Special District 9 – เขตพิเศษที่ 9 - ตอนที่ 229 คออ่อนเกินไปแล้ว
Special District 9 – เขตพิเศษที่ 9 Special District 9 ตอนที่ 229 คออ่อนเกินไปแล้ว
ตอนที่ 229 คออ่อนเกินไปแล้ว
ในห้องรับรอง
แมวเฒ่ายืนอยู่หน้าจ่าวเปาขณะถือแก้วไวน์ ก่อนจะยื่นมือไปจับมือกับอีกฝ่ายอย่างสุภาพ “สวัสดีครับ ผมชื่อหลี่…ไม่ดีกว่า ทุกคนเรียกผมว่าแมวเฒ่า เรียกผมแบบนั้นก็ได้ มันดูใจดีกว่านะ
ทันทีที่แมวเฒ่านั่งลง หลินเหนียนเล่ยกับเสี่ยวมีก็ลุกขึ้นกลับมา นั่งฝั่งฉินอวี่ จ่าวเปาไม่ได้อยากเสวนากับพวกคนเมาเหล่านั้นเท่าไหร่ เพราะเขาแค่ต้องการคุยกับหลินเหนียนเล่ยเท่านั้น เมื่อเห็นแมวเฒ่าและคนอื่นพูดคุยกันเขาจึงคิดจะปลีกตัวออก
“งั้นผมว่าไว้โอกาสหน้าละกัน ผมต้องไปแล้วล่ะ” จ่าวเปาลุกขึ้น พลางพูดต่อ “พอดีผมมีงานนิดหน่อย…”
“หืม…อะไรกันวันนี้ปีใหม่ทั้งที พักงานนิดหน่อยนั้นไปก่อนมาดื่มกันดีกว่า” แมวเฒ่าดึงแขนของจ่าวเปาและถามเขาทันที “คุณเคยเรียนที่สหภาพยุโรปมาก่อนใช่ไหมละ?”
“ใช่” จ่าวเปาพยักหน้า “สภาพแวดล้อมทางการศึกษาในเขตเก้านั้นแย่มาก ผมจึงเลือกเรียนวารสารศาสตร์อีกครั้งในจุดที่สูงขึ้นอีกหน่อย”
หลินเหนียนเลยมองไปที่จ่าวเปา ก่อนกระซิบกับฉินอวี่ “พอดีฉันหิวนิดหน่อย”
“หืม เธอยังไม่ได้กินอะไรเลยเหรอ?”
“กินตอนเที่ยงไปแล้ว และไปส่งท้ายปีเก่าในตอนเย็นจนมาดื่มที่นี่แหละ” หลินเหนียนเลยไม่ได้หิวขนาดนั้น แต่เธอบอกกับฉินอวี่ก็ เพราะรู้สึกรําคาญจ่าวเปาและต้องการหนีไปสูดอากาศ
“งั้นฉันสั่งอะไรให้กินดีไหม?”
“อย่าเพิ่งสั่ง พาฉันไปซื้อขนมข้างนอกก่อนดีกว่า ฉันมันคนโลภ ฮ่าฮ่า!” หลินเหนียนเลยตอบด้วยรอยยิ้ม
“งั้นก็ไปกันเถอะ” ฉินอวี่ลุกขึ้นและหยิบเสื้อคลุมของเขาติดมาด้วย
“คุณจ่าวเปา ฉินอวี่กับฉันจะออกไปซื้อขนมมาให้ทุกคนนะ” แม้ว่าหลินเหนียนเลยจะรําคาญจ่าวเปามากแต่เธอก็บอกอีกฝ่ายอย่างสุภาพ “พวกคุณคุยกันไปก่อน เดี๋ยวฉันมา”
จ่าวเปาตกตะลึง
“คุยกันให้สนุกล่ะ” ฉินอวี่พูดก่อนเดินออกจากห้องจัดเลี้ยงคู่กับหลินเหนียนเลย
เมื่อจ่าวเปาเห็นว่าหลินเหนียนเลยออกไป ใบหน้าของเขาก็ดูไร้อารมณ์และหดหู่เล็กน้อย
“มานี่สิคุณจ่าว มาเล่นเกมด้วยกัน” หม่าเหลาเอ๋อชักชวนอีกฝ่าย
“ใช่แล้วมาดื่มและเล่นสนุกกันดีกว่า” แมวเฒ่าพูดเสริม
หลังจากหลินเหนียนเลยออกไปจ่าวเปาก็นั่งพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง เขารู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างระหว่างฉินอวี่กับหลินเหนียนเล่ย เลยอยากจะรอดูท่าทีของสองคนนั้นเมื่อพวกเขากลับมา เขาจึงพยักหน้าพลางถาม “จะเล่นอะไรกันเหรอ?”
“ลูกเต๋แห่งโชคชะตา!” หม่าเหลาเอ๋อพูดขณะยื่นถ้วยลูกเต๋าไปให้จ่าวเปา
จ่าวเปาเขย่าลูกเต๋ด้วยความสนใจเล็กน้อยเพราะตอนนี้เขากังวลเรื่องหลินเหนียนเล่ยอยู่ และเขาก็หันไปถามแมวเฒ่า “แล้วทํางานเป็นตํารวจได้เงินเดือนเท่าไหร่เหรอ
แมวเฒ่าตกใจเล็กน้อย ”ฮ่าฮ่า ก็ไม่มากหรอก แค่แปดหรือเก้าร้อย”
จ่าวเปารู้สึกประหลาดใจอยู่ครู่หนึ่ง “เงินเดือนเท่านี้คุณจะจ่ายค่าไวน์ที่นี่ได้เหรอ? แล้วจะลงเดิมพันเกมนี้สักห้าหกพันได้รึเปล่า?”
ฟูเสี่ยวห่าวตกใจเมื่อได้ยินเรื่องนี้แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก
จ่าวเปายิ้มและก้มศีรษะลงเพื่อเขย่าลูกเต๋า “ผมว่าเจ้าหน้าที่ตํารวจแบบพวกคุณคงมีรายได้สีเทาใช่ไหม?”
หม่าเหลาเอ๋อ งูเหว่ยและคนอื่นขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินคําพูดของอีกฝ่ายก็รู้สึกว่าจ่าวเปากําลังถามอะไรแปลกๆ
“ผมบอกคุณได้เหรอ?” แมวเฒ่าก้มสูบบุหรี่ “คุณเป็นนักข่าว ดังนั้นผมไม่ควรพูดอะไรสุ่มสี่สุ่มห้า เดี๋ยวก็ถูกเปิดโปงเอาหรอก ฮ่า ฮ่า! จริงไหม?”
“อืม พูดก็พูดเถอะ” จ่าวเปากล่าวต่อด้วยสีหน้าจริงจัง “แค่เดือนละแปดเก้าร้อยดอลลาร์ แค่นี้ยังไม่พอจะกินอาหารดีๆสักมื้อเลย ถ้าไม่มีรายได้จากธุรกิจสีเทาก็คงไม่อยู่สบายมาจนถึงทุกวันนี้หรอก ใช่ไหม? ฮ่าฮ่า! ดูจากสภาพแวดล้อมของเขตพิเศษที่เก้านี่ก็รู้แล้วล่ะว่ามันเกิดจากกฎหมายที่ล้มเหลว ตํารวจอย่างคุณมีเยอะเกินไป ผู้ดูแลความเรียบร้อยอย่างพวกคุณกลับทุจริตใช้อํานาจเก็บส่วย เพื่อปล่อยผ่านธุรกิจเหล่านั้น….ผมเคยเขียนบทความตอนที่ผมเรียนอยู่พูดถึงความซื่อสัตย์และการพัฒนาเขตเก้านี้ยังอยู่ภายใต้การควบคุมของอํานาจอยู่ จะมีสักกี่คนเต็มใจจะรับฟังเรื่องนี้กัน”
สิ่งที่จ่าวเปาพูดมาอย่างละเอียดนั้นไม่มีอะไรผิดเลย ทุกประโยคมีความสมเหตุสมผล แต่เมื่อแมวเฒ่ากับงูเหว่ยได้ยินดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกไม่สู้ดีนัก เพราะพวกเขาทํางานในระบบตุลาการ และคําพูดของจ่าวเปาก็กําลังดูถูกอาชีพนี้อย่างเห็นได้ชัด
จ่าวเปาเข้าเรียนโรงเรียนขุนนางในสหภาพยุโรปจึงไม่ต้องพูดถึงระดับไอคิวเลย แต่เรื่องการเข้าสังคมนั้นต่ํามาก ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งเป็นเจ้าหน้าที่อาวุโส เขาก็อาจรู้จักความเคารพอยู่บ้าง กลับกันเมื่อเจอคนระดับต่ํากว่าเล็กน้อยเขาก็จะพูดอย่างไม่คิดอะไร นอกจากนี้ โรงเรียนของเขาเน้นแต่ภาควิชาการ ดังนั้นประสบการณ์ในการเข้าสังคมของเขาจึงตื้นเขิน ถึงก่อนหน้านี้จะพูดถูกต้องทุกประการแต่ก็ไม่ได้ถนอมน้ําใจ
“ใช่แล้ว คนอย่างพวกเราที่มีการศึกษาต่ําอาชีพก็มีแต่ตํารวจเท่านั้นแหละ” จี้เหว่ยตอบโต้อย่างประชดประชัน “คุณต้องได้รับการปฏิบัติแบบสหภาพยุโรปมาแน่นอน คงไม่มีใครฉลาดเท่าคุณหรอก!”
“คุณพูดถูกแล้ว พวกคุณคงไม่สามารถพูดถึงวิสัยทัศน์ของทฤษฎีรูปแบบได้จริงๆ แม้แต่เจ้าหน้าที่ระดับสูงในซ่งเจียงก็ทําได้แค่ใช้กําลังเท่านั้น” จ่าวเปาเหมือนจะเห็นด้วยกับชู้เหว่ย “คุณรู้รึเปล่าว่าการวิจัยสําหรับสถาบันอุดมศึกษาในสหภาพยุโรปไปไกลแค่ไหน…แค่สี่ปีคนเหล่านั้นสามารถพัฒนาการเพาะปลูกในพื้นที่เย็นจัดอย่างหิมะได้แล้วนะ และเหมือนจะเริ่มทดลองปลูกแล้ว ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าพวกนั้นอาจปลูกเป็นไร่เลยก็ว่าได้ กลับกันกับซ่งเจียงนี่ดูเกษตรกรยังไม่มีความรู้อะไรเลย ขึ้นเป็นแบบนี้ต่อไปเขตบ้านี่คงจําต้องถูกปกครองโดยเขตอื่นแน่นอน”
“พี่ชาย ผมคิดว่าที่สถานการณ์ในเขตเก้าของเราเทียบไม่ได้กับเขตอื่น นั่นก็เพราะเราเพิ่งก่อตั้งยังไงล่ะ” จี้เหว่ยโต้แย้ง
“คุณเห็นนี้รึเปล่า?” จ่าวเปาชี้หัวของเขาพลางพูดต่อ “เวลาก่อตั้งไม่ใช่ปัญหา สิ่งสําคัญนั้นอยู่ที่ความคิดยังไงล่ะ คุณรู้รึเปล่าว่า ความคิดคือ…เอาล่ะ ลืมมันไปซะเถอะพวกคุณไม่เข้าใจหรอก”
“อ่า ฉันคงไม่เข้าใจหรอก คุยกันไปก่อนนะฉันจะไปสั่งไวน์” จู้เหว่ยลุกขึ้นและเดินออกไป
“มาเล่นกันต่อเถอะ ฉันได้แต้มห้ากับหก” จ่าวเปาหันไปพูดกับแมวเฒ่า
หม่าเหลาเอ๋อเหล่มองแมวเฒ่าพลางกระซิบ “หมอนี่ปากเก่งจริงๆ คุยกันซะดิบดีเชียว”
“ไม่เป็นไร” แมวเฒ่าจ้องไปที่จ่าวเปาด้วยรอยยิ้มก่อนตะโกนเสียงดัง “หกแต้ม!”
หม่าเหลาเอ๋อหันไปบอกกับหญิงสาวด้านข้าง “เอาแบบเดิมนะ โอเคไหม?”
“ได้ค่ะ” หญิงสาวพยักหน้าทันที
หลังจากผ่านไปสิบรอบ
หม่าเหลาเอ๋อและแมวเฒ่าปล่อยให้จ่าวเปาอาเจียนถึงสองครั้ง ในห้องน้ําคืนนั้น
จ่าวเปามาถึงก็ทิ้งตัวลงบนโซฟาทันที “พอแล้ว…ผมดื่มต่อไม่ไหว”
“ไม่เอาน่า ยังไม่สนุกเลย”
“ไม่ไหวแล้ว”
“โอเค ไม่เป็นไร” แมวเฒ่าเกลี้ยกล่อม “แต่ขออีกครั้งเดียว ครั้งสุดท้าย…เล่นเถอะน่า”
“ไม่ไหวแล้ว ผมคออ่อนเกินไป” จ่าวเปาโบกมือ “พวกคุณอายุเท่าไหร่แล้วเนี่ย ไม่เบื่อเหรอ”
“มานี่เลยพี่ เล่นกับหนูหน่อยนะคะ” หญิงสาวที่อยู่ข้างหม่าเหลาเอ๋อเดินไปเกลี้ยกล่อมจ่าวเปาทันที
“พวกคุณนี้ใช้ไม่ได้จริงๆ” จ่าวเปาเล่นอีกครั้งอย่างไม่สู้เต็มใจ
หลังจากนั้นสองนาที
“เจ็ดแต้ม!”
“แปด!”
“ห้าคู่!”
“เออ…ฉันเลือกหกกับสี่” จ่าวเปาตะโกนอย่างสับสน
“ผมเป็นคนเปิด ไม่ใช่คุณสักหน่อย” แมวเฒ่าหยิบถ้วยลูกเต๋าขึ้นมา
“เดี๋ยวสิ แกไม่ตะโกนแต้มแปดล่ะวะ”
“ผมชนะแล้วอีกแล้วเหรอเนี่ย?” แมวเฒ่าในไวน์ให้จ่าวเปาทันที “ดื่มเลยเพื่อน หมดแก้ว!”
จ่าวเปาปิดปากของเขา “ไม่ได้กลิ่นแล้วจะอ้วก”
“ไม่เป็นเดี๋ยวผมจะดูแลคุณเอง” แมวเฒ่าพูดพลางกวักมือ “มานี่สิ”
“คุณนี่คอแข็งกันเกินไปแล้ว”
ก่อนจะพูดจบจ่าวเปาก็หมดสติล้มลงไปนอนกับพื้น ต่อหน้าต่อตาแมวเฒ่าและทุกคน
“ให้ตายสิ เวรแล้ว!” จ่าวเปาผู้รอบรู้โพล่งคําสบถออกมาจากปากของเขาครั้งแรก “ฉันกําลังจะตายรึเนี่ย?”
“ฮ่าฮ่า!” ติงกั่วเซินระเบิดเสียงหัวเราะออกมาทันทีพร้อมกับยกนิ้วโป้ง “สุดยอดจริงๆ”
ด้านนอก
หลินเหนียนเลยสวมเสื้อคลุมหนาท่ามกลางหิมะที่ตกลงมา ใบหน้าอันสวยงามของเธอเย็นเยียบขณะยืนอยู่ข้างแผงขายริมถนน เธอหนาวจนไม่สามารถยืนนิ่งได้ “หนาว…หนาวเกินไป ฉันไม่ไหวแล้ว”
หลังจากพูดจบหลินเหนียนเลยก็ก้มหยิบถุงมือคู่เก่าในกระเป๋าของเธอ แล้วบรรจงสวมมันทันที
ฉินอวี่แปลกใจกับสิ่งที่เห็นตรงหน้าจึงถามทันที “หืม…ฉันคิดว่าเธอทิ้งมันไปแล้วเสียอีก”
หลินเหนียนเล่นหันกลับมาพูดด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ “ฉันรอจนกว่านายจะให้คู่ใหม่กับฉันไงล่ะ”
เมื่อฉินอวี่ได้ยินดังนั้น เขาก็รู้สึกเขินอายขึ้นมาและไม่รู้จะตอบอย่างไร
“ฮ่าฮ่า! หน้านายแดงหมดแล้ว” หลินเหนียนเลยหัวเราะ “ฉันแค่ล้อเล่นเอง!”
“อย่าแซวสิ ฉันคิดจริงนะ” ฉินอวี่เคอะเขินเล็กน้อยก่อนตอบกลับ
คราวนี้หลินเหนียนเลยได้ยินดังนั้นก็ตะลึงทันที
บริเวณทางเข้าของจอยพาเลซ
ชายฉกรรจ์มากกว่าสิบคนเดินกรูกันเข้าไปในห้องรับรองด้วยใบหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง กลุ่มคนนําโดยหมิงเฟยคนที่ทะเลาะวิวาทกับหม่าเหลาเอ๋อเมื่อหลายวันก่อน