Super God Gene - ตอนที่ 2008
รูปปั้นหิน
หานเซิ่นตัดสินใจวิ่งลึกเข้าไปในหุบเขา และไม่นานเขาก็ไปถึงใต้ต้นไม้ของหุบเขาขนาดเล็ก
หานเซิ่นกระโดดขึ้นไปบนต้นไม้และใช้ออร่าศาสตร์เสวียนสแกนดูสิ่งที่อยู่ภายในรู เขาสังเกตเห็นว่าข้างในรูค่อนข้างกว้าง ซึ่งพื้นที่ส่วนใหญ่ในต้นไม้นั้นกลวงโบ๋
แต่ทว่ามันไม่มีพลังชีวิตหรือสมบัติล้ำค่าอะไรให้เห็นเลย
แต่หานเซิ่นไม่คิดจะเลิกค้นหาเพียงแค่นั้น เพราะถ้าเจ้าหนูสามารถมอบก้อนหินให้กับเจ้าวัวหินผาได้ทุกๆวัน มันก็ต้องมีอะไรซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่ง หานเซิ่นใช้มีดเขี้ยวผีสิงตัดเปลือกไม้รอบๆรูให้ใหญ่พอที่จะเข้าไปได้ หลังจากนั้นเขาก็ยื่นหัวเข้าไปข้างใน
ภายในต้นไม้นั้นกลวงโบ้มากกว่าที่เขาคิดเอาไว้ และลำต้นของมันก็กลวงลงไปจนถึงพื้นด้านล่าง ซึ่งมีถ้ำหินอยู่
โดยไม่ลังเลหานเซิ่นมุดเข้าไปในต้นไม้และเริ่มปีนลงไปด้านล่าง เขาลงไปในถ้ำหินอย่างรวดเร็ว
เมื่อหานเซิ่นลงมาแล้ว เขาก็พบว่าตัวเองอยู่ในอุโมงค์แห่งหนึ่ง และหลังจากที่เดินไปไม่นานอุโมงค์ก็เปิดกว้างออก และเขาก็ค้นพบถ้ำขนาดใหญ่ มันมีขนาดพอๆกับหลุมหลบภัย
หานเซิ่นเดินเข้าไปข้างในและไม่เห็นสิ่งมีชีวิตอะไร แต่เขาได้พบร่องรอยของเจ้าหนูที่เขาเพิ่งจะฆ่าตายไป
ความมืดมิดไม่ได้มีผลอะไรต่อหานเซิ่น เพราะเขาสามารถใช้ออร่าศาสตร์ตงเสวียนสแกนทั่วทั้งถ้ำได้
ถ้ำแห่งนี้ดูเหมือนจะเป็นถ้ำทั่วๆไป แต่ทางออกของมันดูเหมือนจะมีแค่ทางเดียว ซึ่งก็คือรูของต้นไม้นั่น
ที่ใจกลางของถ้ำมีบ่อน้ำที่มีหินย้อยขนาดใหญ่ห้อยอยู่ด้านบน หยดน้ำค่อยๆหยดลงมาจากปลายของหินย้อยจนเกิดเป็นบ่อน้ำที่อยู่ด้านล่าง
หานเซิ่นมองลงไปในบ่อน้ำ และเขาก็เห็นหินที่เจ้าหนูมอบให้กับวัวหินผาทุกๆวัน พวกมันมีขนาดเล็กพอๆกับนิ้วมือและมีสีเทา พวกมันจมอยู่ที่ก้นของบ่อน้ำ
หานเซิ่นเรียกมนตราออกมาและสั่งให้เธอลงไปเก็บหินขึ้นมา ซึ่งมันไม่ได้มีอันตรายอะไรเกิดขึ้นกับเธอ มาตราเอื้อมมือลงไปที่ก้นบ่อน้ำและหยิบก้อนหินขึ้นมาก้อนหนึ่ง
“ยีนซีโน่เจเนอิคถูกค้นพบ” เสียงประกาศดังขึ้นในหัวของหานเซิ่น
“หินพวกนี้คือยีนซีโน่เจเนอิค?” หานเซิ่นลองสัมผัสพวกมันและสังเกตว่าพวกมันเย็นเหมือนกับหินเปียก
แต่เสียงประกาศไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มเติม ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่ามันเป็นยีนซีโน่เจเนอิคแบบไหน หานเซิ่นเก็บหินทุกก้อนขึ้นมาและใส่พวกมันเข้าไปในกระเป๋า
พวกมันมีอยู่ทั้งหมด 128 ก้อน และเขาก็เก็บเข้ากระเป๋าไปทั้งหมด
ก่อนที่จะออกไป หานเซิ่นก็สังเกตในบ่อน้ำอีกครั้งเพื่อดูให้แน่ใจว่ายังมีอะไรหลงเหลืออยู่หรือเปล่า เขาพบก้อนหินก้อนหนึ่งที่ดูแตกต่างไปจากก้อนอื่นๆ
หานเซิ่นเอื้อมมือไปหยิบมันขึ้นมาจากตะไคร่น้ำ และเมื่อยกขึ้นมาพ้นตะไคร่น้ำแล้ว เขาก็เห็นว่ามันคือรูปปั้นมนุษย์ที่สูง 1 ฟุต
รูปปั้นมีสีเขียวดำ ดังนั้นเขาไม่สามารถบอกได้ว่าสีดั้งเดิมของมันคือสีอะไรกันแน่ แต่มันเป็นรูปปั้นของมนุษย์ในท่านั่ง
หานเซิ่นยังไม่มีเวลาจะมาตรวจสอบมันอย่างละเอียด ดังนั้นเขาจึงเก็บมันเข้ากระเป๋าไป หลังจากนั้นเขาก็ตัดสินใจกลับออกไปตามทางที่เข้ามา
เมื่อหานเซิ่นออกมาจากรูของต้นไม้ วัวหินผาก็มารอเขาอยู่ที่ด้านนอกแล้ว มันมองมาที่เขาด้วยความโกรธ และด้านหลังของวัวหินผาตัวนั้นก็ยังมีวัวหินผาตัวน้อยตัวอื่นอยู่อีกด้วย
หานเซิ่นรู้ว่าใช้เวลาสำรวจด้านล่างนานเกินไป ซึ่งทำให้พวกวัวหินผาสามารถกลับมาได้ทัน
ปัง!
วัวหินผากระทืบพื้นเพื่อสร้างคลื่นกระแทกออกมา ขณะเดียวกันพวกวัวหินผาตัวเล็กก็วิ่งเข้ามาหาหานเซิ่น หานเซิ่นรีบกระโดดออกจากต้นไม้ เพราะมันจะเป็นอะไรที่อันตรายถ้าเขากลายเป็นหินอยู่ภายในนั้น
แต่ถึงจะกระโดดออกจากรูมา เขาก็รู้ว่าไม่มีเวลาพอที่จะหนีออกจากรัศมีของคลื่นกระแทกได้ทัน และเขาก็คงจะถูกทำให้กลายเป็นหินอยู่ดี
กลุ่มของวัวหินผาตัวเล็กไม่ได้รับผลอะไรจากคลื่นกระแทก พวกมันเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นก้อนหินและพุ่งเข้าใส่หานเซิ่น
หานเซิ่นรีบลบล้างร่างกายที่กลายเป็นหิน หลังจากนั้นเขาก็เรียกปีกออกมาด้านหลังหู พวกมันเริ่มกระพือ และทันใดนั้นหานเซิ่นก็พุ่งออกจากหุบเขาอย่างรวดเร็ว
เหล่าวัวหินผาพยายามจะไล่ตามหานเซิ่นไป แต่โชคร้ายที่พวกมันไม่สามารถบินได้ และถึงแม้พวกมันจะแข็งแกร่ง แต่นี้ก็เป็นจุดอ่อนอันใหญ่หลวง พวกมันเป็นซีโน่เจเนอิคที่ไม่รู้วิธีบินขึ้นฟ้า
แต่ถึงมันจะทำได้ มันก็ไม่มีทางไล่ตามหานเซิ่นได้ทันอยู่ดี เพราะมันเชื่องช้ากว่าปีกวิญญาณอสูรของหานเซิ่น
หานเซิ่นเรียกมนตราออกมาในร่างของปืนไรเฟิลและใช้มันยิงใส่วัวหินผาขนาดเล็กทีละตัว เพื่อที่จะชะลอความเร็วของพวกมัน
แต่หานเซิ่นไม่ได้ยิงใส่เจ้าวัวหินผาตัวใหญ่ เขาเล็งเป้าไปที่พวกวัวตัวเล็กก่อน ซึ่งในที่สุดพวกมันก็ไม่สามารถไล่ตามหานเซิ่นต่อไปได้
บางทีอาจจะเป็นเพราะเจ้าวัวหินผาตัวใหญ่สามารถดมกลิ่นของก้อนหินที่หานเซิ่นพกพาอยู่ได้ และนั่นก็เป็นเหตุผลที่มันไล่ตามเขาโดยไม่สนใจหันไปมองด้านหลัง แต่ยังไงก็ตาม หานเซิ่นก็ต้องล่อมันออกไปไกล เพื่อที่พวกวัวหินผาตัวเล็กจะได้มาช่วยมันไม่ได้อีก
ซึ่งถ้ามันยังมีวัวหินผาตัวเล็กคอยคุ้มกันอยู่ หานเซิ่นก็จะไม่สามารถฆ่ามันได้ แต่ถึงวัวหินผาตัวนี้จะแข็งแกร่ง มันก็ยังคงมีจุดอ่อนอยู่
ซีโน่เจเนอิคที่หานเซิ่นบินผ่านไปนั้น เมื่อพวกมันสังเกตเห็นวัวหินผากำลังวิ่งมา มันก็ไม่มีใครเข้ามาขวางทาง
หานเซิ่นหนีไปไกลกว่า 100 ไมล์ แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าวัวหินผาก็ยังคงไล่ตามหานเซิ่นมา ราวกับว่าหานเซิ่นไปฆ่าภรรยาของมันยังไงอย่างนั้น
แต่ในที่สุดก็ดูเหมือนมันจะรู้ตัวว่าลูกน้องของมันหายไปหมดแล้ว มันเริ่มลังเลและสงสัยว่าควรจะตามหานเซิ่นต่อไปดีไหม
เมื่อเห็นอย่างนั้นหานเซิ่นก็เขย่าก้อนหินที่อยู่ในกระเป๋าของเขา วัวหินผาคำรามออกมาด้วยความโกรธและไล่ตามเขาต่อไป หานเซิ่นมีแผนที่จะฆ่าวัวหินผาซะที่นี่เลย ถ้าเกิดว่ามันไม่คิดจะไล่ตามเขาต่อ แต่ตอนนี้มันยังไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น
“ก้อนหินพวกนี้คือยีนซีโน่เจเนอิคแบบไหนกัน? ทำไมเจ้าวัวหินผาถึงได้ดูต้องการพวกมันมากขนาดนั้น?”
หานเซิ่นประหลาดใจ วัวหินผานั้นไล่ตามหานเซิ่นไปกว่า 300 ไมล์ และเมื่อหานเซิ่นคิดว่าไกลมากพอแล้ว เขาก็หันกลับไปยิงใส่เจ้าวัวหินผาด้วยกระสุนจากพลังเต่า
“แกสนุกสนานกับการไล่ล่าฉันมากพอแล้วหรือยัง? ถ้าพอแล้ว ตอนนี้มันก็ถึงตาของฉันบ้าง”
หานเซิ่นหยุดวิ่งหนีและยิงใส่วัวหินผาด้วยปืนไรเฟิล
ถึงวัวหินผาจะแข็งแกร่งมากๆ แต่ตอนนี้มันก็เริ่มที่จะเชื่องช้าลงไป คลื่นกระแทกของมันไม่สามารถใช้ป้องกันกระสุนได้เช่นกัน
ไม่นานวัวหินผาก็ตกอยู่ในชะตากรรมเหมือนกับก่อนหน้านี้ มันไม่สามารถเดินได้เร็วไปกว่าเต่าตัวหนึ่ง
หานเซิ่นชักมีดาออกมาและฟันใส่วัวหินผาด้วยพลังของมีดและดาบ