Super God Gene - ตอนที่ 2931
Super God Gene – ตอนที่ 2931 ในความมืด
เอ็กซ์ตรีมคิงระดับเทพเจ้า หยางยวิ๋นเซิงมองไปรอบๆและพูด
“ไนน์เทาซันด์คิงและมูนชาโดว์ก็อตผ่านความมืดนี่ไปได้ยังไงกัน?”
แสงจากตะเกียงนั้นนำไปสู่ทิศทางเดียวเท่านั้น พวกเขาเดินตามพวกมันมาจนกระทั่งถึงที่นี่ แต่พวกเขากลับไม่เห็นแม้แต่เส้นผมของไนน์เทาซันด์คิงและมูนชาโดว์ก็อต นั่นหมายความว่าพวกเขาต้องผ่านความมืดนี้ไปแล้ว
“มูนชาโดว์ก็อตเป็นภรรยาของโครว์สกายด็อก” ราชครูกู่เยวียนพูด
“นางจะต้องรู้เกี่ยวกับความลับของเซเคร็ด มันไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจอะไรที่นางจะผ่านความมืดนี้ไปได้”
“ถ้าพวกเขาผ่านความมืดนี้ไปได้ มันก็ไม่มีเหตุผลที่พวกเราจะผ่านไปไม่ได้” หยางยวิ๋นเซิงพูด
“พวกเราควรจะต้องใช้กำลังของพวกเขาฝ่าความมืดไป”
“การใช้กำลังฝ่าไปดูเหมือนจะเป็นหนทางเดียว แต่พวกเราควรจะระมัดระวังตัวให้มาก” ราชครูกู่เยวียนพูด เขาสะบัดแขนเสื้อและเอาร่มคันหนึ่งที่ดูเหมือนกับกระดูกหยกออกมา
ราชครูกู่เยวียนกางร่มออกและร่มนั้นก็เริ่มจะปล่อยแสงศักดิ์สิทธิ์ออกมา มันครอบคลุมรัศมีสามสิบฟุตรอบๆตัวพวกเขา
“นี่คือไชนิ่งอัมเบรลล่า” ราชครูกู่เยวียนพูด
“มันมีพลังใบเสมาธาตุแสง บางทีมันอาจจะได้ผลกับความมืดพวกนี้ น้องหานจะเดินไปพร้อมกับพวกเราไหม”
เขามองไปที่พวกปลาทองตัว ก่อนจะพูดต่อ “แต่ปลาทองสองตัวนี้มีขนาดใหญ่เกินไป ไชนิ่งอัมเบรลล่าคงจะครอบคลุมพวกมันไม่ได้ทั้งหมด ทำไมพวกเราไม่ทิ้งพวกมันเอาไว้ที่นี่ก่อน น้องหานคิดว่ายังไง?”
“ขอบคุณในความหวังดีของราชครู ในเมื่อข้าพาพวกมันมาถึงที่นี่ ข้าจะไม่ทิ้งพวกมันเอาไว้เบื้องหลัง ราชครูล่วงหน้าไปก่อนเลย ข้าจะหาหนทางอื่นเพื่อผ่านความมืดนี้ไป” หานเซิ่นยังไม่อยากจะทิ้งปลาทองพวกนี้ไป
มันไม่ใช่ว่าหานเซิ่นมีสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับพวกมันทั้งสอง แต่เนื่องจากพวกมันเป็นสิ่งมีชีวิตของเซเคร็ด ดังนั้นพวกมันน่าจะรู้เกี่ยวกับเซเคร็ดมากกว่าทุกคนในที่แห่งนี้
ราชครูกู่เยวียนพยายามโน้มน้าม แต่หานเซิ่นยืนกรานที่จะพาปลาทองทั้งสองไปด้วย เขาจึงยกร่มขึ้นและเดินออกไปสู่ความมืดมิดร่วมกับหยางยวิ๋นเซิงและคนอื่นๆ
หานเซิ่นเห็นใบเสมาของไชนิ่งอัมเบรลล่าปะทะกับความมืดมิด แสงของร่มนั้นดูเหมือนจะถูกลดลงไป รัศมีของมันเหลือเพียงแค่หกฟุตรอบตัวพวกเขา ราชครูกู่เยวียนและคนอื่นๆจำเป็นต้องเบียดกันเพื่อจะได้รับการป้องกันจากไชนิ่งอัมเบรลล่า
ใบเสมานั้นสั่นไหวในความมืดเหมือนกับว่ามันสามารถพังทลายได้ทุกเมื่อ ไม่รู้ว่าพวกเขาจะเดินไปถึงแสงสว่างของตะเกียงถัดไปหรือเปล่า
ระยะทางระหว่างตะเกียงทั้งสองคือหกสิบถึงเก้าสิบฟุต แต่หลังจากที่ราชครูกู่เยวียนและคนอื่นๆก้าวออกไปเพียงไม่กี่ก้าว พวกเขาก็หายไปในความมืดมิด
หานเซิ่นมองออกไปยังตะเกียงที่อยู่อีกฝากหนึ่งของความมืดมิด เขาเห็นเพียงแค่แสงสว่างเล็กๆที่ดูเหมือนกับหิ่งห้อย เขาไม่เห็นอะไรที่อยู่ใต้แสงสว่างของตะเกียง
‘ราชครูกู่เยวียนและคนอื่นๆแทบไม่ต้องเตรียมการอะไร ก่อนที่พวกเขาจะเดินออกไปสู่ความมืดมิดตรงๆ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเตรียมตัวมาอย่างดี แต่เราจะผ่านความมืดนี้ไปพร้อมกับพวกปลาทองได้ยังไง?’ หานเซิ่นไม่ได้มีสมบัติที่มีพลังใบเสมาธาตุแสงเหมือนอย่างราชครูกู่เยวียน
หานเซิ่นลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะนำเอาดาบโคลด์ไลท์ออกมา เขาเดินไปตรงหน้าของความมืดและฟันออกไปด้วยดาบแสงสีชมพู
เมื่อดาบแสงพุ่งออกไปในความมืดมิด พวกมันก็หายวับไปในเสี้ยววินาที พวกมันไม่ได้ก่อให้เกิดการกระเพื่อมหรือปฏิกิริยาใดๆ
หานเซิ่นขมวดคิ้ว เขาค่อยๆยื่นปลายดาบโคลด์ไลท์ออกไปสู่ความมืดมิด เมื่อปลายดาบสัมผัสกับความมืดเพียงแค่นิดเดียว หานเซิ่นก็รู้สึกได้ว่ามันถูกบิดเบี้ยวโดยพลังบางอย่าง ดาบเกือบจะหลุดมือของเขาไป
หานเซิ่นรีบดึงดาบโคลด์ไลท์ออกมาจากความมืดและสังเกตเห็นว่ามีรอยร้าวเกิดขึ้นบนดาบ
“นั่นเป็นความมืดที่น่ากลัวจริงๆ” หานเซิ่นตกใจที่ดาบโคลด์ไลท์ที่เกือบจะดีเทียบเท่ากับอาวุธขั้นทรูก็อตยังถูกทำให้เป็นแบบนั้น ถ้าความมืดนั่นถูกร่างกายของเขาล่ะก็ มันก็ยากจะจินตนาการได้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น
หานเซิ่นขมวดคิ้ว เขาไม่รู้ว่าจะผ่านความมืดนี้ไปได้ยังไง แต่จู่ๆเป่าเอ๋อที่อยู่บนไหล่ของเขาก็พูดขึ้นมา
“พ่อ ก่อนหน้านี้พ่อเพิ่งได้ตะเกียงหินมาไม่ใช่หรอ? ทำไมพ่อไม่ลองเอามันออกมาใช้ดูล่ะ?”
“พ่อจะลองดู” หานเซิ่นได้คิดเกี่ยวกับการใช้ตะเกียงหินนั่นแล้ว แต่เปลวไฟของตะเกียงหินนั่นแตกต่างไปจากเปลวไฟในตะเกียงพวกนี่ เขาจึงไม่รู้ว่ามันจะได้ผลหรือเปล่า แต่มันไม่ได้เสียหายอะไรที่จะลองดู
หานเซิ่นนำตะเกียงหินออกมาจากหอคอยแห่งโชคชะตา ตะเกียงหินนั้นเหมือนกับก่อนหน้านี้ เปลวไฟของมันมีขนาดพอๆกับหัวแม่มือเท่านั้น มันไม่ได้สว่างอะไรมาก
ขณะที่ถือตะเกียงหิน หานเซิ่นก็ยื่นมันออกไปใกล้กับความมืด ในบริเวณที่แสงของตะเกียงส่องออกไป ความมืดก็ถูกขับไล่ออกไปและเกิดเป็นพื้นที่ว่างขึ้น
“มันได้ผล!” หานเซิ่นดีใจอย่างมาก เขาถือตะเกียงหินและเดินออกไปข้างหน้า
ดวงไฟของตะเกียงหินไม่ได้สว่างอะไรมากนัก แต่ในความมืดนั้นมันสามารถส่องสว่างเป็นรัศมีหลายสิบฟุต ในรัศมีของตะเกียงหิน ฟันเฟืองจักรวาลที่แตกหักกลับคืนสู่สภาพปกติ
“ดูเหมือนว่าตะเกียงหินนี่จะดีกว่าตะเกียงบนเสาหินพวกนั้น เราไม่รู้ว่าตะเกียงหินนี่คืออะไรกันแน่ มันอัศจรรย์เกินคาด” หานเซิ่นเอามือลูบตะเกียงหิน เขารู้สึกหลงรักมันมากขึ้น
พื้นที่ส่วนใหญ่นั้นสว่างขึ้นมา มันจึงไม่เป็นปัญหาอะไรที่เขาจะพาปลาทองทั้งสองไปด้วย หานเซิ่นอุ้มเป่าเอ๋อขึ้นนั่งบนหลังของปลาทองตัวใหญ่ และเขาให้มันว่ายไปข้างหน้าขณะที่เขาถือตะเกียงหินเพื่อทำให้บริเวณรอบๆสว่างไสว
พลังพิษสุนัขบ้าในตัวปลาทองตัวใหญ่ไม่ได้แพร่กระจายออกไปมากกว่าเดิม แต่มันก็ไม่ได้หายไปเช่นกัน โชคดีที่เจ้าปลาทองตัวใหญ่ยังคงเข้าใจคำพูดของหานเซิ่น มันไปตามทิศทางที่หานเซิ่นบอก ขณะที่เจ้าปลาทองน้อยตามพวกเขามาติดๆ มันดูหวาดกลัวที่จะต้องเดินทางผ่านความมืด
ขณะที่พวกเขากำลังเดินทางไป หานเซิ่นก็ได้ยินเสียงของผู้หญิงร่ำไห้ในความมืด มันฟังดูเศร้ามากๆ มันทำให้ผู้คนที่ได้ฟังรู้สึกขนลุก
“พ่อ ดูเหมือนจะมีคนกำลังร้องไห้” เป่าเอ๋อพูดขณะที่มองไปในความมืด
“ไม่ต้องไปสนใจ มันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเรา”
หานเซิ่นยังคงถือตะเกียงหินอยู่ในมือและบอกให้ปลาทองตัวใหญ่พาพวกเขาไปสู่ตะเกียงถัดไป ตะเกียงนั้นไม่ไกลจนเกินไป ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็เดินทางเป็นระยะทางหลายร้อยไมล์ แต่ก็ยังไปไม่ถึงตะเกียงที่ฝากหนึ่ง
หานเซิ่นคิด ‘เซเคร็ดนี่แปลกประหลาดจริงๆ ในตอนที่เราเดินตามแสงสว่างของตะเกียง ระยะทางระหว่างตะเกียงนั้นแค่หกสิบถึงเก้าสิบฟุตเท่านั้น ถึงแม้มันจะมีตะเกียงตรงกลางที่หายไป ระยะห่างมันก็ควรจะแค่ร้อยยี่สิบถึงร้อยห้าสิบฟุต ตอนนี้พวกเราเดินทางในความมืดเป็นระยะทางหลายร้อยไมล์ แต่ก็ยังไปไม่ถึงตะเกียงถัดไป เห็นได้ชัดว่ามันมีปัญหากับมิติอวกาศของพื้นที่บริเวณนี้’
ทันใดนั้นความมืดรอบตัวพวกเขาก็เปลี่ยนเป็นใบมีดที่แหลมคำนับไม่ถ้วน พวกมันตรงเข้ามาหาหานเซิ่นจากทุกทิศทาง
“มูนชาโดว์ก็อต!” หานเซิ่นจดจำที่มาของเงาพวกนี้ได้
“เจ้าจะต้องชดใช้กับความตายของลูกชายข้า”
เสียงที่เกรี้ยวโกรธของมูนชาโดว์ก็อตดังมาจากความมืด เธอเดินทางผ่านความมืดมิด และดูเหมือนว่าเธอจะควบคุมมันได้อีกด้วย