Super God Gene - ตอนที่ 2443
Super God Gene – ตอนที่ 2443
หานเซิ่นเอาดาบหักมาจากมือเรดคลาวด์และใช้มันฟันใส่คอของรูปปั้นจนเกิดเป็นรอยดาบ
รอยดาบบนคอของรูปปั้นมีเลือดไหลออกมาเป็นจำนวนมาก แต่มันเป็นเพียงแค่รูปปั้นเท่านั้น หานเซิ่นไม่รู้ว่าเลือดพวกนั้นไหลออกมาจากไหนกันแน่
แต่หลังจากที่หานเซิ่นตัดหัวของรูปปั้น มันไม่ได้มีท่าทางเหมือนอย่างบลัดอายอีวิลก็อต มันตายไปอย่างง่ายๆ
หานเซิ่นตรวจดูรูปปั้นอีกครั้งเพื่อยืนยันสิ่งที่ได้เห็น รูปปั้นนั้นกำลังตายไป มันกำลังแห้งเหี่ยวเหมือนกับพืช มันดูคล้ายคลึงกับดอกเบอกาม็อท ก้านและตัวดอกนั้นมีสีดำคล้ำ หัวของรูปปั้นที่ถูกตัดขาดออกมาเป็นเหมือนดอกไม้ที่ใหญ่โต
“มันเป็นพืช!” หานเซิ่นพูดด้วยความประหลาดใจ เขาไม่ได้ยินเสียงประกาศดังขึ้นมา ซึ่งทำให้เขาคิดว่าพืชนี้ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตจริงๆ
หลังจากที่ดอกไม้ตายไปแล้ว ดวงตาสีแดงของคุณหญิงมิร์เรอร์ก็เริ่มจางหายไป มันดูเหมือนว่าในที่สุดพลังที่เปลี่ยนตาผู้คนเป็นสีแดงก็ได้หายไปแล้ว
แต่ทว่าคุณหญิงมิร์เรอร์ยังบาดเจ็บเกินกว่าที่จะลุกขึ้นมาได้ เธอยังคงนอนอยู่บนพื้น หานเซิ่นเข้าไปช่วยพยุงเธอขึ้นมานั่ง
“เกิดอะไรขึ้น? ทำไมเรดคลาวด์ถึงมาอยู่ที่นี่ได้? ทำไมท่านถึงได้รับบาดเจ็บ?”
คุณหญิงมิร์เรอร์พูดออกมาอย่างติดๆขัดๆ “มีบางสิ่งเกิดขึ้นที่ค่าย พวกเราจำเป็นต้องรีบกลับไปเดี๋ยวนี้”
เมื่อหานเซิ่นได้ยินแบบนั้น สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที เขารีบอุ้มคุณหญิงมิร์เรอร์ขึ้นมาและรีบวิ่งกลับไปที่ทุ่งหิน ขณะที่คุณหญิงมิร์เรอร์อยู่ในมือข้างหนึ่งและอุ้มหว่านเอ๋อเอาไว้ในมืออีกข้าง
เมื่อพวกเขาไปถึงที่ค่าย พวกเขาก็รู้สึกตกใจอย่างมาก สิ่งที่เห็นทำให้หานเซิ่นรู้สึกอยากจะอ้วก ทั้งค่ายพังทลายจนไม่มีอะไรเหลือ และทุกหนทุกแห่งนั้นย้อมไปด้วยเลือด ซากศพกระจัดกระจายไปทั่วและไม่มีใครเหลือรอดเลยแม้แต่คนเดียว
คุณหญิงมิร์เรอร์ดูแย่มากๆ สมาชิกหนึ่งใน 3 ของสปริงเรนถูกพามาที่นี่และตอนนี้พวกเขาทุกคนได้ตายไปกันหมด นอกจากนั้นไนท์วินด์ที่เป็นระดับเทพเจ้าก็ยังถูกฆ่าตายไปโดยหว่านเอ๋อ และเรดคลาวด์ก็ถูกลดลงมาเหลือแค่ระดับราชันเท่านั้น นี่ถือเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่สำหรับคุณหญิงมิร์เรอร์
ใบหน้าของหานเซิ่นดูแย่เช่นเดียวกัน เขากลัวว่าหนิงเยวี่ยและเป่าเอ๋อจะถูกฆ่าตายไปด้วย
“พ่อ?” หานเซิ่นเริ่มค้นหาตามซากปรักหักพังของค่าย แต่ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นมา เป่าเอ๋อปรากฎตัวออกจากกองซากปรักหักพัง เธอกระโดดเข้ามาหาหานเซิ่นและกอดเขาเอาไว้แน่น หนิงเยวี่ยและฟอลลิ่งลีฟก็ออกมาจากเศษหินที่กองเป็นภูเขาเช่นกัน
“เป่าเอ๋อ!” หานเซิ่นดีใจอย่างมากจนเขาปล่อยคุณหญิงมิร์เรอร์ไปเพื่อจะโอบกอดเป่าเอ๋อ
“อ้า!” คุณหญิงมิร์เรอร์บาดเจ็บเกินกว่าที่จะทรงตัวเองได้ และเธอก็หล่นลงพื้นอย่างแรง เธอกระอักเลือดออกมาและดูค่อนข้างโกรธที่ถูกปล่อยทิ้งแบบนั้น
“ท่านหญิงมิร์เรอร์!” ฟอลลิ่งลีฟรีบวิ่งเข้ามาพยุงคุณหญิงมิร์เรอร์พร้อมกับใช้พลังรักษาของเธอ
“ไม่ต้อง ข้าบาดเจ็บเกินไป ไม่ว่ายังไงข้าก็ไม่มีทางฟื้นตัวได้ในเวลาอันสั้นอยู่ดี ดังนั้นบอกข้ามาก็พอว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่” คุณหญิงมิร์เรอร์พูดพร้อมกับเช็ดเลือดจากปากของตัวเอง
ฟอลลิ่งลีฟบอกเธอเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างเธอไม่ได้พูดถึงบทสนทนาระหว่างชายผมขาวกับเป่าเอ๋อ เธอไม่ได้พูดเกี่ยวกับเรื่องที่นกแดงน้อยกลายเป็นฟินิกซ์เพลิงเช่นกัน เธอพูดแค่ว่าหลังจากที่ชายผมขาวปรากฏตัว ทุกคนในค่ายก็เป็นบ้าไปและเริ่มฆ่าฟันกันเองจนกระทั่งไม่มีใครเหลือรอดเลยสักคน
“ชายผมขาว เขามาจากที่ไหนกัน?” คุณหญิงมิร์เรอร์ขมวดคิ้ว
“ข้าไม่รู้ แต่ในตอนที่พวกเราเห็นเขาครั้งแรก เขากำลังเดินไปรอบๆค่ายและทุกคนก็เป็นบ้ากันไปหมดแล้ว” ฟอลลิ่งลีฟส่ายหัว
ทันใดนั้นคุณหญิงมิร์เรอร์ก็คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เธอหันสายตากลับไปที่ฟอลลิ่งลีฟ
“แล้วรูปปั้นหินนั่นละ ไปดูสิว่ารูปปั้นหินนั้นยังอยู่ไหม”
“พวกเราไปดูมันมาแล้ว” ฟอลลิ่งลีฟตอบ “รูปปั้นหินไม่ได้อยู่ที่นี่อีกต่อไป”
คุณหญิงมิร์เรอร์ถอนหายใจและพูด “ไปหาเรดคลาวด์และพานางกลับมาที่นี่ พวกเราจะรอจนกว่ากำลังเสริมจะมาถึง”
หานเซิ่นส่งดาบหักให้กับฟอลลิ่งลีฟ และเธอก็เดินออกไปที่ทุ่งหินเพื่อพาตัวเรดคลาวด์ที่ถูกแช่แข็งกลับมา ถึงแม้อาการตาแดงของพวกเขาจะหายไปแล้ว แต่เรดคลาวด์ก็ยังคงบ้าคลั่งและดวงตาของเธอก็ยังเป็นสีแดง หลังจากที่ถูกปล่อยเป็นอิสระ เธอก็พยายามโจมตีทุกคนที่อยู่รอบๆอีกครั้ง
หานเซิ่นจึงต้องแช่แข็งเธออีกครั้งหนึ่ง เมื่อไหร่ที่กำลังเสริมมาถึงที่นี่ หานเซิ่นก็จะให้พวกเขาจัดการกับเรื่องนี้
ส่วนทางด้านคุณหญิงมิร์เรอร์นั้น หานเซิ่นได้รู้ว่าทำไมเธอถึงได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก หานเซิ่นใช้เวลานานเกินไป และคุณหญิงมิร์เรอร์ก็เกือบจะทนต่อแรงกระตุ้นของดวงตาสีแดงไม่ไหว แต่หลังจากนั้นจู่ๆความรู้สึกพวกนั้นก็หายไป
คุณหญิงมิร์เรอร์จึงคิดว่าหานเซิ่นแก้ไขปัญหาอาการตาแดงได้แล้ว ซึ่งทำให้เธอรู้สึกโล่งใจขึ้นมา
แต่ในจังหวะที่เธอเริ่มจะผ่อนคลาย ความรู้สึกเร่งเร้าก็กลับมาอีกครั้งและครั้งนี้มันรุนแรงกว่าเดิมหลายร้อยเท่า แรงกระตุ้นนั้นดึงดูดให้คุณหญิงมิร์เรออร์กลับไปที่ที่รูปปั้นรูปแรก และคุณหญิงมิร์เรอร์ก็ไม่สามารถขัดขืนมันได้
จิตใจของเธอยังคงกระจ่างแจ้ง แต่มันไม่แข็งแกร่งพอที่จะต่อต้านแรงกระตุ้นของอาการตาสีแดงได้อีก และในตอนที่เธอเดินเข้าไปหารูปปั้นนั้น เธอก็สังเกตเห็นว่าเรดคลาวด์ก็มาอยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน
คุณหญิงมิร์เรอร์รู้สึกดีใจอยู่ชั่วครู่ เพราะเธอคิดว่าเรดคลาวด์อาจจะสามารถใช้ดาบหักเพื่อทำลายรูปปั้นได้ แต่เรดคลาวด์เป็นบ้าไปก่อนแล้ว และเธอก็จู่โจมคุณหญิงมิร์เรอร์ในทันทีที่เห็น
คุณหญิงมิร์เรอร์ไม่สามารถควบคุมร่างกายของตัวเองได้ดีพอที่จะต่อสู้กับเรดคลาวด์ ดังนั้นเธอจึงถูกเรดคลาวด์เล่นงานจนปางตายและถูกทิ้งให้นอนแน่นิ่งอยู่กับพื้น
สิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนั้นทำให้คุณหญิงมิร์เรอร์รู้สึกหนาวถึงกระดูก เรดคลาวด์คุกเข่าลงต่อหน้าของรูปปั้นและเริ่มจะสวดภาวนา จากที่คุณหญิงมิร์เรอร์เข้าใจ เรดคลาวด์นั้นต้องการจะใช้เธอเป็นเครื่องสังเวยต่ออะไรบางอย่าง โชคดีที่หานเซิ่นกลับมาได้ทันเวลา ไม่อย่างนั้นล่ะก็คุณหญิงมิร์เรอร์ก็คงจะถูกฆ่าตาย
หานเซิ่นคิดว่านี่เป็นอะไรที่น่าสงสัยอย่างมาก เขาไม่สามารถเข้าใจเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นได้
หานเซิ่นเก็บหว่านเอ๋อเอาไว้ใกล้ตัว ถ้าเธออยู่ห่างออกไปจากหานเซิ่นแม้แต่นิดเดียว ดวงตาและผมของเธอก็จะเริ่มเปลี่ยนเป็นสีทอง ยิ่งเธออยู่ห่างจากเขามากเท่าไหร่ ผมและดวงตาของเธอก็จะเปลี่ยนเป็นสีทองเร็วขึ้นเท่านั้น
หานเซิ่นลองทดลองดูและพบว่าหว่านเอ๋อไม่สามารถอยู่ห่างจากเขาเกินสิบเมตรได้ ไม่อย่างนั้นถึงแม้จะอยู่ในสภาพหมดสติ เส้นผมและดวงตาของเธอก็จะเปลี่ยนเป็นสีทอง
และเมื่อหว่านเอ๋ออยู่ในระยะสิบเมตรของหานเซิ่น ความสามารถในการใช้พลังของโหมดเทพเจ้าสปิริตขั้นสุดยอดก็จะลดลงไปอย่างมาก พลังจะเริ่มจางหายไปในทันทีที่เขาเริ่มใช้งานมัน และยิ่งเขาอยู่ใกล้กับหว่านเอ๋อมากเท่าไหร่ พลังก็จะจางหายไปเร็วเท่านั้น
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาทั้ง 2 มีผลกระทบต่อกันและกัน แต่โชคดีที่ผลกระทบนั้นจำกัดอยู่แค่โหมดเทพเจ้าสปิริตขั้นสุดยอดของหานเซิ่น ส่วนพลังอื่นของเขายังคงสามารถใช้งานได้ตามปกติ
หานเซิ่นขอให้คุณหญิงมิร์เรอร์ไม่พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องของหว่านเอ๋อ หานเซิ่นไม่ได้คิดว่าเธอจะตอบตกลง แต่ทว่าเธอนั้นตอบตกลงด้วยเงื่อนไขข้อหนึ่ง
“อะไรนะ? ท่านต้องการให้ข้าถวายตัว” หานเซิ่นมองคุณหญิงมิร์เรอร์ด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง