Special District 9 – เขตพิเศษที่ 9 - ตอนที่ 30
ตอนที่ 30 ฉีหลินกับผู้ต้องหา
หลังจากกินอาหารเสร็จ…ฉินอวี่รีบเดินทางไปยังห้องสอบสวนทันที ในขณะเดียวกันหยวนเค่อไปรับผู้กำกับหลี่เพื่อมายังสถานีตำรวจ
ภายในห้องสอบสวน อาหลงนั่งบนเก้าอี้เหล็กพร้อมโซ่ตรวนรัดข้อมือ
“มาทำความรู้จักกันก่อนไหม?” ฉินอวี่จิบน้ำพลางแสดงบัตรประจำตัว “ฉันชื่อฉินอวี่ เป็นหัวหน้าหน่วยสามแห่งกองสอบสวนคดีอาญาสังกัดผู้บัญชาการตำรวจ ฉันมีหน้าที่รับผิดชอบคดีของนายโดยตรง”
อาหลงมองฉินอวี่พลางครุ่นคิด “อืม…รู้จัก”
“รู้จัก?” ฉินอวี่สับสน “รู้จักฉันงั้นเหรอ?”
“อืม…ฉันเคยได้ยินเรื่องของนายผ่านเพื่อนมาบ้าง” อาหลงยิ้มพร้อมกล่าวตอบ “แต่เราไม่เคยเจอกันมาก่อน…”
อาหลงไม่ได้โกหก เขาเคยเห็นฉินอวี่ไปหาฉีหลินบ่อยครั้ง…และรู้ว่าตำรวจนายนี้สนิทสนมกับน้องของตนอยู่พอสมควร เพราะเขาคอยสังเกตการณ์มาระยะหนึ่งแล้ว
“เฮ้! ไม่สำคัญว่านายรู้จักใครบ้าง…เพราะประเด็นที่สำคัญที่สุดคือคำสารภาพของนายมันมีผลต่อรูปคดี” ฉินอวี่เปลี่ยนเรื่องทันที “ตอนนี้นายเหมือนพ่อค้ารายใหญ่ของเครือข่ายค้ายา ดังนั้นถ้านายไม่ยอมปริปากหรือซัดทอดถึงคนที่ใหญ่กว่าให้ฉัน ต่อให้มีญาติเป็นนายกก็ช่วยอะไรไม่ได้!”
“หึ!” อาหลงยิ้มพลางจ้องฉินอวี่ “ขยับเข้ามาใกล้ๆ สิ”
ฉินอวี่ผงะ
“อยากคุยไม่ใช่เหรอ? ถ้าอยากฟังก็เข้ามาใกล้ๆ!” อาหลงสะบัดโซ่ไปมาพร้อมกวักมือเรียกฉินอวี่
“มีอะไรก็รีบพูดมา” ฉินอวี่รีบย้ายเก้าอี้ไปนั่งข้างอาหลงพร้อมกล่าว “ว่ามาสิ!”
“อันที่จริง…ต่อให้ฉันไม่ได้ยินเรื่องนายมาจากเพื่อน ยังไงฉันก็รู้จักนายอยู่ดี” อาหลงแสยะยิ้มพร้อมกล่าว “ชื่อฉินอวี่ใช่ไหม?”
ฉินอวี่ขมวดคิ้วเล็กน้อย “ลุงหม่าเป็นคนบอกเหรอ?”
“ไม่ใช่” อาหลงยกมือขึ้นพลางชี้นิ้วไปยังฉินอวี่ด้วยท่าทียั่วยุ “พวกค้ายาทุกคนที่ฉันรู้จักต่างก็เคยได้ยินชื่อนายกันทั้งนั้น ตั้งแต่มีการปราบปรามยาเสพติด แก๊งค้ายาต่างก็พูดถึงนาย…ฉินอวี่!”
“พูดถึงฉันงั้นเหรอ?” ฉินอวี่เลิกคิ้ว
“ใช่ อยากรู้ไหมว่าเขาพูดว่ายังไงกันบ้าง?” อาหลงแยกเขี้ยวถาม
“พูดว่าอะไร?`”
“ฮ่าๆ พวกนั้นเถียงกันว่าจะลากแกลงนรกด้วยวิธีไหนดีไงล่ะ!”
ฉินอวี่อึ้งไปชั่วขณะ
ขณะมองไปที่กล้อง…อาหลงพลันใช้หลังมือตีแขนฉินอวี่พลางกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ไอ้น้อง…พูดได้เต็มปากไหมล่ะว่าหยวนเค่อมอบหมายให้ทำคดีนี้เพราะอยากสนับสนุน?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินอวี่จึงเย้ยกลับไปด้วยท่าทีเย็นชา “ไม่เลว…นี่ขนาดนั่งอยู่ในห้องสืบสวน ยังกล้ายั่วฉันขนาดนี้!”
“หึ! ไร้เดียงสาจริงนะ” อาหลงส่ายหัวพร้อมก้มหน้า “หยวนเค่อมีลูกน้องเก่งกาจในหน่วยหลายคน แต่ละคนมีประสบการณ์มากกว่าแกถูกไหม? ญาติก็ไม่ใช่…แต่ทำไมเขาถึงกล้าเดิมพันให้แกทำคดีใหญ่ขนาดนี้ล่ะ?”
“งั้นแกก็บอกมาสิว่าทำไมต้องเป็นฉัน” ฉินอวี่กล่าว
“เพราะแกมันทั้งโง่และทะเยอทะยานไงล่ะ! เด็กใหม่ที่ไม่มีเส้นสาย ยอมทำทุกทางเพื่อให้ตัวเองไปสู่จุดสูงสุด เขารู้ว่าแกจะทำคดีนี้อย่างสุดฝีมือ…” อาหลงยิ้มก่อนกล่าวต่อ “ทำไมพวกหยวนเค่อถึงอยากจัดการพวกค้ายาอย่างฉัน? ไม่รู้รึไงว่าพวกมันอยากให้แกเป็นคนจัดการกับผู้นำตระกูลหม่า?”
คำพูดนั้นทำฉินอวี่นิ่งไปชั่วครู่
“เมื่อไม่นานมานี้มีแก๊งค้ายากลุ่มหนึ่งลักลอบปล่อยยาที่แอบกักตุนไว้ไปยังเขตพื้นทมิฬ พวกมันขายแพงกว่าของเราถึงสองเท่า แกรู้ข่าวเรื่องนี้ไหมล่ะ?” อาหลงถาม
ฉินอวี่หวนนึกถึงเรื่องที่เคยได้ยินมาจากหลินเหนียนเล่ยกับไอ้เสือเมื่อวันก่อน
“ไอ้น้อง…ไม่มีทางที่ผู้หมวดหยวนจะเกิดความพิศวาสขึ้นมาเฉยๆ หรอก…คงคิดว่าเขาให้ความสำคัญกับแกมากล่ะสิ แกก็แค่คนโง่ที่ถูกหลอกใช้เป็นเครื่องมือเท่านั้นแหละ!” อาหลงจ้องหน้า “รู้ใช่ไหมว่าจุดจบของคนที่ถูกหลอกใช้เป็นยังไง?”
ฉินอวี่ไตร่ตรองอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะยกนิ้วให้ “แกโน้มน้าวคนเก่งนะ น่าประทับใจจริงๆ”
“แกรู้ดีว่าความจริงคืออะไร” อาหลงตอบกลับพลางก้มมองพื้น “เพราะแกเคยช่วยเพื่อนฉันไว้ก่อนหน้านี้หรอกนะ ฉันถึงได้ยอมบอก”
ฉินอวี่ไม่ได้เชื่อสิ่งที่อาหลงพูดมาทั้งหมด เขาเองก็คิดไว้อยู่แล้วว่าหยวนเค่อคงไม่ส่งเสริมเขาโดยไม่มีเหตุผล แต่ไม่ว่าจะโดนหลอกใช้เป็นเครื่องมือเพราะไม่มีเส้นสาย หรืออาศัยความทะเยอทะยานของตนเพื่อไต่เต้าความสำเร็จ…ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ
ฉินอวี่ไม่ใช่เด็ก เขารู้ว่าหากไม่มีคนหนุนหลัง ทางเดียวที่จะอยู่รอดในโลกอันวุ่นวายนี้คือการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กับคนอื่น…ต้องกล้าเสี่ยงชีวิตในยามคับขัน
แต่สิ่งที่ฉินอวี่ชะล่าใจคือคลื่นใต้น้ำของวงการค้ายาเถื่อน ระหว่างที่เขามัวสนใจกับตระกูลหม่า ยังมีอีกหลายกลุ่มที่ปล่อยยาสู่ตลาด และคนเหล่านั้นเกี่ยวพันกับหยวนเค่อโดยตรง!
ถ้าคำพูดของอาหลงเป็นจริง หลายอย่างคงยากกว่าที่คิดไว้มาก
“เดี๋ยวฉันก็ตายแล้ว คงไม่เสียเวลาโกหกหรอก” อาหลงกล่าว “ถึงจะไม่รู้เบื้องหลังชีวิตแกมาก แต่ก็พอได้ยินมาบ้างว่าแกมาจากเขตพัฒนา สำหรับคนอย่างเราที่อยู่จุดต่ำสุด มันไม่ง่ายเลยกว่าจะดิ้นรนขึ้นมาถึงตรงนี้ได้ ฉะนั้นอย่าปล่อยให้ตัวเองตกเป็นเบี้ยล่างของใคร”
ฉินอวี่มองหน้าอาหลงชั่วครู่ก่อนเอ่ยถาม “มีเรื่องหนึ่งที่ฉันยังสงสัย ก่อนหน้านี้แกกับตระกูลหม่าผูกขาดตลาดค้ายาเถื่อนในตลาดซ่งเจียง แล้วทำไมจู่ๆ แกถึงกดราคาลงต่ำขนาดนั้น? นึกใจดีเปลี่ยนราคาตลาดรึไง?”
“ฉันแค่ทำในสิ่งที่อยากทำ ยังมีอีกหลายคนที่พยายามดิ้นรนกลับมาเขตพื้นทมิฬ” อาหลงกล่าวตอบพลางหัวเราะกับตัวเอง “พ่อฉันป่วยตายเพราะไม่มีเงินซื้อยามารักษา เหมือนกับแม่ที่กำลังจะตายเร็วๆ นี้ ครั้งแรกที่ฉันมาถึงเขตพิเศษที่เก้า…ฉันเป็นแค่คนไม่เอาถ่าน อาศัยเศษเหลือทิ้งของชาวบ้านประทังชีวิต ตอนนี้ฉันพอมีทางหาเงินได้ จึงอยากช่วยพวกเขาให้ลืมตาอ้าปากบ้าง ฉันรู้ดีว่างานค้ายาเถื่อนมันเสี่ยง แต่ก็พอต่อชีวิตไปได้อีกหน่อย”
ช่วงเวลาเป็นตายแบบนี้อาหลงคงไม่คิดปิดบังอะไรอีก ฉินอวี่มองชายตรงหน้า ความรู้สึกรังเกียจจนถึงเมื่อครู่หายไปจนสิ้น
ทั้งสองต่างนิ่งเงียบ
จิตใจของฉินอวี่กำลังสับสน แม้จะศึกษามาอย่างถี่ถ้วนแล้ว แต่ก็ยังไม่มากพอให้มองเห็นความซับซ้อนในเมืองซ่งเจียงนี้ได้ชัดเจน
“แอ๊ด…”
ทันใดนั้นประตูห้องสอบสวนก็เปิดออกทำลายความเงียบของคนทั้งสอง
ฉีหลินยืนยิ้มอยู่ข้างประตู “สอบปากคำอยู่เหรอ?”
อาหลงบนเก้าอี้เหล็กเงยหน้ามองด้วยความตกใจทันทีที่ได้ยินเสียงของฉีหลิน
“นายมาทำอะไร?” ฉินอวี่หันไปถาม
“ฉันมาถามว่าอุปกรณ์ที่ยืมไปนายได้ตรวจสอบความเสียหายก่อนส่งคืนคลังหรือยัง?” ฉีหลินตอบอย่างใจเย็น “ฉันคิดว่านายอาจต้องอยู่นี่ทั้งคืน เลยมาถามข้อมูลไปเขียนรายงานก่อน เพราะฉันต้องเปลี่ยนกะพรุ่งนี้เช้าแล้ว”
“อ๋อ เข้าใจแล้ว” ฉินอวี่พยักหน้าพลางลุกขึ้น “ความเสียหายค่อนข้างหนัก ฉันจะให้คนเขียนรายงานส่งให้นายทีหลังแล้วกัน”
“โอเค” ฉีหลินพยักหน้าตอบก่อนหันไปมองอาหลง “หนีมาตั้งนาน ในที่สุดก็โดนจับแล้วเหรอ?”
อาหลงยังคงอยู่ในอาการตกตะลึง เม็ดเหงื่อผุดขึ้นเต็มหน้าผาก
“เขาต้องถูกส่งตัวไปเรือนจำที่สามใช่ไหม?” ฉีหลินหันไปถามฉินอวี่
“อืม…หลังสอบสวนเสร็จก็จะส่งตัวเลย” ฉินอวี่พยักหน้าตอบ
“สมน้ำหน้าไอ้สารเลว ฉันเกือบโดนเด้งเพราะแก!” ฉีหลินมองหน้าอาหลงอย่างไม่แยแส “รอก่อนเถอะ ออกจากห้องนี้เมื่อไร ฉันจะส่งคนไปดูแลแกอย่างดีเลยล่ะ”
เมื่อได้ฟัง ฉินอวี่ก็อดคิดไม่ได้ว่ามีบางอย่างแฝงอยู่ในประโยคพวกนั้น
อาหลงใช้เวลาสักพักกว่าจะตั้งสติได้และตอบกลับเสียงแข็ง “แกคิดว่าตัวเองเป็นใคร? ฉันถูกจับก็จริง แต่ข้างนอกนั้นยังมีพรรคพวกฉันอีกเยอะ ถ้ายังไม่เลิกกวนประสาท ก็ระวังครอบครัวแกไว้ให้ดีแล้วกัน!”
“หึ! คอยดูแล้วกัน” ฉีหลินแค่นเสียงอย่างเย็นชาก่อนจะหันไปบอกฉินอวี่ว่า “ฉันต้องไปแล้ว…ฝากจัดการมันด้วย”
ฉินอวี่จ้องมองฉีหลินอย่างครุ่นคิดก่อนจะตอบกลับว่า “เดี๋ยวฉันไปด้วย…จะได้ช่วยรายงานเรื่องอุปกรณ์เลย”
“อ่า…งั้นไปกันเถอะ” ฉีหลินตอบอย่างใจเย็น
ทั้งสองเดินออกจากห้องสอบสวน เจ้าหน้าที่ตำรวจประจำการทั้งสี่คนล็อกประตูเหล็กและยืนรักษาความปลอดภัยตรงทางเข้า
ฉีหลินเดินเอามือไขว้หลังไปตามทางเดินแคบยาวก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม “นายให้คนอื่นเขียนรายงานส่งมาให้ฉันก็ได้ เป็นถึงหัวหน้าหน่วยแล้ว ไม่เห็นต้องจัดการเรื่องจุกจิกด้วยตัวเองเลย”
ฉินอวี่ไม่ตอบแต่เปลี่ยนเป็นฝ่ายถามแทน “นายตั้งใจมาสอดแนมใช่ไหม?”
ฉีหลินชะงักก่อนจะถามกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย “สอดแนม? หมายความว่าไง?”
“นายรู้จักอาหลงมาก่อนใช่ไหม?” ฉินอวี่ถามซึ่งหน้า
“ระ…ไร้สาระ! ฉันจะไปรู้จักคนแบบนั้นได้ไง?”
“อาหลงบอกว่ารู้จักฉันผ่านเพื่อนคนหนึ่ง แต่คนที่ฉันใกล้ชิดที่สุดในสำนักงานตำรวจคือนายกับแมวเฒ่า ที่เหลือก็เป็นแค่เพื่อนที่เคยร่วมงานกันเท่านั้น” ดวงตาคมของฉินอวี่จ้องไปยังฉีหลิน “นายมีพิรุธตั้งแต่ที่โรงอาหารก่อนหน้านี้แล้ว แถมในห้องสอบสวนยังพูดกับอาหลงมากผิดปกติอีก”
“นี่นายเครียดกับคดีมากไปหรือเปล่า?” ฉีหลินตอบพร้อมหัวเราะเล็กน้อย
“นายระแวงมากไปแล้ว”
“นายไม่ได้ตั้งใจไปหาฉันที่ห้องสอบสวนเพื่อถามรายงานอุปกรณ์ แต่ไปเพื่อช่วยเขาใช่ไหม?”
“ฉินอวี่ ฉันว่านาย…”
“หมับ!”
จู่ๆ ฉินอวี่ก็เอื้อมมือไปที่เอวของฉีหลิน เขาผละตัวออกทันทีตามสัญชาตญาณก่อนจะถามด้วยสีหน้าตกใจ “นายจะทำอะไร?!”
“ปกติช่วงที่เข้าเวรอยู่นายจะเก็บปืนไว้ในตู้ แต่ทำไมวันนี้มันถึงมาอยู่ที่เอวนายซะล่ะ?” ฉินอวี่คว้าแขนฉีหลินไว้พลางกล่าวเสียงทุ้ม “เสียสติไปแล้วรึไง? หมอนั่นเป็นคนอันตราย ขืนนายไปยุ่งได้จบไม่สวยแน่!”
ฉีหลินกวาดตามองรอบตัวด้วยท่าทีตื่นตระหนก ก่อนจะมองฉินอวี่ด้วยดวงตาแดงก่ำ “ถ้านายยังเห็นว่าฉันเป็นเพื่อน ช่วยแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นทีได้ไหม?”
“ถ้าเป็นคนอื่นฉันจะไม่ยุ่งเลย! นายเพิ่งแต่งงานมีครอบครัวจำไม่ได้เหรอ? ไอ้อาหลงนั่นสำคัญอะไรนักหนา นายถึงต้องทำขนาดนี้?” ฉินอวี่พูดด้วยน้ำเสียงกระวนกระวายใจ
ฉินอวี่ลากฉีหลินไปที่บันไดก่อนจะพูดต่อว่า “เอาเป็นว่าฉันจะไม่คาดคั้นเอาความเรื่องที่นายปิดบังอยู่ แต่จะบอกอะไรให้…ต่อให้มีนายอีกสิบคนก็พาหมอนั่นออกจากที่นี่ไม่ได้ ถ้ายังคิดจะพยายาม นายตายแน่!”
…
ในห้องสอบสวน
อาหลงคงครุ่นคิดถึงคำพูดของฉีหลิน
‘รอก่อนเถอะ ออกจากห้องนี้เมื่อไร ฉันจะส่งคนไปดูแลแกอย่างดีเลยล่ะ’
ชัดเจนว่าประโยคพวกนั้นมีความหมายแฝง…หรือฉีหลินคิดจะช่วยเขาออกไป!
แต่เด็กนั่นไม่มีใครคอยหนุนหลังเพื่อช่วยจัดการเรื่องนี้ วิธีเดียวที่เหลืออยู่คือ…ต้องใช้กำลังพาหนีหลังออกจากสำนักงานตำรวจ!
เมื่อคิดได้ดังนั้นอาหลงก็กำหมัดแน่นพลางบ่นพึมพำกับตัวเอง “แม่งเอ๊ย! ไอ้เด็กนั่นคงไม่คิดทำอะไรโง่ๆ หรอกใช่ไหม?”
…
ณ ห้องโถงสำนักงานตำรวจ เสียงฝีเท้าของหยวนเค่อและผู้กำกับหลี่ดังมาจากทางเข้า
“ยินดีต้อนรับกลับครับผู้หมวดหยวน ผมกำลังรอคุณอยู่พอดี!” ซูอังกล่าวพลางสาวเท้าไปหาทั้งสองอย่างรวดเร็ว
“มีอะไรหรือเปล่า?” หยวนเค่อถาม
“ผมเพิ่งได้รับข่าวสำคัญมาครับ!” ซูอังสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะรายงานต่อเจ้านายทั้งสองด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ผมได้ยินมาจากหนึ่งในผู้ต้องหาว่า…อาหลงได้ทำการลักลอบติดต่อกับตำรวจนายหนึ่งในสำนักงานของเราก่อนพยายามหลบหนีออกจากเขตพิเศษที่เก้าครับ…”
……………………………………………………..