Super God Gene - ตอนที่ 2775
Super God Gene – ตอนที่ 2775
เปลวไฟสีขาวของฟีนิกซ์เข้าห่อหุ้มร่างกายของหานเซิ่นในพริบตา มันทำให้หานเซิ่นดูเหมือนกับคบเพลิง แต่มันไม่ได้แผดเผาเขา เขาไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดอะไร ถึงแม้เปลวไฟสีขาวจะดูน่ากลัว แต่มันไม่มีความร้อน ภายในเปลวไฟที่ลุกไหม้นั้นชุดเกราะตงเสวียนที่เป็นสีดำของหานเซิ่นก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีขาว
นอกจากเรื่องนั้นแล้วหานเซิ่นไม่ได้รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงอะไร พลังของชุดเกราะตงเสวียนนั้นไม่ได้ถูกล็อคหรือถูกจำกัดเช่นกัน
ในตอนที่ไฟดับไปแล้ว ชุดเกราะตงเสวียนก็กลายเป็นคริสตัลกึ่งโปร่งใสสีขาว มันดูเหมือนความฝันที่ไม่สามารถอยู่ในโลกของความเป็นจริงได้
ทันใดนั้นดวงตาของหานเซิ่นก็เบิกกว้าง เขารู้สึกตัวว่าเมื่อเขารวบรวมพลังและเปิดใช้พลังของศาสตร์ตงเสวียน เขาก็จะสามารถใช้เปลวไฟสีขาวของฟีนิกซ์ได้
“ตอนนี้เมื่อเจ้ามีพลังของเพลิงฟีนิกซ์ เจ้าจะใช้ขนนกฟีนิกซ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ” ฟีนิกซ์พูดด้วยรอยยิ้ม
แต่หานเซิ่นไม่ได้ดีใจกับเรื่องนี้ ศาสตร์ตงเสวียนของเขาดีอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ชุดเกราะตงเสวียนของเขาเชื่อมต่อกับเพลิงเทพฟีนิกซ์ ถ้าเขาใช้ชุดเกราะตงเสวียน มันจะไปกระตุ้นเปลวไฟของฟีนิกซ์ให้ทำงาน
นั่นดูเหมือนจะเป็นเรื่องดี เพราะไฟของเทพฟีนิกซ์เป็นพลังที่ผู้คนส่วนใหญ่จะต้องยำเกรง แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่หานเซิ่นเป็นห่วง ถ้าเทพฟีนิกซ์วางเปลวเพลิงเอาไว้บนชุดเกราะตงเสวียนของเขา มันก็คงจะไม่ได้แค่ทำให้เขาใช้ขนนกฟีนิกซ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพเพียงอย่างเดียว
ถึงแม้หานเซิ่นจะคิดแบบนั้น แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรกับเทพฟีนิกซ์
“ไปได้ ถ้าเจ้าพาฟีนิกซ์ตัวนั่นกลับมา ข้าจะให้ผู้คนของเจ้าได้อยู่อาศัยที่นี่และได้รับการปกป้องจากเผ่าพันธุ์ของพวกเรา” ฟีนิกซ์ให้สัญญา
‘ที่นี่เป็นดินแดนร้างที่ถูกเผาไหม้จนดำเหมือนกับถ่าน ใครมันจะไปต้องการอยู่อาศัยที่นี่?’
หานเซิ่นคิดกับตัวเอง เงื่อนไขที่ว่าเขาสามารถอาศัยอยู่ที่นี่ได้นั้นไม่ได้น่าดึงดูดอะไรเลยสำหรับหานเซิ่น
ฟีนิกซ์ดูเหมือนจะเข้าใจสิ่งที่หานเซิ่นกำลังคิด ฟีนิกซ์จึงอธิบายต่อไปว่า
“ที่นี่คือสถานที่ที่เผ่าพันธุ์ฟีนิกซ์เริ่มต้น แต่ตอนนี้มันเหลือข้าแค่คนเดียว ข้าไม่จำเป็นต้องใช้พื้นที่มากมายอีกต่อไป ถ้าเจ้าพาฟีนิกซ์ตัวนั้นกลับมาหาข้าได้ ข้าจะให้เจ้าใช้พื้นที่หนึ่งล้านไมล์ เจ้าจะทำอะไรกับพื้นที่เหล่านั้นก็ได้ และถ้าศัตรูปรากฏตัวขึ้นมา ข้าก็จะช่วยเจ้าขับไล่ศัตรูออกไป”
หลังจากนั้นฟีนิกซ์ก็มองไปรอบๆโลกที่ดำเหมือนกับถ่านและพูด
“หลังจากที่เรื่องร้ายถึงจุดต่ำที่สุด เรื่องดีก็มักจะเกิดขึ้นมา ที่นี่คือดินแดนที่ถูกแผดเผา แต่มันไม่ใช่ดินแดนที่ไร้ชีวิต มันจะมอบผลประโยชน์ที่เหนือจินตนาการให้กับเจ้า”
“ผลประโยชน์แบบไหนกัน?” หานเซิ่นอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมา
“มีเพียงแค่สิ่งที่ตายเท่านั้นที่จะมีชีวิต ความตายมาก่อนที่รุ่นใหม่จะเจริญเติบโต ที่นี่เป็นซีโน่เจเนอิคสเปชที่เปี่ยมไปด้วยพลังชีวิต สิ่งมีชีวิตต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นพืช สัตว์หรือซีโน่เจเนอิคจะเติบโตในที่แห่งนี้ได้ดีกว่าโลกภายนอก” ฟีนิกซ์พูด
“ทำไมข้าไม่รู้สึกถึงอะไรที่พิเศษเกี่ยวกับที่นี่เลย?”
หานเซิ่นไม่เชื่อสิ่งที่ฟีนิกซ์พูด เพราะเขาไม่ได้รู้สึกถึงอะไรพิเศษที่เกิดขึ้นภายในตัว และเขาก็ไม่สามารถตรวจจับถึงพลังชีวิตในซีโน่เจเนอิคสเปชนี้ได้อย่างที่ฟีนิกซ์เพิ่งจะบรรยาย
“เจ้ามีเมล็ดพืชไหม?” ฟีนิกซ์ถามขณะที่มองไปที่หานเซิ่น
“ข้าไม่มีเมล็ด แต่ข้ามีพืชต้นหนึ่งอยู่” หานเซิ่นนำต้นกระบองเพชรต้นหนึ่งออกมาจากหอคอยแห่งโชคชะตา
“ปลูกมันลงไปในพื้นดิน” ฟีนิกซ์พูด
หานเซิ่นรู้สึกสับสน แต่เขาก็ทำตามที่ฟีนิกซ์บอกและปลูกมันลงไปในพื้นดิน
หลังจากนั้นก็มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น ต้นกระบองเพชรที่มีขนาดเท่ากำปั้นเริ่มเติบโตขึ้นต่อหน้าต่อตาหานเซิ่น ไม่กี่วินาทีต่อมามันก็มีขนาดเท่ากับลูกฟุตบอล และมันยังคงเติบโตขึ้นเรื่อยๆ
“ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตอะไรก็ดูดซับพลังชีวิตของซีโน่เจเนอิคสเปชนี้และเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ภายใต้สภาพแวดล้อมที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตนี้ สิ่งมีชีวิตจะพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วและไปถึงขีดกำจัดของสิ่งมีชีวิตนั่นๆ มันมีดินแดนที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตแบบนี้อยู่แค่แห่งเดียวในจักรวาล และมันก็คือที่นี่ มันเป็นดินแดนของฟีนิกซ์ มันไม่มีที่อื่นในจักรวาลอีกแล้วที่เหมือนกับที่นี่” ฟีนิกซ์พูดด้วยท่าทางภาคภูมิใจ
ขณะที่ฟีนิกซ์พูด ต้นกระบองเพชรที่หานเซิ่นปลูกก็เติบโตขึ้นจนมีขนาดเท่ากับถังบาร์เรล และมันยังคงเติบโตขึ้นอีก หานเซิ่นรู้สึกตกใจอย่างมาก
“ดินแดนทั้งหมดนี้มีพลังที่เหมือนกับที่ข้ากำลังเห็นที่นี่อย่างนั้นหรอ?”
หานเซิ่นถามขณะที่มองไปที่ฟีนิกซ์ด้วยความสงสัย นี่ดูเป็นอะไรที่ไม่น่าเชื่อ มันดูเป็นสิ่งที่ฝ่าฝืนกฎของธรรมชาติ
“ใช่แล้ว” ฟีนิกซ์พูดพร้อมกับพยักหน้า
หานเซิ่นอึ้งจนพูดอะไรไม่ออก เขาดีใจที่ได้ยินว่าเขาอาจจะได้รับอนุญาตให้มาตั้งถิ่นฐานในซีโน่เจเนอิคสเปชที่สุดยอดแบบนี้ มันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาของมนุษย์อย่างมาก
แถมเขายังมีฟีนิกซ์ขั้นทรูก็อตคอยช่วยปกป้องเผ่าพันธุ์อีก มนุษย์จะปลอดภัยในจักรวาลนี้ และนอกจากสามเผ่าพันธุ์สูงสุดแล้ว มันก็จะไม่มีเผ่าพันธุ์ไหนกล้าบุกเข้ามาในดินแดนที่ถูกปกป้องโดยฟีนิกซ์ระดับเทพเจ้าขั้นทรูก็อต ตอนนี้หานเซิ่นเริ่มคำนึงถึงเรื่องที่เขาจะพาตัวนกแดงน้อยมามอบให้กับเทพฟีนิกซ์
“พี่ฟีนิกซ์ไม่ต้องกังวล ข้าจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อหาเขาและพาเขามาที่นี่” หานเซิ่นเลียริมฝีปากขณะที่เขาพูด
ฟีนิกซ์พึงพอใจกับหานเซิ่นอย่างมาก และมันไม่ได้รั้งหานเซิ่นเอาไว้อีก มันแค่บอกว่าในตอนที่หานเซิ่นหาฟีนิกซ์ตัวนั้นได้แล้ว เขาก็แค่จำเป็นต้องกลับมาและสั่นระฆังเหล็กสีดำ หลังจากนั้นเทพฟีนิกซ์ก็จะมารับตัวเขา
หานเซิ่นบอกลาเทพฟีนิกซ์และเดินทางออกจากเนอร์วานา เขารู้สึกอยากจะทำตามข้อเสนอของเทพฟีนิกซ์ เขาคิดกับตัวเอง
‘น่าเสียดายที่นกแดงน้อยเป็นลูกผสม ถ้าเทพฟีนิกซ์ไม่ชอบใจในเรื่องนั้น สถานการณ์ก็อาจจะเลวร้ายขึ้นมา เราไม่ควรจะเสี่ยง’ สุดท้ายแล้วหานเซิ่นก็ตัดสินใจว่าจะไม่พานกแดงน้อยมาที่นี่
หลังจากที่เดินทางออกจากซีโน่เจเนอิคสเปช หานเซิ่นก็เริ่มคิดว่าจะไปทำอะไรต่อไปดี
“เผ่าเวรี่ไฮคงจะยังไม่รู้ว่าเราหนีออกมาแล้ว ด้วยเหตุนั้นเราไม่ควรกลับไปที่ปราสาทนภา ถึงที่สุดแล้วเผ่าเวรี่ไฮจะรู้ความจริงเข้า เราก็ควรจะชะลอข่าวนี้ให้นานที่สุด”
หานเซิ่นคิดอยู่สักพักและตัดสินใจกลับเข้าไปในก็อตแอเรียเพื่อล่าซีโน่เจเนอิค แบบนั้นเขาก็จะสามารถเก็บยีนระดับเทพเจ้าให้เต็มได้
แต่หานเซิ่นไม่กล้าจะอยู่ใกล้กับฟีนิกซ์เนอร์วานา ดังนั้นเขาจึงติดต่อไปหาเซี่ยชิงและมีแผนที่จะไปอยู่กับเซี่ยชิงสักพักหนึ่ง
เซี่ยชิงตอบตกลงกับคำขอของหานเซิ่นในทันที เขาถามที่อยู่ของหานเซิ่นเพื่อที่เขาจะได้ส่งยานอวกาศไปรับตัวหานเซิ่น
“ไม่จำเป็นต้องมารับฉัน ฉันแค่อยากรู้ว่าที่ที่นายอยู่นั้นปลอดภัยหรือเปล่า ฉันกำลังมีปัญหาและตัวตนของฉันจะถูกเปิดเผยไม่ได้” หานเซิ่นพูด
เซี่ยชิงกำลังสูบซิการ์อันใหญ่ด้วยใบหน้าที่ดูรื่นรมย์
“ไม่นานมานี้ ฉันเพิ่งจะซื้อระบบจักรวาลที่เป็นส่วนหนึ่งของสกายมิวสิคแอเรีย มันมีดวงดาวสองดวงที่เหมาะสำหรับอยู่อาศัย ฉันซื้อพวกมันเพื่อใช้เป็นสถานที่พักร้อน นายไปอาศัยอยู่ที่นั่นได้ สกายมิวสิคแอเรียนั้นเป็นส่วนหนึ่งของเทาซันด์เทรเชอร์ พวกเขาเป็นคนที่รับผิดชอบเรื่องการป้องกันความปลอดภัย นอกซะจากว่ามันจะมีสงครามจักรวาลเกิดขึ้น ฉันไม่คิดว่าจะใครกล้าเสี่ยงพยายามจะฝ่าการป้องกันเข้าไป”
“นี่นายได้รับเงินจากการเขียนหนังสือมากขนาดไหนกันเนี่ย?”
ดวงตาของหานเซิ่นเบิกกว้าง เซี่ยชิงมีเงินซื้อระบบจักรวาลทั้งระบบเพื่อเป็นสถานที่สำหรับพักร้อน มันเป็นอะไรที่ไม่น่าเชื่อ
“เรียกฉันว่าอาจารย์เซี่ย ฉันคือนักเขียนที่โด่งดังที่สุดในประวัติศาสตร์ หนังสือของฉันมีแฟนนับไม่ถ้วน ทั่วทุกเผ่าพันธุ์นับล้านในจักรวาลแห่ง…” เซี่ยชิงพูดอย่างเฉื่อยชาขณะที่โบกซิการ์
“อาจารย์เซี่ย นี่สำนักงานหนังสือการ์ตูนของนายต้องการผู้ช่วยไหม?” หานเซิ่นแทบจะน้ำลายไหล มันฟังดูเป็นงานที่รายได้ดีมากๆ
“นั่นก็ใช่ แต่พวกเราไม่ต้องการคนอย่างนายที่ขาดจินตนาการ และยังมีความจริงที่นายเป็นคนที่ตระหนี่มากๆ” เซี่ยชิงพูด
เมื่อได้ยินแบบนั้นหานเซิ่นก็พูดอะไรไม่ออก บุคลิกภาพของเขามีรากฐานอยู่ในความเป็นจริง แต่เขาไม่ได้ขาดจินตนาการ
ถึงแบบนั้นหานเซิ่นก็ยอมรับว่าตัวเองไม่ได้รู้อะไรในเรื่องศิลปะ เขาส่ายหัวและทำข้อตกลงกับเซี่ยชิงเพื่อไปอยู่บนดวงดาวสำหรับพักร้อนของชายคนนั้น