Super God Gene - ตอนที่ 3062 พยายามช่วย
หลี่ปิงหยูมีจิตใจที่แข็งแกร่ง เธอจึงตื่นขึ้นมาจากการหมดสติได้อย่างรวดเร็ว
ในจังหวะที่หลี่ปิงหยูลืมตาขึ้นมา สิ่งแรกที่เธอเห็นคือรอยยิ้มของหานเซิ่น เมื่อเธอจำได้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนที่เธอจะสลบไป เธอก็รีบลุกกลับขึ้นมาและจ้องไปที่หานเซิ่นด้วยความตกใจ
หลี่ปิงหยูจำภาพของหานเซิ่นที่ห่อหุ้มด้วยเปลวไฟสีแดง มันดูเหมือนกับเทพสปิริตที่จุติลงมา หมัดเดียวของเขานั้นส่งบลัดโกสต์สปิริตกระเด็นออกไป
ในตอนแรกเธอจ้องไปที่หานเซิ่นด้วยความแปลกใจ แต่ความแปลกใจของเธอค่อยๆเปลี่ยนเป็นความสับสน และตอนนี้ความสับสนก็เริ่มเปลี่ยนเป็นอารมณ์ความรู้สึกที่ซับซ้อนยิ่งกว่า
ถ้าเธอคือโกสต์คิลล์ตัวจริง เธอก็คงจะคิดแค่ว่าหานเซิ่นนั้นแข็งแกร่ง แต่หลี่ปิงหยูต่างออกไป ฐานะจริงๆของเธอคือหนึ่งในเก้าผู้นำของพระราชวังหวูเว่ยเต๋า ขอบเขตความรู้ของเธอจึงมากกว่าของโกสต์คิลล์
ยีนเรซหายากอย่างบลัดโกสต์สปิริตถูกส่งกระเด็นออกไปในหมัดเดียว เมื่อดูจากสถานการณ์แล้ว มันมีโอกาสที่บลัดโกสต์สปิริตจะถูกหานเซิ่นฆ่าตายไปแล้ว นั่นเป็นบางสิ่งที่ไม่สามารถบรรยายได้ด้วยแค่คำว่า ‘แข็งแกร่ง’
แม้แต่ในพระราชวังหวูเว่ยเต๋า ยอดฝีมือระดับนั้นก็ถือว่าหาได้ยากมากๆ ด้วยเหตุนั้นการที่คนๆหนึ่งมีพลังที่น่าสะพรึงกลัวขนาดนั้น แต่กลับไม่มีชื่อเสียงจึงเป็นอะไรที่ยากที่จะเชื่อ
หานเซิ่นมองไปที่หลี่ปิงหยูและถาม “เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
“ตัวจริงของเจ้าคือใครกัน?” หลี่ปิงหยูถามขณะที่จ้องไปที่หานเซิ่นอย่างขะมักเขม้น
“ชื่อของข้าคือหานเซิ่น เจ้าจำข้าไม่ได้อย่างนั้นหรอ? โอ้ไม่นะ! นี่เจ้าความจำเสื่อมหรอเนี่ย? เจ้ายังจำได้ไหมว่าพวกเราติดตามพีชฟูลมาที่ภูเขาแอนเชี่ยนท์บิ๊กก็อต…”
หานเซิ่นพูดไม่หยุด ขณะที่เขาพยายามจะเช็คว่าสมองของเธอได้รับความเสียหายหรือเปล่า
หลี่ปิงหยูรู้สึกโกรธ เธอตบมือหานเซิ่นออกไปและพูดอย่างเย็นชา
“หยุดพูดล้อเล่นกับข้า ถ้าเจ้าเอาชนะบลัดโกสต์สปิริตได้ เจ้าจะเป็นคนธรรมดาไปได้ยังไง? นอกจากนั้นทำไมเจ้าถึงทำให้ข้าหมดสติ?”
“ข้าเป็นแค่คนธรรมดาจริงๆ แต่ถ้าเจ้าไม่เชื่อ ข้าก็คงทำอะไรไม่ได้ และที่ข้าทำให้เจ้าสลบไปก็เพื่อจะรักษาบาดแผลของเจ้า มันจะเป็นอะไรที่เจ็บปวดมากๆ ถ้าเจ้ายังมีสติอยู่ ดังนั้นข้าไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากทำให้เจ้าสลบไป” หานเซิ่นอธิบายอย่างจริงใจ
หลี่ปิงหยูนึกขึ้นได้ว่าเธอได้รับบาดเจ็บสาหัส และพลังของบลัดโกสต์สปิริตก็ครอบงำร่างกายของเธออยู่
แต่ตอนนี้พลังของบลัดโกสต์สปิริตไม่อยู่แล้ว และบาดแผลของเธอก็สมานตัวเรียบร้อยแล้ว เห็นได้ชัดว่าหานเซิ่นช่วยเธอกำจัดพลังของบลัดโกสต์สปิริตออกไป
“บลัดโกสต์สปิริตอยู่ไหน?” หลี่ปิงหยูมีสีหน้าแปลกๆขณะที่เธอมองไปรอบๆ เธอไม่สามารถหาร่างของบลัดโกสต์สปิริตได้
“มันหนีไปได้ ถ้าเจ้าไม่เป็นอะไรแล้ว พวกเราก็ออกไปจากที่นี่กันเถอะ พีชฟูลพาคนอื่นหนีไปแล้ว แถมพวกเราก็ไม่รู้ว่าชีพจรพระเจ้าลี้ลับนั่นอยู่ที่ไหน พวกเราจึงควรกลับไปที่เมืองแอนเชี่ยนท์ก็อต” หานเซิ่นพูด
“เดี๋ยวก่อน” เมื่อเห็นหานเซิ่นเตรียมตัวจะไปจากที่นี่ หลี่ปิงหยูก็เข้ามาขวางหน้าเอาไว้
“มีอะไร?” หานเซิ่นถามด้วยรอยยิ้ม
‘ถึงแม้สิ่งที่เกิดขึ้นจะไม่เป็นไปตามแผน แต่นี่ก็เป็นโอกาสดีที่เราจะได้ใกล้ชิดกับเขา เราจะปล่อยให้โอกาสนี้หลุดมือไปไม่ได้’ โกสต์คิลล์คิด
เมื่อคิดได้แบบนั้น โกสต์คิลล์ก็ดูใจเย็นลง เธอมองไปที่หานเซิ่นและพูดอย่างช้าๆ
“ข้าโกสต์คิลล์ไม่ต้องการติดหนี้ใคร เจ้าช่วยชีวิตข้าเอาไว้ นั่นหมายความว่าชีวิตข้าเป็นของเจ้า”
“ทำไมข้าถึงต้องการชีวิตเจ้า?” หานเซิ่นยิ้ม
“นั่นเป็นเรื่องของเจ้า แต่ข้าเป็นหนี้ชีวิตเจ้า” โกสต์คิลล์พูดอย่างจริงจัง
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าจะตอบแทนให้กับข้ายังไง?” หานเซิ่นมองไปที่โกสต์คิลล์ด้วยความสนใจ
โกสต์คิลล์ไม่เสียเวลาคิด เธอพูดขึ้นมาในทันที “จากนี้ต่อไปข้าจะติดตามเจ้า ถ้าใครก็ตามต้องการจะทำร้ายเจ้า พวกเขาก็ต้องผ่านข้าไปก่อน ข้าจะปกป้องเจ้าด้วยชีวิตของข้า”
“ไม่มีความจำเป็นต้องลำบากทำอะไรแบบนั้น ถ้าเจ้าใช้ร่างกายเพื่อตอบแทนข้า เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องตาย ทำไมเจ้าไม่ทำแบบนั้นล่ะ?” หานเซิ่นยิ้มและมองไปที่โกสต์คิลล์ขณะที่เขาพูดอย่างนั้น
สีหน้าของโกสต์คิลล์เปลี่ยนไป เธอกัดฟันและพูด “เจ้าอาจจะช่วยชีวิตข้า แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะหยามเกียรติของข้าได้”
“ช่างเถอะ ถ้าเจ้าไม่ต้องการ มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่เจ้าจะติดตามข้า พวกเราควรไปตามทางของตัวเอง”
หลังจากที่หานเซิ่นพูดเสร็จ เขาก็เริ่มเดินออกไป เขาไม่ต้องการให้คนอย่างโกสต์คิลล์ติดตามเขา นั่นเป็นเหตุผลที่เขาพูดออกไปแบบนั้น
โกสต์คิลล์มีสีหน้าที่ซับซ้อน เธอกัดฟันและเดินตามหลังหานเซิ่นไปโดยที่ไม่พูดอะไรอีก
หานเซิ่นรู้ว่าโลนสกายดราก้อนยังอยู่ด้านนอก และเนื่องจากเขาเพิ่งสูญเสียพลังไปเป็นจำนวนมากจากการต่อสู้ก่อนหน้านี้ ตอนนี้เขาจึงไม่มีพลังเหลือพอจะต่อสู้กับโลนสกายดราก้อนอีก เขาจำเป็นต้องหาทางออกทางอื่น
ถึงบลัดโกสต์สปิริตและราชานกยูงปีกทองจะเป็นยีนเรซที่เหนือกว่าโลนสกายดราก้อน แต่ตอนนี้พวกมันยังเป็นแค่ร่างวัยเยาว์ พวกมันยังไม่สามารถต่อสู้กับโลนสกายดราก้อนได้
ปราสาทหินไม่ได้ใหญ่โตมากนัก แต่หลังจากที่สำรวจจนทั่ว พวกเขาก็ยังหาทางออกอื่นไม่เจอ
หลี่ปิงหยูย่อตัวลงกับพื้นเพื่อตรวจเช็คโครงกระดูกในชุดเกราะ แต่เธอไม่พบอะไร เธอสันนิษฐานว่าหานเซิ่นคงจะมาค้นตัวโครงกระดูกเรียบร้อยแล้วในตอนที่เธอยังหมดสติอยู่ เธอแค่ไม่รู้ว่าเขาพบอะไรหรือเปล่า
หานเซิ่นฝังโครงกระดูกและพูด “มันมีไม่ทางออกทางอื่น เจ้ามีหนทางที่จะออกไปจากที่นี่ โดยไม่พบกับโลนสกายดราก้อนและบลัดโกสต์สปิริตไหม?”
“มันก็มีอยู่ทางหนึ่งที่พวกเราควรจะลองดู” หลี่ปิงหยูชี้นิ้วออกไปและยีนเรซที่เหมือนกับตัวตุ่นก็ถูกเรียกออกมา กรงเล็บของมันดูเหมือนกับโลหะ
“นี่คือตุ่นชีพจรผืนดินระดับราชัน มันมีพลังในการขุดที่ยอดเยี่ยม บางทีมันอาจจะพาพวกเราออกไปจากที่นี่ได้” ขณะที่หลี่ปิงหยูกำลังพูด ตุ่นชีพจรผืนดินก็เริ่มทำการขุดกำแพงหินของปราสาท
หานเซิ่นและหลี่ปิงหยูตามหลังตัวตุ่นไป และไม่นานหลังจากนั้นพวกเขาก็ไปถึงถ้ำแห่งหนึ่ง ดูเหมือนว่าเจ้าตุ่นชีพจรผืนดินจะไม่ได้ทำการขุดอย่างมั่วๆ พวกเขาตามหลังตุ่นชีพจรผืนดินอยู่ครึ่งวันก่อนที่พวกเขาจะขึ้นมาสู่พื้นดินได้ พวกเขาพบว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในหุบเขาเจดไลอ้อนอีกแล้ว
“ตามข้ามา” หลี่ปิงหยูสแกนสภาพแวดล้อมรอบๆและเริ่มเดินออกไปในทิศทางหนึ่ง
หานเซิ่นไม่สนใจจะสำรวจแอนเชี่ยนท์บิ๊กก็อต สิ่งที่เขาต้องการคือการกลับไปที่เมืองแอนเชี่ยนท์ก็อตเพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับสมุดบันทึกที่เขาได้รับมา เขาเชื่อว่าสมุดบันทึกนี้ต้องมีข้อมูลสำคัญมากอยู่ ความลับของมันอาจจะเกี่ยวข้องกับวิธีการที่ฉินซิวใช้ในการเข้าในจักรวาลจีโน
ภาษาโบราณที่หานเซิ่นเคยเรียนมานั้นไม่สามารถใช้กับภาษาโบราณของโลกนี้ได้ เขาจึงต้องกลับไปค้นหาข้อมูลเพื่อทำความเข้าใจเนื้อหาของสมุดบันทึก