Special District 9 – เขตพิเศษที่ 9 - ตอนที่ 58
ตอนที่ 58 ลักพาตัว
ฉินอวี่ แมวเฒ่า และฉีหลินวิ่งไปที่ขอบหน้าต่างบริเวณปลายโถงทางเดินชั้นสาม เมื่อชะโงกลงไปก็พบว่าหน้าต่างชั้นสองมีระเบียงยื่นออกมา ผู้ร้ายอาศัยระเบียงดังกล่าวเป็นฐานก่อนจะใช้บันไดด้านข้างหนีลงไปยังชั้นหนึ่ง
เมื่อมองไปยังถนน ฉินอวี่เห็นว่าชายหนุ่มสวมเสื้อกันลมหนังแพะลากคังไปฝั่งตรงข้ามก่อนจะหายเข้าไปในตรอก
“ต้องมีเรื่องไม่ชอบมาพากลแน่ ไม่งั้นคนอย่างพี่คังคงไม่เอ่ยปากขอเราช่วยหรอก” ฉีหลินบอกอีกสองคนอย่างกังวล “เราต้องช่วยเขาให้ได้ ไม่งั้นทุกอย่างที่เราทำลงไปคงสูญเปล่า”
ฉินอวี่เข้าใจที่ฉีหลินบอก พวกเขาไม่มีเวลามาวางแผน ไม่อย่างนั้นพวกโจรลักพาตัวอาจหนีไปได้ ฉินอวี่จึงหันไปบอกแมวเฒ่า “นายไปเอารถ ส่วนฉันกับฉีหลินจะตามพวกมันไป”
“ระวังตัวด้วย!” แมวเฒ่ากล่าว
“ถึงรถแล้วโทรมา” ฉินอวี่สั่งขณะที่ปีนขึ้นขอบหน้าต่างพลางกวักมือเรียกฉีหลิน “ไปกันเถอะ!”
หลังจากนั้นพวกเขาก็กระโดดลงไปที่ระเบียงชั้นสอง ฝ่ายแมวเฒ่ารีบวิ่งกลับไปที่บันได
หลังเลี้ยวไปตามทางสองโค้งจนใกล้ถึงบันได แมวเฒ่าก็ได้ยินเสียงฝีเท้ากำลังมุ่งหน้ามาทางที่เขาอยู่ กลุ่มชายฉกรรจ์เจ็ดคนในชุดเครื่องแบบสีขาวแพลตตินั่มคาสเซิลปรากฏตัวขึ้นพร้อมอาวุธครบมือ
ทั้งสองฝ่ายต่างจ้องมองกันชั่วขณะ
แมวเฒ่ารีบตั้งสติก่อนตะโกนด้วยท่าทีร้อนรนพลางชี้ไปยังทางเดิน “ในที่สุดก็มาสักที มีไอ้ชาติชั่วกลุ่มหนึ่งลักพาตัวคนไป พวกมันหนีออกทางนอกหน้าต่างนู่น!”
“พวกมันมีกันกี่คน?” หัวหน้ากลุ่มขมวดคิ้วถาม
“ฉันเห็นไม่ชัด น่าจะประมาณสี่ถึงห้าคน” แมวเฒ่าพูดพลางรีบหลีกทางให้พวกเขาผ่านไป
เมื่อเห็นแมวเฒ่าอยู่คนเดียวแถมยังไม่มีอาวุธใดๆ กลุ่มชายฉกรรจ์ทั้งเจ็ดจึงไม่ติดใจเอาความและรีบวิ่งไปทางหน้าต่างตามที่ได้รับข้อมูลมา
แมวเฒ่าปาดเหงื่อบนใบหน้า เขารีบวิ่งลงบันไดพลางบ่นงึมงำ “ชีวิตฉันกลายเป็นหนังระทึกขวัญตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย…”
…
ด้านหลังแพลตตินั่มคาสเซิล
หลังจากกระโดดลงไปที่ระเบียงหน้าต่างชั้นสองก็รีบวิ่งลงบันไดต่อทันที ขณะที่ฉินอวี่กำลังจะข้ามถนนเพื่อไล่ตามคนร้าย ฉีหลินก็รั้งเขาไว้ก่อนพูดขึ้น “ฝ่ายนั้นดูเหมือนจะยังไม่รู้ตัวว่าถูกพวกเราสะกดรอยตาม ถอยออกมาห่างๆ หน่อยดีกว่า เดี๋ยวโดนจับได้”
ฉินอวี่ชะงักไปเล็กน้อยก่อนตอบกลับ “อืม”
หลังจากวางแผนกันคร่าวๆ พวกเขาก็ข้ามถนนและมุ่งหน้าเข้าไปในตรอก
ระบบไฟฟ้าของเขตพัฒนาไม่ค่อยเสถียรนัก เมื่อถึงเวลาสี่ทุ่มพื้นที่ส่วนใหญ่จึงถูกปิดไฟมืดเช่นเดียวกับตรอกที่ร้างผู้คน ด้วยเหตุนี้ฉินอวี่และฉีหลินจึงมองเห็นเพียงเงารางๆ ตรงหน้าเท่านั้น
ขณะเดียวกันอีกฝ่ายก็ยากที่จะสังเกตเห็นตัวตนของพวกเขา ตราบใดที่ทิ้งระยะห่างอย่างปลอดภัย ทั้งสองจะสามารถติดตามกลุ่มคนร้ายได้โดยไม่ต้องกังวล
ถนนภายในตรอกนั้นแคบและยาวมาก ฉินอวี่กับฉีหลินกระชับปืนในมือแน่น ทั้งคู่ตามไปประมาณสองร้อยเมตร เลี้ยวสองโค้งและในที่สุดก็มาถึงท้ายตรอกจนได้
ริมถนนท้ายตรอกมีรถกระบะออฟโรดรุ่นเก่าจอดไว้โดยที่ยังติดเครื่องยนต์อยู่ ชายสวมเสื้อกันลมหนังแพะจ่อปืนไปที่หัวคังให้เดินไปข้างรถ ส่วนอีกฝั่งของรถยนต์มีชายสวมแจ็คเก็ตหนังสีดำเดินออกมาก่อนจะกระซิบคุยกัน
เนื่องจากฉินอวี่กับฉีหลินอยู่ห่างจากอีกฝ่ายมากจึงไม่ได้ยินเรื่องที่พวกมันคุยกัน แต่ถึงอย่างนั้นก็พอรู้ว่าคนกลุ่มนี้กำลังจะหนี
“บุกไปช่วยพี่คังเลยดีไหม?” ฉีหลินถามอย่างจริงจัง
แสงไฟจากหน้ารถกระบะทำให้ฉินอวี่มองเห็นชายที่สวมเสื้อกันลมหนังแพะและพรรคพวกของเขาได้อย่างชัดเจน เขาส่ายหัวก่อนตอบ “คนพวกนี้ไม่ธรรมดา ดูจากชุดลายทหารกับรองเท้าหนังที่พวกมันใส่คงมาจากเขตรกร้างแน่ พวกเรามีแค่ปืนสองกระบอก ถ้าบุกประชิดตอนนี้เราสองคนไม่ตายก็คงพิการ”
ฉีหลินกัดฟันพูด “ถ้าทุกอย่างพัง นายยังกลับไปที่เขตพัฒนาได้ แมวเฒ่าเองก็ยังมีเฒ่าหลี่คอยช่วยเหลือ ไม่มีอะไรต้องกังวล แต่ไอ้ฉีหลินคนนี้ล่ะเหลืออะไร? เพราะมีนายช่วยฉันถึงรอดมาได้ขนาดนี้ ช่องทางการค้ายาเป็นทางเดียวที่จะพลิกชีวิตฉัน ถึงยังไงฉันก็ต้องทำทุกทางต่อต้องแลกด้วยชีวิตก็เถอะ!”
ฉินอวี่เงียบลงทันที
“ต่อให้พวกมันจะมีปืนใหญ่ ฉันก็จะสู้!” ฉีหลินพูดขณะถือปืนเดินไปข้างหน้า “ฉันจะเข้าไปก่อน”
ริมถนน
ชายหนุ่มสวมเสื้อกันลมหนังแพะหยิบเงินสดจำนวนหนึ่งออกมาให้คนที่สวมเสื้อแจ็คเก็ตหนังสีดำ “ขอบคุณที่มาช่วย ไว้เจอกัน”
“ไม่เป็นไรครับพี่เซียว ถ้ามีอะไรให้ช่วยอีกก็โทรหาผมได้เลย แถวนี้เริ่มมีคนพลุกพล่านแล้วรีบออกไปเถอะ” ชายสวมแจ็คเก็ตหนังสีดำตอบอย่างสุภาพ
ในตรอก
ฉินอวี่และฉีหลินเดินคู่กันไป สายตาทั้งสองจับจ้องไปยังชายสวมเสื้อกันลมหนังแพะและเผยท่าทีเตรียมพร้อมยิงกราดทุกเมื่อ
สิบห้าเมตร
สิบเมตร…
ด้วยระยะทางที่ลดลงเรื่อยๆ ฉินอวี่เหลือบมองไปที่ฉีหลินและพูดขึ้น “บุกเข้าไปตรงๆ คงพังไม่เป็นท่า เดี๋ยวฉันจะล่อสองคนนั้นออกไป ส่วนนายเข้าไปจับหัวหน้ามันเป็นตัวประกันซะ”
“เข้าใจล่ะ” ฉีหลินตอบรับพลางจัดท่าและพุ่งออกไป
“กริ๊ง!”
ทันใดนั้นก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
ชายสวมเสื้อกันลมหนังแพะหันมองต้นเสียงทันที
…
สองนาทีก่อนหน้า
แมวเฒ่าวิ่งตาลีตาเหลือกออกจากแพลตตินั่มคาสเซิล ข้ามถนนและเข้าไปในรถจี๊ป
“บรืน!”
หลังสตาร์ตเครื่องยนต์ แมวเฒ่าเอื้อมมือไปจับคลัทช์รถ เตรียมมุ่งหน้าไปยังตรอกด้านหลังแพลตตินั่มคาสเซิล
“ตึก…ตึก”
ทันใดนั้นมีเสียงฝีเท้าดังขึ้น สาวสวยคนหนึ่งเดินมาที่ข้างรถและเปิดประตูฝั่งผู้โดยสารอย่างรวดเร็ว
แมวเฒ่าหันมามองด้วยความประหลาดใจ
หญิงสาวหัวเราะเบาๆ ขณะที่เข้าไปในรถ ทันทีที่ปิดประตูกลิ่นน้ำหอมก็ตลบอบอวลไปทั่ว “ให้หนูไปด้วยสิคะคุณพี่”
“โกโก้ใช่ไหม?” แมวเฒ่าใช้เวลานึกชื่อของสาวสวยที่เขานั่งดื่มด้วยก่อนหน้านี้อยู่ครู่หนึ่ง
“อุ๊ย? คุณพี่จำชื่อหนูได้ด้วยเหรอคะ?” โกโก้ตอบพร้อมหัวเราะเบาๆ
แมวเฒ่าไม่มีอารมณ์มาหยอกเย้ากับอีกฝ่าย จึงมองเธออย่างไม่สบอารมณ์และออกปากไล่ “ลงไปจากรถก่อน คืนนี้พี่ไม่ว่าง”
“จะรีบไปไหนเหรอคะ?” โกโก้ถามพลางโน้มตัวไปหาแมวเฒ่า
“บอกให้ลงไปไง!” แมวเฒ่าตะคอกด้วยความโมโห “ด่วน! ฉันมีธุระ!”
“ได้ตัวเป้าหมายแล้วคิดจะหนีเหรอ?” โกโก้จ้องแมวเฒ่าขณะพูด
“หมายความว่าไง?” แมวเฒ่าตะลึง
“บอกให้เพื่อนอีกสองคนของนายพาพี่คังกลับมาเดี๋ยวนี้” จู่ๆ โกโก้ก็หุบยิ้มเปลี่ยนสีหน้า
แมวเฒ่าตกตะลึง ก่อนจะเลื่อนมือไปจับปืนที่เอวอย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้นชายสามคนในชุดทักซิโด้ก็เดินมายืนข้างรถ กลุ่มคนดังกล่าวไม่เคลื่อนไหวหรือหยิบอาวุธขึ้นมาแต่อย่างใด เหมือนต้องการมายืนขู่ไม่ให้แมวเฒ่าขัดขืน
“ถ้าไม่อยากเจ็บตัวอย่าขัดขืนจะดีกว่านะคะ…” โกโก้พูดพลางเคาะนิ้วเบาๆ บนหน้าอกแมวเฒ่า “รีบโทรบอกเพื่อนนายสิ!”
“เธอเป็นใครกันแน่วะ?!” แมวเฒ่าถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
โกโก้มองแมวเฒ่าด้วยดวงตาใสซื่อพลางเอื้อมมือไปล้วงโทรศัพท์ที่กระเป๋าของแมวเฒ่าออกมา “ฉันเป็นหัวหน้าพี่คัง”
แมวเฒ่าตกตะลึง
โกโก้ยื่นโทรศัพท์พร้อมออกคำสั่งอีกครั้ง “ถ้าไม่อยากกลายเป็นศพที่เจียงโจวก็รีบโทรหาเพื่อนของนายซะ!”
……………………………….