Special District 9 – เขตพิเศษที่ 9 - ตอนที่ 278 สัญญาณระดับที่หนึ่งบนชั้นสองของอาคารเดี่ยว
- Home
- Special District 9 – เขตพิเศษที่ 9
- ตอนที่ 278 สัญญาณระดับที่หนึ่งบนชั้นสองของอาคารเดี่ยว
Special District 9 เขตพิเศษที่ 9 ตอนที่ 278 สัญญาณระดับที่หนึ่งบนชั้นสองของอาคารเดี่ยว
ตอนที่ 278 สัญญาณระดับที่หนึ่งบนชั้นสองของอาคารเดี่ยว
หลังจากฉีหลินขึ้นไปตรวจสอบทุกอย่างแล้วเขาก็รีบเดินลงบันไดอย่างรวดเร็ว ลูกน้องที่รออยู่ด้านล่างเมื่อเห็นเขาก็ถามทันที“เรียบร้อยแล้วเหรอพี่?”
“เยี่ยมเลย” ชายอีกคนที่ยืนอยู่ตรงประตูพยักหน้า
“ไป”
ฉีหลินพูดอย่างไร้ความรู้สึก
หลังจากนั้นประมาณสามนาที
ฉีหลินนําชายสองคนนั้นไปตรงทางเข้าของหมู่บ้านก็เห็นหยางหนานคุกเข่าอยู่บนกองหิมะ โดยทําคอพับลงไม่ขยับเขยื้อนใดโดยมีชาเหมิงนั่งอยู่ด้านข้างกําลังทอดสายตาไปยังค่ายกองพันป้องกันที่สอง
“เสร็จแล้วเหรอ?” ฉีหลินเดินไปถาม
ชาเหมิงลุกขึ้นยกเท้าถีบหน้าอกของอีกฝ่ายไปด้านหน้าเบาๆ ร่างไร้วิญญาณล้มลงในกองหิมะในสภาพนอนหงายเผยให้เห็นบาดแผลฉกรรจ์ที่ถูกแทงด้วยมีดบริเวณหน้าอก
ฉีหลินก็หันหน้าไปมองค่ายกองพันที่สองไกลออกไปจากระยะสายตา ก่อนหยิบโทรศัพท์มือถือนมากดหมายเลขของฉินอวี
“ฮัลโหล?” อีกฝ่ายรับสายอย่างรวดเร็ว
“ฉันจัดการเรียบร้อย” ฉีหลินพูดเสียงเบา “แต่ ยังเหลืออีกหนึ่งคนที่ขโมยสินค้าของเราไปและ ยังเป็นหนึ่งในกองป้องกันร่วม…ตอนนี้มันอยู่ในซึ่งเจียงจากข้อมูลไอ้หมอนี้ก็คือ…”
“พูดต่อเลย”
“เฒ่าเบี้ยรู้จักกับเจ้านี่แหละ ก่อนมันจะแนะนําหลี่หยานรองหัวหน้ากองให้เฒ่าเบี้ยรู้จักทีหลัง”
“ว่าง่ายๆ ก็คือตัวกลางระหว่างเฒ่าเบี้ยและกองป้องกันร่วมก็คือไอ้หมอนี่ใช่ไหม?” ฉินอวี่ถาม
“อืม” ฉินอวี่พยักหน้า “หลี่หยานรู้จักกับเฒ่าเบี้ยได้ก็เพราะไอ้คนนี้แหละ”
“เข้าใจละ” ฉินอวี่พยักหน้าก่อนกระซิบถาม “แล้วสินค้าล่ะ?”
“พวกมันเอาไปแล้ว และฉันคงเข้าไปเอาไม่ได้” ฉีหลินตอบอย่างใจเย็น“พอเสียงปืนดังขึ้น ทหาร เวรพวกนั้นก็คงจะแห่กันมาทั้งกองพันทางหนีก็ไม่มีเวลาก็กระชั้นชิดไป”
“งั้น…ไอ้คนกลางนั่นมันชื่ออะไรนะ?” ฉินอวี่ถาม
หลังจากนั้นไม่กี่นาที
ฉินอวี่ลุกขึ้นเดินไปมาในสํานักงาน เข้าหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอยู่นานก่อนจะกดหมายเลขหม่าเหล่าเอ่อแต่เมื่อเขากําลังจะกดโทรออก ฉินอวก กลับมาลังเลจ้องหน้าจอโทรศัพท์อีกครั้งจากนั้นจึงตัดสินใจเก็บโทรศัพท์ไว้ในกระเป๋าเสื้อดังเดิม
ฉินอวี่เดินกระวนกระวายไปมาอยู่ในห้องทํางานยิ่งคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งรู้สึกโกรธ มากขึ้นเท่านั้น
สินค้ามูลค่ากว่าสามแสนหยวน การสูญเสียนี้มากเกินไปที่คนอย่างโกโก้จะช่วยฉินอวได้แถมฉินอวี่ยังรับผิดชอบการขนส่งเองด้วย
ฉินอวี่ตอนนี้เขาคิดว่าสถานการณ์ของเขาและ ฉีหลินนั้นเหมือนกัน เพราะพวกเขาไม่เหมือนแมวเฒ่าที่มีเฒ่าหลอยู่เบื้องหลังแน่นอนว่าพวกเขาไม่ ได้รับการสนับสนุนจากตระกูลหม่าพวกเขาทั้งสองจึงต้องพึ่งพาตัวเองแล้ว
ธุรกิจยาเป็นเพียงรายได้หลักของเขากับฉีหลิน เมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้จึงทําให้ฉินอวี่แค้นใจเป็นอย่างมากและยากที่จะให้อภัย
เขาเคยใช้ชีวิตอยู่ในความทุกข์ทรมานอยู่ใน พื้นที่โครงการ ตอนนี้เขาก็ได้มาเป็นตํารวจดังนั้นจึงมีความรอบคอบในงานของเขาอย่างหลีกเลี่ยง ไม่ได้ แต่หมาป่ายังคงหลับใหลในตัวเขาและพร์อมที่จะตื่นขึ้นตลอด
หลังจากพิจารณาอย่างรอบคอบแล้วฉินอวี่ก็ เดินไปยังประตูสํานักงานก่อนชะโงกมองดูด้านใน
ไม่ไกลจากพื้นที่ทํางานส่วนกลาง ฟูเสี่ยวห่าวอ อกเวรของเขาไปและปล่อยให้ตํารวจคนอื่นงบหลับกันอยู่บนเก้าอี้
ฉินอวี่มองไปยังทั้งสามคนขณะเอื้อมมือออก ไปปิดไฟหลักในห้อง เหลือเพียงโคมไฟสลัวข้างโต๊ะ
เมื่อก้าวกลับไปหน้าโต๊ะ ฉินอวหยิบเสื้อคลุมใน ต้ออกมา เขายัดเบาะสองใบไว้บนเก้าอี้แล้วคลุมด้วยเสื้อที่เอามาเมื่อกี้อีกที
ในห้องพักใจกลางเมือง
“กร็ง!”
ทันทีที่โทรศัพท์ดังขึ้นโคมไฟตัวเตียงก็สว่างอย่างรวดเร็วเฉินป๋อก็ลืมตาขึ้นพลางเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์และกดรับสายด้วยความง่วง
“เออ..ฮัลโหล?”
“หัวหน้าเฉิน นี่ผมเองเสียวชวีแห่งกองพันป้อ งกันที่สอง
“อ่อ เกิดอะไรขึ้นเรอะ?” เฉินป้อขมวดคิ้ว
“ผมเพิ่งได้รับรายงานมา ดูเหมือนว่าทีมดูแลสินค้าจะมีปัญหาและตอนนี้เรากําลังรวบรวมกําลังคนมาเพื่อรอใบอนุญาตให้ออกจากค่ายอยู่” อีกฝ่ายรีบอธิบาย
“ดะ…เดี๋ยวนะ! ทําไมถึงมีปัญหา?” เฉินป๋อ ลุงขึ้นนั่งทันทีพร้อมถามอย่างงงงวย
“ยามที่แคมปรองโทรมารายงานว่าคนร้ายมัน กลับมาแก้แค้น” อีกฝ่ายขมวดคิ้วพลางพูดต่อ “หลังจากนั้นสายก็ถูกตัดไปโทรไปก็ไม่รับสาย”
เฉินป๋อไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง “นี่มันไร้สาระสิ้นดี อีกฝ่ายมากันกี่คน? โดนไปซะขนาดนั้นกล้าดียังไงถึงกลับมาบุกรุกค่ายของกองป้องกันร่วมแบบ
นี้?”
“ผมก็ยังไม่เข้าใจสถานการณ์ตอนนี้เท่าไหร่น่ะ”
“ไอ้พวกนี้มันอยากลองดีกัน มันสู้พวกเราไม่ได้หรอก”แม้ระดับเฉินป๋อจะต่ํากว่าหลี่หยาน แต่เครือข่ายเขากว้างขวางและเขาเคยช่วยหน่อยไว้เยอะดังนั้นคําพูดเขาจึงมีน้ําหนักมาก “ถ้ามีอะไรคืบหน้าก็โทรมาแจ้งฉันนะ”
“โอเค เข้าใจแล้วครับ”
“ใช่สิ..นายจะให้เสี่ยวซิงมารับฉันได้ไหม? เดี๋ยวฉันจะไปหา” เฉินป๋อกระซิบ “แล้วคุณอยู่ไหนล่ะหัวหน้า?”
“ก็ที่เก่าในเมือง”
“ทราบแล้ว”
“งั้นแค่นี้ก่อนนะ”
เมื่อสิ้นเสียงทั้งสองก็วางสาย
บนเตียงภรรยาของเขาขยี้ตาอย่างง่วงงุน “อะ ไรน่ะ ที่รัก?”
“ไม่มีอะไรหรอก นอนต่อเถอะที่รัก”เฉินป๋อบ้วนน้ําลายลงถังขยะก่อนหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดพลางโทรไปหาเบี้ยเตอหยงอีกฝ่ายกลับไม่รับสาย เพราะหลังจากทุกอย่างลงตัวด้วยดีเขาก็ไปดื่มกับหยวนเค่อและไปพักผ่อน
หลังจากเกือบสี่สิบนาที ทหารกองพันป้องกันที่สองก็มาถึงหมู่บ้าน และเหตุผลที่พวกเขามาช้ามากก็เพราะหัวหน้าทหารส่วนใหญ่กลับบ้านไปนอนกันหมดจึงต้องติดต่อทหารระดับบนเพื่อขอคําแนะนํากว่าจะได้ออกค่ายใช้เวลาไปกว่ายี่สิบนาที
ภายในบริเวณหมู่บ้าน
ขบวนรถหยุดชะงัก ทหารสามนายรีบวิ่งเข้าไปในอาคารหลักโดยเปิดไฟสว่างแต่เมื่อพวกเขามาถึงหน้าประตูพวกเขาก็ตกตะลึงทันที
หลี่หยางกับเหล่าคณะกรรมการบริหารอีกหก หรือเจ็ดคน นอนตายบนกองหิมะหน้าประตู
จ่าสิบเอกก็ตะลึงงัน หลังนิ่งเป็นเวลานานเขาก็รีบไปที่ด้านข้างของหลี่หยานและยื่นมือไปจับต้นคออีกฝ่ายเพื่อตรวจดูชีพจร
“ระ…รองค่าย เป็นไงบ้างครับ?” นายทหารอีกคนถามตะกุกตะกัก
“ไม่นะ…ไม่ ตัวแข็งกันหมดแล้ว” จ่าสิบเอกทรุดลงด้านข้างหลี่หยานและตอบด้วยใบหน้าซีดเซียว
“เข้าไปเช็กข้างใน!” จ่าอีกคนหนึ่งคํารามออก คําสังขณะกระชับกระบอกปืนแน่น
ประมาณห้านาทีต่อมาจ่าสิบเอกนั่งกดหมาย เลขของเจิ้งหยิงด้วยมือที่สั่นเทา “ไม่พบคนรอดชีวิตเลยครับ!”
“หลี่หยานล่ะ?” อีกฝ่ายขมวดคิ้วถาม
“เขาตายแล้วครับ”
ตายแล้วเรอะ?! เจิ้งหยิงโพล่งถามเสียงดังทันที่ “เดี๋ยวนะ มันเป็นไปได้ยังไง…นี่อีกฝ่ายกล้าฆ่าเขาเลยเหรอ?”
อีกสิบนาที
กองพันป้องกันร่วมที่สองส่งสัญญาณเตือนดังขึ้นทั่วบริเวณค่าย”เตรียมพร้อมรบระดับหนึ่ง!ทุกคนยกเว้นหน่วยตรวจสินค้ามารวมพล!”
บนถนนฮ่งเจียง
รถคันหนึ่งกําลังวิ่งไปที่บ้านของเฉินป๋อ