวด้วยความเขินอาย แต่ก่อนจะได้หันไปคุยต่อโทรศัพท์เธอก็ดังขึ้นเสียก่อน “ขอตัวไปรับโทรศัพท์ก่อนนะ”
“ใครเหรอ?” ชายสวมชุดสูทถาม
“พ่อของนายนะ” หลินเหนียนเล่ยรับโทรศัพท์ “สวัสดีค่ะคุณจ่าวปู่”
“ทานข้าวกันเสร็จรึยัง?”
“อา…เรียบร้อยแล้วค่ะ” หลินเหนียนเลยพยักหน้าตอบ
“ฮ่าๆๆ งั้นก็รีบกลับมาเถอะ ฉันมีเรื่องสําคัญจะคุยกับเธอด้วย” จ่าวปู่พูดด้วยน้นเสียงอ่อนโยน
“โอเคค่ะ เดี๋ยวฉันกลับไป” หลินเหนียนเลยหยิบเสื้อโค้ต กับกระเป๋าและหันไปบอกกับชายตรงหน้าว่า “จ่าวเปาคือ.. เหมือนจะมีปัญหาเกิดขึ้นที่หน้างานน่ะ ฉันต้องรีบกลับไปดู ยังไงฉันจะติดต่อไปแล้วกันนะ”
“ได้เสมอ ไว้เจอกันนะที่รัก”
“โอเคจ่ะ”
“รีบไปเถอะ ดูเธอคงยุ่งน่าดู แถมอาหารที่นี่ก็รสชาติหวยมากด้วย” จ่าวเปาโบกมือ
“บาย” หลินเหนียนเล่ยพยักหน้าและรีบวิ่งจากไปทันที
จ่าวเปายังยืนอยู่ที่เดิม เขาสบถอย่างหัวเสียว่า “ตาแก่นี่ อะไรนักหนา น่าผิดหวังจริงๆ”
ครึ่งชั่วโมงต่อมา
ณ สถานีวิทยุออนไลน์ จ่าวปูนั่งอยู่ที่โต๊ะทํางานและพูดกับหลินเหนียนเลยว่า “ตอนนี้ข่าวเรื่องคดีค้าปืนถูกปล่อยแล้ว ส่วนข่าวคดีของตั้งกุ้ยเซิงที่ให้เธอทําคราวที่แล้วฉันจะว่าจะซื้อใหม่ ยังไงฝากเตรียมรายงานย้อนหลังให้ด้วยนะ”
หลินเหนียนเลยตกตะลึง “ทําไมข่าวถูกปล่อยออกมา… คดียังไม่จบเลยไม่ใช่เหรอคะ?”
“เป็นกรณีพิเศษน่ะ ต้องรีบปล่อยข่าวให้ไว้ที่สุด” จ่าวปู่มิตอบ “หลังจบสองคดีใหญ่นี้แล้วฉันจะเสนอชื่อเธอเป็นหัวหน้าทีม”
หลินเหนียนเลยยังคงไม่เข้าใจสถานการณ์จึงถามต่อด้วยความงุนงง “แล้วสองคดีนี้ผ่านการตรวจสอบของหัวหน้าซวี๋จิ๋วแล้วเหรอคะ?”
“หัวหน้าซวี่เหรอ? ฮ่าๆๆ ยัยนั่นหนีไปแล้วล่ะ” จ่าวปู่ตอบกลับ “ต่อไปนี้เธอขึ้นตรงกับฉัน”
“ถ้างั้นก็โอเคค่ะ”
“แล้วลูกชายฉันเป็นไงบ้างเสี่ยวหลิน?” จู่ๆ จ่าวปู่ก็ถามถึงลูกชายของตน
หลินเหนียนเลยนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มเจื่อน “ก็ดูเป็นคนมีความสามารถดีนะคะ แถมชุดสูทสีชมพูนั่นก็ดูล้ําสมัยดี”
“งั้นก็นัดเจอกันอีกสิ” จ่าวปู่พยักหน้าอย่างพึงพอใจ
“เอ่อ..ฉันยุ่งนะคะ ยังไงขอตัวก่อนนะคะคุณจ่าวปู”
“ได้ๆ ไปเถอะ” จ่าวปู่โบกมือ
ทางด้านสํานักงานตํารวจ เหล่าตํารวจและสภานิติบัญญัติร่วมหารือกันเรื่องของหวูเวินเซิ่งโดยมีสื่อข่าวคอยตามติดอยู่ไม่ห่าง พายุที่เริ่มก่อตัวในที่สุดก็โหมกระหน่ําใส่ตระกูลหวูแล้ว
ราวสองทุ่ม
หนิวตงออกจากที่พักไปยังร้านสะดวกซื้อคนเดียว เขาหาซื้ออาหารแช่แข็งกลับไปสองชุด
สิบนาทีต่อมา ในรถที่จอดอยู่ข้างถนน
เฒ่าสามต่อสายหาหยวนเค่อ “หนิวตงเคลื่อนไหวแล้ว หลังเลิกงานหมอนั่นขับรถไปซื้ออาหารในร้านสะดวกซื้อ คิดว่ามันกําลังจะไปหาเยี่ยจือเซียว”
“จับตาดูต่อไป” หยวนเค่อพยักหน้า “ฉันจะรายงานหวูเวินเซิ่ง”
“โอเค” เฒ่าสามพยักหน้า
ระหว่างที่ทั้งสองกําลังคุยกัน หนิวตงค่อยๆ ขับรถมุ่งหน้าไปทางรัฐพื้นทมิฬ
ในสํานักงานตํารวจ
ตํารวจหลายนายนั่งพิงกําแพงกันเป็นแถวเพื่อหารือเรื่องหวูเวินเซิง
แมวเฒ่าตะโกนถาม “เรมีกันตั้งเยอะจะไม่มีใครรู้เบาะแสของหวูเวินเซิ่งเลยเหรอ?”
จู้เหว่ยที่อยู่ข้างๆส่ายหัว “ไม่มีใครติดต่อหวูเวินเซิ่งได้ตั้งแต่เมื่อคืน ส่วนหวังปิงก็หายตัวไปแล้ว”
“ให้ตายเถอะ” แมวเฒ่ากุมขมับ “ทําไมมันหายากหาเย็นอย่างนี้วะ”
“เอ่อ…ลูกพี่ ผมพอจะรู้อะไรมาบ้างน่ะ” ทันใดนั้นชายหนุ่มทางซ้ายก็ยกมือขึ้นพร้อมพูดขัด
แมวเฒ่าชะงัก “รู้อะไร?”
“ไม่กี่วันก่อนเหมือนหยวนเค่อจะได้ตัวพรรค พวกเยี่ยจือเซียวไปและพยายามเค้นถามหาที่อยู่นะครับ…” ชายหนุ่มก้าวออกมาข้างหน้า “หวูเวินเซิ่งเองก็เหมือนจะให้ ความสนใจมากเหมือนกัน ผมให้พี่ชายแฝงตัวเข้าไปช่วยพวกนั้น”
แมวเฒ่าถามอย่างมีความหวัง “แล้วตอนนี้พอจะรู้สถานการณ์ฝังนั้นบ้างไหม?”
“น่าจะพอรู้ครับ เพราะผมส่งเขาไปอยู่ฝั่งนั้นเอง” ชายหนุ่มพยักหน้า
“เอาล่ะ…รีบไปพาตัวผู้ชายคนนั้นมาสอบสวนเร็ว” แมวเฒ่าหันไปสั่งการตํารวจข้างๆ
บนถนนฟูอัน รัฐพื้นทมิฬ
หนิวตงใช้มือซ้ายบังคับพวงมาลัยโดยอีกมือถือโทรศัพท์ “ฉันกําลังไปหานะคือเซียว”
“ถึงแล้วบอกฉันจะได้ออกไปรับ” อาเซียวตอบกลับ
ชานเมืองซ่งเจียง
หวูเวินเซฺ่งพูดผ่านโทรศัพท์ “ทันทีที่เจอเยี่ยจือเซียวฉันจะฆ่ามันด้วยมือของฉันเองแล้วค่อยหนี”