Special District 9 – เขตพิเศษที่ 9 - ตอนที่ 242 รถบรรทุกไม่ได้ดับเครื่อง
Special District 9 – เขตพิเศษที่ 9 Special District 9 ตอนที่ 242 รถบรรทุกไม่ได้ดับเครื่อง
ตอนที่ 242 รถบรรทุกไม่ได้ดับเครื่อง
ยามสายๆ ของวันรุ่งขึ้น
ตอนที่เด็กหนุ่มขับรถกระบะบรรทุกสองคนกําลังนอนหลับฝันดีอยู่ในที่พัก จู่ๆ ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นจากข้างนอก
ผ่านไปสักพัก ชายหนุ่มที่อยู่ใกล้หน้าต่างได้ตะโกนอย่างอารมณ์เสีย “ใครวะ?”
“พวกนาย ไปกินข้าวเย็นกันไหม?” เจ้าของที่พักตะโกนถามจากด้านนอก
“อยากกินเดี๋ยวก็เรียกเองน่า” ชายหนุ่มขมวดคิ้ว “หยุดให้คนมาเคาะประตูได้แล้ว คนจะหลับจะนอน”
“เปล่าหรอก เมื่อกี้ตอนฉันออกไปข้างนอกเห็นว่ารถกระบะของพวกนายยังไม่ได้ดับเครื่องนะ” เจ้าของที่พักพูดเตือนด้วยความหวังดี “เมื่อคืนนี้พวกนายสองคนลืมดับเครื่องใช้ไหม?รีบไปดูเถอะแบบนี้มันเปลืองน้ํามันมากนะ”
ชายหนุ่มได้ยินแล้วจึงเด้งตัวขึ้นนั่งพลางมองเหม่อออกไปนอกหน้าต่างจากนั้นสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นขาวซีดทันที
เจ้าของร้านพูดเตือนเสร็จจึงหันหลังเดินไป เด็กหนุ่มนั่งอึ้งอยู่บนเตียงไม้เก่าๆ ไปหลายวินาทีก่อนจะรู้สึกตัว จากนั้นเขาจึงรีบปลุกเพื่อนอีกคน “เร็วเข้า เร็วเข้า รีบตื่นเร็ว ไม่ต้องนอนแล้ว”
“อะ…อะไร?” ชายหนุ่มอีกคนที่หลับลึกและสวมหูฟังเอาไว้ลืมตาขึ้นอย่างสะลึมสะลือ
“เมื่อคืนนายลืมดับเครื่องใช่ไหม?”
“นายพูดว่าอะไรนะ?”
“พูดถึงพ่อแกอยู่มั้ง!” เด็กหนุ่มดึงหูฟังจากหูของเพื่อนอีกคนลงแล้วจึงจ้องตาเขม็ง “เมื่อคืนตอนลงจากรถ แกลืมดับเครื่องยนต์รึเปล่า?”
เด็กหนุ่มนิ่งไปสักพักก่อนจะลุกขึ้นมานั่ง “แม่งเอ๊ย! ฉันจําได้ว่าฉันดับแล้วนะโว้ย!”
“รีบใส่เสื้อผ้าแล้วออกไปดูซะ” ชายหนุ่มกระโดดลงจากเตียงก่อนจะวิ่งออกไปด้วยความตื่นตระหนกจนไม่ทันได้สวมรองเท้าบูตและวิ่งออกไปข้างนอกพร้อมกับรองเท้าแตะที่สกปรกทันที
ผ่านไปกว่าสามถึงสี่นาที คนขับรถทั้งสองก็มาถึงข้างทางและเห็นว่ารถกระบะยังคงสตาร์ทเครื่องเอาไว้อยู่ พื้นหิมะที่อยู่บริเวณท่อไอเสียก็ละลายกลายเป็นน้ําสีดําวงใหญ่
“ซวยแล้ว!”
ชายหนุ่มตะโกนด่าก่อนจะสวมรองเท้าแตะขึ้นไปนั่งบนที่นั่งฝั่งคนขับ ก้มหน้ามองหน้าปัดคอนโซลก่อนจะตื่นตระหนกมากขึ้นกว่าเดิม “ฮีตเตอร์ก็ไม่ได้ปิดด้วย ฉันล่ะอยากฆ่าแกจริงๆ”
“ไม่ได้ปิดเหรอ?” ชายหนุ่มที่อยู่นอกรถตะโกนถาม
“นายกินยาจนบ้าไปแล้วรึไง?” ชายหนุ่มหันหน้ากลับมาด่าทอ“ขับรถทางตรงยังลืมดับเครื่องยนต์ได้?”
“แกหยุดโทษฉันสักที่ นายหิวยารึไง?” ชายหนุ่มจ้องตาเขมงก่อนเถียงกลับ “เมื่อวานตอนกลางคืนเราสองคนก็ไม่มีใครรู้สึกหน่อยว่าห้องพักเต็มไหม เลยลงไปถามดูก่อนไม่ใช่เหรอ? ใครจะรู้ว่าพอเปิดห้องเสร็จก็ลืมเรื่องดับเครื่องยนต์รถไปเลย”
ชายหนุ่มดึงชะแลงออกมาจากใต้เบาะนั่งด้วยสีหน้าหงุดหงิด “รีบไปเปิดหลังรถดูเร็วเข้า”
เด็กหนุ่มได้ยินจึงรีบวิ่งไปตรงท้ายรถก่อนจะเอากุญแจพวงใหญ่ออกมาจากเอง เท้าซ้ายเหยียบบันไดเล็กแล้วเอามือขวาไขกุญแจตรงประตูออก
ข้างนอกรถ ชายหนุ่มยืนอยู่บนพื้นหิมะพร้อมกับใช้มือสองข้างอชะแลงแล้วสอดเข้าไปตรงช่องว่างช่องด้านล่างสุด ที่ทําแบบนี้เพราะอุณหภูมิด้านในและด้านนอกของรถต่างกันมากฉะนั้นพอไอร้อนจากด้านในรถถูกพัดออกมาหิมะด้านนอกรถที่ละลายอยู่ก็จะ แข็งตัวทันที
ใช้เวลาทําอย่างต่อเนื่องทั้งหมดสิบนาที ทั้งสองจึงดึงโซ่เหล็กแล้วใช้แรงเปิดประตูรถออก
“เอ๊ยด!”
พอประตูเปิดออกทั้งสองจึงรู้สึกว่าในรถมีไออุ่นพัดมากระทบใบหน้าจากนั้นพวกเขามองเข้าไปในรถก่อนจะอึ้งนิ่งอยู่กับที่
เจ้าของที่พักยืนตะโกนอยู่ตรงหน้าประตูใหญ่ “รถเป็นยังไงบ้างคงไม่เป็นไรใช่ไหม?”
“ห้ะ?!” เด็กหนุ่มได้ยินแล้วจึงรู้สึกตัวแล้วตอบกลับไปทันที “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ดับเครื่องเรียบร้อยแล้ว”
“ดี ทางนี้กําลังกินข้าวกันอยู่” พ่อเลี้ยงตะโกนเรียกก่อนจะหันหลังกลับเข้าบ้านไป
ทั้งสองหันมามองหน้ากันแล้วเงียบไปนานก่อนจะตะโกนขึ้นพร้อมกัน
“ไปเถอะ!”
ครึ่งชั่วโมงผ่านไป รถกระบะบรรทุกอยู่ห่างจากเขตที่เก้าไม่ถึงสามสิบกิโลเมตรแล้วตอนนี้ชายทั้งสองเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าน้ํามันรถไม่พอแล้วเมื่อกี้พวกเขาตื่นตระหนกเกินไปจนลืมคิดไปว่ารถของพวกเขาตากหิมะอยู่นานขนาดนั้น น้ํามันรถก็ต้องลดฮวบอย่างไม่ต้องสงสัย
หลังจากผ่านไปหกถึงเจ็ดชั่วโมง
รถบรรทุกสี่คันขับมาจากทางทิศใต้ก่อนจะจอดลงบนสี่แยกที่อยู่ไม่ไกลจากฮ่งเจียงอย่างช้าๆ
ฉีหลินเปิดประตูแล้วกระโดดลงจากรถก่อนจะบิดขี้เกียจและถอนหายใจยาว
“พวกเขากําลังจะมาถึงแล้วเหรอ?” ตรงที่นั่งด้านหลังคนขับมีชายหนุ่มสวมชุดฝึกทหารสีดําลดกระจกลงพลางเอ่ยปากถามฉีหลิน
“ใช่ ใกล้แล้วล่ะ” ฉีหลินหัวเราะ “ฉันขอตัวไปเข้าห้องน้ําก่อนพวกนายรออยู่ที่นี่นะ”
“ได้” ชายหนุ่มพยักหน้า
ฉีหลินหันหน้าเดินไปทางแยกก่อนจะหาที่ว่างนั่งลงไปฉีทันทีจากนั้นจู่ๆ เขาก็ได้สังเกตเห็นว่าทางซ้ายมือมีรถบรรทุกคันหนึ่งจอดอยู่ตรงท้ายแยกภายในไม่ได้เปิดไฟสว่างมากนักและไม่ได้สตาร์ทรถเอาไว้
รถดับอยู่บนถนนแบบนี้สามารถเห็นได้ทั่วไป เพราะมีคนขับรถหลายคนที่ไม่อยากจะเปิดห้องพักพอขับรถเหนื่อยก็หาที่ข้างทางเพื่อพักผ่อน
ผ่านไปหลายนาที
ฉีหลินสวมเข็มขัดแล้วจึงเดินไปข้างหน้า
“ตึงตึงตึง!”
จู่ๆ ก็มีเสียงดังมาจากรถที่จอดสนิทอยู่ทางนั้น
ฉีหลินลิ้งพลางหันหน้ามองไปที่รถบรรทุกด้วยความสงสัย
เสียงค้อนทุบดังก้องขึ้นอีกครั้ง ฉีหลินจึงขมวดคิ้วเดินสับเท้าไปและตอนที่กําลังจะตะโกนถาม เสียงที่ดังก้องก็ได้หายไปแล้ว
“ลองปืนเหรอ?” ฉีหลินหันหน้าไปถุยน้ําลายจากนั้นจึงหันหลังเดินไป
“ตึงตึง!”
เสียงดังคล้ายคนตีกลองดังขึ้นอีกครั้ง
“เกิดอะไรขึ้น ให้ช่วยไหม?” ฉีหลินหันกลับไปพลางตะโกน
“พี่หลิน พวกเขามากันแล้ว”
ขณะนั้นจู่ๆ ก็มีเสียงคนตะโกนมา
ฉีหลินยืนอยู่บนพื้นหิมะ พอเห็นทางรถบรรทุกไม่มีปฏิกิริยาอะไรจึงหันหลังเดินจากไป
บนถนน
หม่าเหลาเอ๋อพาชายร่างกายบึกบึนมาเจ็ดถึงแปดคนและกําลังแจกบุหรี่ให้กับคนในรถคนละมวน ส่วนคนพวกนี้ก็สวมชุดทหารฝึกสีดํากันทุกคน บางคนสวมใส่ปลอกแขนของบริษัทรักษาความปลอดภัยเหยากวงอยู่
บริษัทรักษาความปลอดภัยเหยากวงเป็นบริษัทเดียวกับที่ส่งคนมาช่วยหม่าเหลาเอ๋อและฉีหลินเพื่อไปช่วยชีวิตแมวเฒ่าตอนอยู่ในไท่จวงแต่พวกเขาไม่ใช่คนที่ฉีหลินเป็นคนหามาเอง เพราะฉีหลินไม่ได้มีเพื่อนอยู่ในเมืองซ่งเจียงจึงไม่สามารถเชิญทีมเหล่านี้มาได้
โกโก้เป็นคนแนะนําบริษัทนี้ให้กับฉีหลินเพื่อให้สามารถรับรองความปลอดภัยระหว่างการขนส่งสินค้าได้มากขึ้น หลังจากที่ฉีหลินได้ทํางานร่วมกับฝ่ายตรงข้ามมาหลายครั้งก็รู้สึกว่าคนเหล่านี้ทํางานเรียบร้อยมีคุณภาพ ดังนั้นจึงปรึกษากับฉินอวี่เพื่อร่วมมือกับพวกเขาในระยะยาว ทุกครั้งที่เสียเงินจ้างพวกเขามาก็จะรวมอยู่ ในค่าขนส่งสินค้าทั้งหมด
พอจอดรถอยู่ตรงข้างทางแล้วฉีหลินจึงเดินเข้ามาถามหม่าเหลาเอ๋อ “คืนนี้เข้าซ่งเจียงได้ไหม?”
“ได้” หม่าเหลาเอ๋อพยักหน้าตอบ “คืนนี้คนเฝ้าด่านเป็นคนของเราพวกนายพักผ่อนกันก่อนแล้วเดี๋ยวเอาสินค้ามาให้ฉันก็พอ”
“โอเค” ฉีหลินพยักหน้า
“ล็อตต่อไปจะมาถึงเมื่อไหร่?” หม่าเหลาเอ๋อถาม
“น่าจะประมาณครึ่งเดือนละมั้ง”
“ได้งั้นนายกลับไปก็ระวังด้วยล่ะ มีเรื่องอะไรก็โทรมาละกัน”
“โอเค เดี๋ยวเราพักผ่อนกันสักพักก็กลับกันแล้วล่ะ” ฉีห ลินพยักหน้า
เกือบสองชั่วโมงผ่านไป
หม่าเหลาเอ๋อเพิ่งจะออกจากด่าน แต่แล้วเสียงโทรศัพท์ในกระเป่าก็ดังขึ้น
“ฮัลโหล? พี่ซู”
“นายจะกลับมาเมื่อไหร่? พวกของเราโดนเปยเตอหยงจับตัวไว้แล้ว” หลิวจื่อซูพูดพลางขมวดคิ้ว
“จับตัวไว้เหรอ? มันหมายความว่ายังไงวะ?” หม่าเหลาเอื้อถามด้วยความโมโห