Telesma - ตอนที่ 10
ณ หอรัฐสภา ภายในเขตกลางของเมืองหลวงแห่งอาณาจักรเวทมนตร์ 3วันหลังจากการสอบนักเวทจบลง
ก๊อก ก๊อก
“ขออนุญาตค่ะ”
“เชิญเข้ามา”
ประตูห้องถูกเปิดออกเผยให้เห็นร่างของหญิงสาววัยกลางคนที่มีเรือนผมสีน้ำตาลเข้มเดินเข้ามาพร้อมกับถือแก้วเครื่องดื่มและม้วนเอกสารที่ทับซ้อนกันจนสูงเกือบมิดหัว
“นี่เป็นบันทึกการสอบจากเขตเบลเทมไฮม์และเอกสารจากหน่วยงานส่วนอื่นค่ะ ส่วนนี่ก็คัฟฟ่าตามที่สั่งค่ะ”
เธอยื่นม้วนเอกสารให้ฉันพร้อมกับวางแก้วที่มีเครื่องดื่มสีดำอยู่ภายในนั้นมาให้ มันเป็นเครื่องดื่มที่มีรสชาติขมแต่กลับทำให้รู้สึกตื่นตัวได้ดียามที่เหนื่อยล้า
“ขอบคุณมาก”
ฉันพยักหน้ารับเธอกลับไปพร้อมกับหยิบม้วนเอกสารขึ้นมาเปิดอ่านดู
“อืม…”
“เป็นยังไงมั่งคะ?”
“รายละเอียดก็ครบถ้วนดีนี่แล้วทำไมมันถึงมาส่งช้าตั้งวันนึงล่ะ ตารางการเดินขบวนจักรก็ไม่เห็นมีปัญหาอะไรนี่?”
“อ่า… เห็นทางนั้นบอกว่ามีปัญหาเรื่องการขนส่งในขั้นตอนแรกน่ะค่ะ…”
หญิงสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ปนไปด้วยความกังวลเล็กน้อย
“งั้นหรอ ไปสืบมาให้ได้เรื่องว่าช้าเพราะอะไรแล้วเอามาปรับปรุงในแผนการสอบของปีหน้าซะ คงไม่มีใครอยากอยู่ห่างบ้านนานเพราะเรื่องแบบนี้หรอกนะ”
“ค่ะ!” น้ำเสียงสั่นเครือของเธอแปลเปลี่ยนเป็นความกระตือรือร้นในทันตาและไม่นานเธอก็เดินออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว
เฮ้อ~ ทั้งๆ ที่ควรจะได้กลับบ้านเช้าวันนี้แท้ๆ ดันต้องมารอเอกสารที่ไม่รู้ว่าจัดส่งล่าช้าเพราะอะไร แถมพอเห็นว่าฉันยังอยู่ก็รีบโยนงานมาให้เต็มเลยเนี่ยนะ ให้ตายเถอะ… ต้องมีสิทธิแรงงานจริงๆ จังๆ แล้วมั้งเนี่ย…. ว่าแต่เอกสารของแวนด์อยู่ไหนกันนะ
อืม…. ไม่ใช่…
ไม่ใช่… แวนด์… แวนด์…. แวนด์…
ก๊อก ก๊อก
“ขออนุญาตเข้าไปนะ”
เสียงของชายหนุ่มดังมาจากหลังบานประตู เขาค่อยๆ แง้มมันออกและก้าวเข้ามาอย่างระมัดระวังพร้อมกับแบกกล่องไม้สีดำที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่เข้ามา
“มีอะไรอีกล่ะเวลล์ทีธ เอกสารจากเบลเทมไฮม์ก็พึ่งมาถึง ฉันไม่ได้มีเวลาว่างทั้งวันนะ”
“รู้แล้วน่า ฉันเองก็อยากกลับบ้านไปเจอหน้าลูกเมียใจจะขาดเหมือนกันนั่นแหละ”
“แล้ว?”
ฉันพูดพร้อมกับผายมือออก
“ของขวัญจากดินแดนอันห่างไกล”
ชายหนุ่มผมสีแดงธรรมชาตินำกล่องสีดำในมือไปวางไว้บนโต๊ะรับแขกที่ตั้งอยู่กลางห้องทำงานของฉัน
“คือ?”
“ดูเอาเอง ฉันไม่มีสิทธิ์เปิดดูของข้างในหรอกนะ… แต่…ฉันขอนั่งพักสักหน่อยได้มั้ย? แบกกล่องนี่มาโคตรเหนื่อยเลย”
ไม่ทันที่ฉันจะได้เอ่ยปากอนุญาตเวลล์ทีธก็ชิงนั่งลงที่เก้าอี้รับแขกก่อนทันที
“ล้อลากก็มีทำไมไม่ใช้เล่า แล้วนั่นอะไร? คิดจะนั่งก็นั่งเลยเนี่ยนะ? แล้วเมื่อกี้จะถามทำซากอะไร?”
“ก็มันเอาขึ้นพื้นลอยไม่ได้นี่ ฉันเองก็ไม่ได้แข็งแรงยี่สิบตลอดกาลเหมือนตระกูลเธอนะ”
“ช่างเถอะ วางไว้งั้นแหละเดี๋ยวตรวจนี่เสร็จฉันค่อยไปดู”
ว่าแล้วฉันก็หยิบเอกสารขึ้นมาดูต่อในทันที
“แล้วเด็กปีนี้เป็นยังไงมั่งล่ะ”
เขาหันมาถามระหว่างที่ฉันกวาดตาอ่านเอกสารอยู่
“ก็มาตรฐาน จะว่าแอบผิดหวังนิดๆ ก็ได้”
“เพราะเธอคิดว่าจะมีใครสักคนที่เก่งกว่าลูกชายเธอได้หรอ? งั้นก็คงสิ้นหวังแล้วล่ะ”
“ไม่อ้าปากก็ไม่มีใครเดือดร้อนนะ”
ฉันหลี่ตาลงพร้อมกับเปล่งแสงสีแดงออกมาเพื่ออุดปากไม่ให้หมอนั่นพูดอะไรไปมากกว่านี้
(ขอโทษครับ)
เวลล์ทีธรีบหันหน้าหนีพร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อยๆ
“ว่าแต่ปีนี้ไม่เห็นหน้าลูกคนเล็กของนายเลย ทั้งๆ ที่ก็อายุเท่านาคาซแท้ๆ แต่กลับไม่ได้มาสอบ แถมไม่มีรายชื่อในเอกสารรายงานของเขตอื่นด้วย”
“เฮ้อ… ว่าแล้วคงหนีไม่พ้นสายตาเธอจริงๆสินะ”
“หมายความว่าไง?”
“เด็กคนนั้นไม่มีพลังเวทแล้ว…”
ทันทีที่ได้ยินประโยคเมื่อกี้ฉันถึงกับต้องส่ายหน้าขมวดคิ้วแล้ววางเอกสารลงเพื่อที่จะยืนยันความแน่ใจอีกครั้ง
“หืม…? แต่ฉันจำได้ว่าครั้งล่าสุดที่เจอยั-”
“ใช่ ยังมีพลังเวทอยู่…”
“ได้ไงกัน”
“ช่างเถอะ… รู้แค่ว่าทั้งหมดเป็นความผิดของฉันก็พอ ฮึฮึ่ม แล้วเอกสารจากแวนด์ล่ะเป็นไงมั้ง”
เขาพูดด้วยสีหน้าอมทุกข์ก่อนที่จะรีบเปลี่ยนเรื่องคุยในขณะที่ฉันยังหาเอกสารการสอบของแวนด์อยู่
นี่ไง เจอสักที
ฉันรีบหยิบมันออกมาและกวาดสายตาอ่านรายละเอียดในแผ่นรายงานนั่นทั้งหมดูซึ่งผลลัพธ์ของมันก็แอบทำให้ฉันรู้สึกหงุดหงิดจนต้องเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“ก่อนหน้านี้นายบอกว่าฉันคงหมดหวังใช่มั้ย”
เวลล์ทีธพยักหน้าตอบกลับเบาๆ ด้วยความมึนงง
“ลูกสาวตระกูลลูน่าไขน์ทำผลงานได้สูสีกับนาคาซแบบเกินคาดเลย”
ฉันยื่นแผ่นเอกสารให้เขาดูรายละเอียดที่เกิดขึ้นทั้งหมดในการสอบ
ถึงพออ่านแล้วจะรู้สึกตะหงิดใจนิดหน่อยแต่โดยรวมแล้วก็ถือเป็นเอกสารรายงานที่เขียนรายละเอียดได้ครบถ้วนดีตามมาตรฐาน แต่ก็แอบเกินคาดไม่น้อยเลยที่เด็กคนนั้นสามารถต่อกรกับนาคาซได้แทบทุกรอบแถมรูล ออฟ ทูที่นาคาซน่าจะถนัดมากที่สุดยังทำได้แค่เสมอเนี่ย… ขอจองตัวให้มาเป็นลูกสะใภ้ไว้ก็น่าจะไม่เลวเหมือนกันนะ ว่าไปนั่น
“แค่รายงานยังยาวขนาดนี้ ในสถานการณ์จริงคงดุเดือดใช่ย่อยเลยแฮะ”
เวลล์ทีธยื่นเอกสารคืนมาให้ฉันก่อนที่จะเดินไปยืนอยู่หน้าประตู
“งั้นฉันไปล่ะ ต้องรีบจัดการงานที่เหลืออีก”
หลังจากเสียงปิดประตูเงียบลงฉันก็ทำการจัดการและส่งต่อกองเอกสารที่กองอยู่บนโต๊ะทั้งหมดจนเสร็จ
ตึง
ตึง
ตึง
เสียงนาฬิกาเที่ยงวันดังมาจากบนหอคอยสีขาวที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับอาคารรัฐสภาซึ่งจากห้องทำงานนี้ฉันสามารถหมุนเก้าอี้กลับไปมองดูมันได้อย่างชัดเจน
สิบสี่แล้วหรอเนี่ย… งานก็ทำเสร็จหมดแล้วด้วยซิ… ขบวนจักรรอบต่อไปก็น่าจะประมาณสิบเจ็ดได้
“งั้นก็รีบชิ่งแล้วไปจัดการธุระที่เหลือก็แล้วกัน”
ว่าแล้วฉันก็เดินไปหยิบเสื้อคลุมมาใส่และเก็บข้าวของของตัวเองให้เข้าที่เข้าทางก่อนกลับ
แต่จะว่าไปก็เถอะพัสดุที่ส่งมานี่มันไม่ใหญ่เกินไปหน่อยรึไง?
“ของขวัญจากแดนไกลงั้นหรอ…”
ฉันใช้เวลาในการหาทางเปิดกล่องนี่อยู่สักพักนึงจนกระทั่งนิ้วนางเผลอไปสัมผัสกับปุ่มอะไรบางอย่างจนฝาของมันเปิดออก ภายในกล่องไม้สีดำนี่ถูกบุด้วยผ้าสีทองอย่างดีที่มีฝังลวดลายบ่งบอกว่าถูกผลิตโดยใคร ซึ่งกล่องใบนี้บรรจุของไว้อยู่สามอย่าง อย่างแรกคือกิ่งแขนงของต้นไม้สีน้ำตาลเข้มที่ให้บรรยากาศอันแสนคุ้นเคยชวนให้คิดถึงวัยเด็ก อย่างที่สองคือกล่องอีกอันนึงที่มีขนาดพอดีมือและดูท่าจะมีกลไกในการเปิดที่ค่อนข้างซับซ้อนพอสมควร และอย่างสุดท้ายคือซองจดหมายสีดำสนิทที่ถูกประทับตราประจำตระกูลที่เป็นรูปอสรพิษเลื้อยขึ้นอยู่บนต้นไม้สูงใหญ่ ซึ่งแค่มองเผินๆ ก็พอเดาได้แล้วว่าใครเป็นเจ้าของพัสดุกล่องนี้
ฉันเริ่มจากการหยิบซองจดหมายนั่นขึ้นมาและเปิดมันออกมาอ่านดู
ถึงลีเวียธานลูกรัก
พ่อรู้ว่าลูกต้องเปิดอ่านจดหมายฉบับนี้แน่ๆ ถ้าหากพิจารณาดูจากนิสัยอยากรู้อยากเห็นของลูกแล้วล่ะนะ ของขวัญที่อยู่ในกล่องทั้งหมดคือสิ่งจำเป็นสำหรับการทำให้หลานรักของพวกพ่อกลายเป็นนักเวทเต็มตัว กิ่งไม้ที่อยู่ในกล่องนั่นคือกิ่งจากต้นซากุระที่ลูกเคยปลูกไว้กับเซนจิสมัยเด็กๆ แถวริมแม่น้ำตอนนี้มันโตเป็นต้นซากุระที่สูงใหญ่เป็นสง่ามากเลยล่ะนะ พ่อคิดว่ากิ่งมันเหมาะแก่การเอาไปใช้ทำคทาดีก็เลยปีนไปหั่นกิ่งมันมาให้นาคาซเอาไปทำคทา ส่วนในกล่องอีกอันนั้นเป็นของขวัญจากท่านแม่ให้กับนาคาซเหมือนกัน มันเป็นวัสดุแบบเดียวกับที่ลูกเอาไปใช้ทำไม้เท้านั่นแหละ ท่านแม่บอกว่ามันเป็นการยืนยันว่านาคาซคือเหลนของท่านอย่างแท้จริง และก็ในกล่องนั้นยังมีจดหมายอีกฉบับนึงติดอยู่ด้วย อันนั้นสำหรับนาคาซโดยเฉพาะลูกไม่มีสิทธิ์อ่านมันนะ
สุดท้ายพ่อขอบอกไว้ก่อนเลยว่าถ้าลูกไม่ยอมพาหลานมาหาท่านตาสุดแสนใจดีที่ตะวันออกพวกพ่อจะเป็นฝ่ายล่องเรือไปหาเองนะ
ด้วยรักจากแดนไกล
-ยอร์มุนกานดร์
ขอล่ะ อย่ามาเลย ขอร้อง… จะให้โค้งคำนับอ้อนวอนขนาดไหนก็ยอม อย่าแม้แต่จะคิดว่าจะล่องเรือกลับมาที่นี่เลยไม่งั้นได้ป่วนกันทั้งทวีปกลางแน่
ฉันใช้เวลาเคลียร์ใจตัวเองสักพักนึงก่อนที่เก็บของทุกอย่างให้กลับเข้าไปในกล่องเหมือนเดิม และพอฉันสำรวจดีๆ ก็พบว่าเจ้ากล่องไม้นี่มันดันมีกลไกล้อลากซ่อนอยู่ด้วย แถมพอดึงจุดที่เหมือนจะเป็นที่จับขึ้นมามันก็กลายเป็นกล่องที่สามารถลากไปไหนก็ได้ในตัวซะงั้น ต้องพูดยังไงดีล่ะ? สมกับเป็นนวัตกรรมของชาวอัลฟาร์ที่ช่ำชองเรื่องกลไกต่างๆ ดีงั้นหรอ? ก็คงต้องพูดแบบนั้นแหละนะเพราะนี่ก็อาจจะเป็นนวัตกรรมใหม่สำหรับการเดินทางเลยก็ได้ ติดมันตรงที่ว่าแค่กล่องเปล่าๆ ก็ยังรู้สึกว่าหนักเลยนี่สิ คงต้องใช้เวลาปรับแต่งอีกพอสมควรแหละนะ
หลังจากเดินทางออกจากเขตกลางฉันก็ตรงดิ่งไปที่เขตเศรษฐกิจต่อทันทีเพราะฉันเองก็สั่งทำของขวัญพิเศษไว้ให้กับลูกชายของตัวเองเหมือนกัน และฉันก็มั่นใจมากว่ามันเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการใช้ชีวิตของนาคาซในอนาคตเป็นอย่างมาก
ระหว่างที่ฉันเดินลากกล่องไม้ใบนี้ผู้คนก็จับตามองกันตลอดทางราวกับไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนซึ่งมันก็ไม่ได้เหนือความคาดหมายของฉันนักหรอก แต่ขออย่างเดียวคืออย่ามาจ้องตากันก็พอ ขืนความแตกขึ้นมาล่ะมีเฮลั่นกันทั้งเขตแน่
ฉันรีบย่ำเท้าจนมาหยุดอยู่ที่หน้าร้านหนังสือแห่งนึงที่ตั้งอยู่ริมถนน ร้านหนังสือแห่งนี้เป็นหนึ่งในไม่กี่ร้านในเมืองหลวงที่มีเจ้าของเป็นเชื้อชาติอัลฟาร์ และผลิตภัณฑ์ของที่นี่ก็ช่วยทำให้ฉันได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขขึ้นเยอะด้วยเช่นกัน
“ยินดีต้อนรับครับ”
ทันทีที่ฉันเปิดประตูเข้ามาชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งผู้มีใบหูเรียวยาวเป็นเอกลักษณ์และผมยาวสลวยสีบลอนด์อ่อนที่ยืนอยู่ข้างหลังเคาน์เตอร์ก็หันมากล่าวต้อนรับตามมารยาท
ร้านนี้เป็นร้านหนังสือที่เก่าแก่มากแห่งหนึ่งในเมืองนี้และทั้งหน้าร้านก็ถูกห้อมล้อมไปด้วยชั้นหนังสือจำนวนมากที่สูงมิดเพดานจนแทบจะเรียกว่าเป็นห้องสมุดขนาดย่อมๆ ก็ยังได้
“สนใจสินค้าตัวไหนเป็นพิเศษมั้ยครับ?”
“มารับหนังสือชื่อ…..ค่ะ”
ทันทีที่ได้ยินชื่อนั้นเขาก็แสดงสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อยก่อนที่จะบอกให้ฉันยืนรออยู่ตรงนี้สักเดี๋ยวและเขาก็เดินเข้าไปที่หลังร้านทันที ซึ่งไม่นานหลังจากนั้นมากนักเขาก็เดินกลับมาพร้อมกับถือกล่องไม้ทรงกระบอกมาด้วย
“สินค้าสั่งทำพิเศษเพื่อตระกูลของท่านครับ เนื่องจากจ่ายเงินจำนวนเต็มไว้อยู่ก่อนแล้วก็เลยไม่จำเป็นต้องชำระเพิ่มนะครับ”
เขากล่าวพร้อมกับยื่นกล่องนั้นมาให้ฉัน
“จะตรวจสอบสินค้าดูก่อนก็ได้นะครับ”
เขาก้มไปหยิบกระจกขนาดกลางขึ้นมาบานหนึ่งเพื่อฉันใช้มันในการตรวจสอบสินค้าดู
อืม… สีตรงตามที่สั่งเป๊ะแถมมองจากมุมอื่นก็ไม่มีสีเพี้ยนหรือหลุดกรอบด้วย ใช้ได้เลย
“เป็นยังไงมั้งครับ?”
“น่าประทับใจมากค่ะ”
ฉันเก็บมันกลับเข้าไปในกล่องเหมือนเดิมก่อนที่จะเดินออกไปจากร้าน
“ไว้โอกาสหน้าเชิญมาอุดหนุนใหม่นะครับ”
เสียงของชายหนุ่มคนนั้นดังไล่หลังมาจากภายในร้านขณะที่ประตูกำลังจะปิดลง
นาคาซต้องชอบเจ้านี่แน่นอน แต่จะว่าไปวันนี้ลิซาก็น่าจะไปถึงแวนด์แล้วเหมือนกันสินะ แวะซื้ออะไรให้เด็กคนนั้นดีนะ? อุตส่าห์เดินทางทั่วทวีปเพื่อจัดการงานแทนเราตั้งเยอะขนาดนั้น
พอคิดแบบนั้นแล้วฉันก็เลยแวะไปซื้อของฝากเล็กๆ น้อยๆ ให้เด็กคนนั้นสักชิ้นสองชิ้นเป็นคำขอบคุณ หลังจากนั้นฉันก็เดินไปจองตั๋วที่สถานีขบวนจักรต่อ
“สถานีเบลเทมไฮม์ ขอเป็นตั๋วที่นั่งระดับสองค่ะ”
ฉันเดินมาซื้อที่จุดจำหน่ายพร้อมกับวางเงินจำนวนหนึ่งไปบนเคาน์เตอร์
“ไม่ทราบว่ากี่ที่นั่งคะ?”
“เหมาหมดทั้งห้องค่ะ”
“ทั้งหมดหกที่นั่งนะคะ”
พนักงานสาวหันมาถามเพื่อความแน่ใจ ฉันพยักหน้าตอบเธอกลับไปเบาๆ
“นี่ค่ะ ขบวนจักรจะเริ่มออกเดินทางเวลาสิบหก:สามสิบที่ชานชะลาสามนะคะ กรุณาขึ้นไปนั่งรอก่อนที่ประตูตู้โดยสารจะปิดด้วยนะคะ”
เธอกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้มพร้อมกับยื่นตั๋วทั้งหกใบออกมาให้ฉันจากหลังกรงเหล็ก
“ขอบคุณค่ะ”
ฉันยิ้มตอบเธอกลับไปเบาๆ ก่อนที่จะเดินไปนั่งรอที่ชานชะลาสามตามคำบอกของพนักงานสาว ที่สถานีแห่งนี้เต็มไปด้วยเสียงกู่ร้องของเครื่องจักรและผู้คนที่ต่างเดินทางเข้าออกกันอย่างคับคั่งไม่ขาดสาย ไม่ว่าจะเป็นนักเวท นักผจญภัย อัศวิน พ่อค้า แม่ค้า หรือแม้แต่ประชาชนคนธรรมดาต่างก็มาใช้บริการขบวนจักรกันจนเรียกได้ว่าพวกเราสามารถคืนทุนได้ภายในระยะเวลาไม่ถึงสิบปีเสียด้วยซ้ำ ซึ่งผลงานทั้งหมดนี้ก็เป็นเพราะการร่วมมือกันระหว่างเมืองแห่งศิลปะและอาณาจักรเวทมนตร์ที่มีตัวตั้งตัวตีเป็นพวกผู้ชายในตระกูลสิบสามคทาที่อ้างว่าอยากอำนวยความสะดวกในการเดินทางให้พวกลูกๆ ของตัวเองที่กำลังจะลืมตาดูโลกเมื่อสิบสามปีก่อนแหละนะ… แต่ก็ไม่คิดเลยว่ามันจะกลายมาเป็นนวัตกรรมพลิกชีวิตแบบนี้เนี่ย จากเมื่อก่อนต้องใช้ม้าเดินทางไปกลับร่วมสองอาทิตย์ก็กลายเป็นว่าแค่นั่งชิวๆ อยู่บนหนอนเหล็กนี่ไม่เกินสองวันก็ถึงที่หมายแล้ว
ให้ตายเถอะ ตอนนั้นยังไม่คิดเลยว่าแม้แต่เซนจิก็จะรวมหัวกับเจ้าพวกนั้นด้วย
ปู้นนนนน
เสียงหัวขบวนจักรสีดำสนิทคำรามลั่นไปทั่วทั้งชานชะลาในขณะที่มันกำลังเคลื่อนที่เข้ามาจอดเทียบท่าอย่างช้าๆ ก่อนที่จะมีหนุ่มสาวในชุดเครื่องแบบสีกรมท่าจำนวนหนึ่กกระโดดลงมาจากตู้โดยสารที่อยู่ข้างหลังพร้อมกับควงนาฬิกาพกติดสายโซ่ในมืออย่างพร้อมเพรียงกัน
“ตอนนี้เป็นเวลาสิบหกนาฬิกาตรง ผู้โดยสารทุกท่านสามารถขึ้นมานั่งรอภายในตู้โดยสารตามที่จองไว้ได้ตามสะดวก”
ฉันตัดสินใจเดินไปยื่นตั๋วให้พนักงานที่ยืนประจำการอยู่ข้างหน้าทางตู้โดยสารตรวจสอบก่อนที่จะขึ้นไปนั่งรอในห้องโดยสารส่วนตัวตามที่จองไว้
ไม่ว่าจะขึ้นกี่ทีก็ไม่เคยชินกับความกว้างที่ผิดกับรูปลักษณ์ภายนอกอย่างกับคนละโลกนี่เลยแฮะ…
หลังจากขบวนจักรเริ่มเคลื่อนตัวออกจากสถานีได้ประมาณสามชั่วโมงฉันก็สั่งชุดอาหารมากินที่ห้องโดยสารพลางกับชมวิวของต้นไม้ริมทางที่เริ่มผลัดใบ
ตะเกียงไฟภายในห้องโดยสารถูกจุดขึ้นมาเองทันทีที่ความมืดเข้าปกคลุมตู้โดยสารแห่งนี้
ลอดเข้าอุโมงค์แล้วงั้นหรอ
“สวัสดี…”
!? เสียงหรอ…
ฉันกวาดสายตามองไปรอบๆ ห้องพลางเอื้อมมือไปหยิบไม้เท้าเวทขึ้นมา
ประตูห้องก็ล็อคแล้วนี่… แล้วเสียงนั่นดังมาจากไหนกัน…
“ตรงนี้…”
ฉันใช้ไม้เท้าชี้ไปยังต้นเสียงที่เป็นกลุ่มควันสีดำขนาดเล็กที่อยู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาตรงที่นั่งฝั่งตรงข้ามของฉัน
“แกเป็นใคร! เข้ามาที่นี่ได้ยังไง!”
“ใคร? คำว่าใครมีความหมายคล้ายคลึงกับคำว่าอะไรและเธอก็ถามแบบนั้นกับฉันผู้เป็นกลุ่มหมอกสีดำที่สามารถสื่อสารกับเธอได้ด้วยการสั่นสะเทือนที่ส่งผลให้โมเลกุลของอากาศเหล่านี้เคลื่อนที่ไปชนกับโมเลกุลถัดไปก่อให้เกิดการถ่ายโอนโมเมนตัมจากโมเลกุลที่มีการเคลื่อนที่ให้กับโมเลกุลที่อยู่ในสภาวะปกติ จากนั้นโมเลกุลที่ชนกันนี้จะแยกออกจากกันโดยโมเลกุลที่เคลื่อนที่มาจะถูกดึงกลับไปยังตำแหน่งเดิมด้วยแรงปฏิกิริยาและโมเลกุลที่ได้รับการถ่ายโอนพลังงานจะเคลื่อนที่ไปชนกับโมเลกุลที่อยู่ถัดไปแบบนี้เรื่อยๆ ตราบที่ยังคงมีพลังงงานและสื่อกลางอยู่เนี่ยนะ? แต่เอาเถอะคำนิยามเดียวง่ายๆ ที่ตระกูลเซเปียนส์อย่างพวกเธอน่าจะเข้าใจกันเป็นอย่างดีก็คงจะเป็นเหล่าเพื่อนบ้าน ภูตพราย ผู้ไร้กายเนื้อ หรืออะไรก็แล้วแต่จะนิยามตามความเชื่อ วัฒนธรรมและภูมิภาคแหละนะ เรียกฉันง่ายๆ ว่า_______ ชิ….”
“เรียกฉันว่าอาเปปก็แล้วกัน”
เงาสีดำนั่นส่งเสียงฟังไม่ได้ศัพท์ออกมาระหว่างที่ร่างของมันปรากฏชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จนมีรูปร่างคล้ายกับคนที่กำลังนั่งไขว่ห้างอยู่
“แกต้องการอะไร!”
“ความใคร่อยากของฉันมันหายไปพร้อมกับกายหยาบที่ถูกละทิ้งไปแล้ว ตอนนี้ตัวฉันเหลือเพียงแค่ความบริสุทธิ์กำเนิดเพียงหนึ่งเดียวอย่างความอยากรู้อยากเห็นเพียงเท่านั้น”
“…ฉันแนะนำให้เธอลดไม้เท้านั่นลงเพื่อความสะดวกต่อการสนทนาของพวกเรานะ เพราะไม่ว่ายังไงเวทแรงโน้มถ่วงของเธอก็ไม่มีผลต่อตัวฉันอยู่ดี- อุ๊บส์… ฉันลืมไปว่าดาวเคราะห์ดวงนี้ไม่ได้เรียกมันว่าแบบนั้น”
กลุ่มหมอกนั่นพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยพร้อมกับแสดงท่าทีหยอกล้อออกมาเหมือนจงใจที่จะกวนประสาทกัน
“นี่ฉันพูดจริงนะเนี่ย ถ้าเธอไม่ลดไม้เท้านั่นลงพวกเราคงจะไม่สามารถสนทนากันเยี่ยงผู้มีอารยธรรมได้แน่นอน”
มันหันส่วนที่น่าจะแทนหัวมาสบตากับฉันพร้อมกับใช้ส่วนที่น่าจะเป็นปลายนิ้วจิ้มไปบนปลายไม้เท้าเหมือนพยายามที่จะกดมันลง
“ไม่ต้องกังวลนักหรอก ร่างกายแบบนี้มันทำอะไรได้ไม่มากนอกจากเดินผ่านวัตถุหรอกนะ”
กลุ่มหมอกนั่นพูดพร้อมกับกวัดแกว่งส่วนที่เหมือนแขนผ่านไม้เท้าและกำแพงห้องไปมาเพื่อแสดงให้เห็นว่ามันพูดจริง
ฉันลองแอบใช้เวทมนตร์มส่มันดูอยู่สักพักใหญ่ แต่ท่าทีของมันก็กลับนิ่งเฉยและดูไม่สะทกสะท้านอะไรกับคาถาพวกนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว สุดท้ายฉันเลยทำได้แค่ลดไม้เท้าลงตามคำแนะนำของเงานั่น
“แล้วแกมาทำไม”
“ช่างเป็นหญิงสาวที่มากไปด้วยคำถามซะจริงนะ แต่เอาเถอะเพราะความขี้สงสัยและความอยากรู้อยากเห็นของมนุษย์นั้นมีมากจึงทำให้พวกเธอสามารถก่อไฟและสร้างอารยธรรมอันน่าอภิรมย์เหล่านี้ขึ้นมาได้จนกลายเป็นเผ่าพันธุ์ที่สามารถครองดาวเคราะห์ดวงนี้ได้นั่นแหละนะ”
“…”
“โอ๊ะ… ดูเหมือนว่าฉันจะเผลอนอกเรื่องเกินไปสินะ… ต้องขออภัยจากใจจริงที่ทำให้คุณผู้หญิงผู้มีดวงตาอันงามสง่าอย่างเธอต้องส่งสายตาอาฆาตอันน่าหวาดเกรงเช่นนั้นออกมา แต่ไม่ต้องกังวลไปเพราะฉันจะไม่รบกวนเวลาอันมีค่าที่แสนสั้นของเธอไว้เพียงแค่นี้เท่านั้-”
ตู้ม!
“แค่พูด! เนื้อหา! ก็พอ!”
“เฮ้อ… ช่างไร้ซึ่งสุนทรียภาพในการรับฟังผู้อื่นจริงๆ เลยนะ… ฮึฮึ่ม! งั้นฉันจะเข้าเรื่องแบบไม่อ้อมค้อมหรือเถลไถลไปมากกว่านี้ก็แล้วกัน สิ่งที่ฉันจะมาบอกกับเธอมันก็เป็นเพียงแค่ประโยคสั้นๆ ที่กระชับได้สาระและมีใจความในตัวแบบไม่ต้องตีความอะไรให้เปลืองสมองเพราะฉันได้คัดกรองเนื้อหาที่จะพูดมาอย่างดีด้วยการประมวลผลนับครั้งไม่ถ้วนแล้วยังไงล่ะ”
พอพูดจบประโยคนั่นมันก็นั่งแข็งทื่ออยู่สักพักเหมือนกับกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ แต่พอฉันใช้เวทมนตร์ตรวจสอบสภาพโดยรอบแล้วก็ไม่พบสิ่งปกติอะไรเลยสักนิด จนกระทั่งมันโพล่งขึ้นมาพูดต่อแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย
“และสารที่เธอจะได้รับจากฉันก็คือ …………………………………..”
เสียงของขบวนจักรที่พึ่งลอดออกมาจากอุโมงค์ดังมากจนกลบเสียงคำพูดที่ฟังไม่ได้ศัพท์อยู่แล้วของกลุ่มหมอกที่อยู่ตรงหน้าของฉันไปจนหมด
“เมื่อกี้แกพูดว่าอะไรนะ?”
“เฮ้อ… มาเร่งตัดบทคนอื่นแต่ไม่ตั้งใจฟังแบบนี้คนที่อุส่าห์____เนื้อหา_ลำ___ใจแย่สิ- โอ๊ะโอ… ดู___ว่า สัญญาณ____แค่นี้___”
อยู่ๆ ร่างของมันก็เหมือนจะคงสภาพไม่อยู่จนค่อยๆ แตกสลายออกพร้อมกับเสียงคำพูดที่เริ่มขาดหาย
“เดี๋ยวก่อนสิ!!”
“จงโทษตัว____ที่____นาน___ไปเถอะ… บ๊ายบาย….”
ร่างของมันแตกออกกลายเป็นหมอกควันสีดำที่ฝุ้งกระจายไปทั่วทั้งห้องโดยสารจนฉันต้องรีบลุกขึ้นไปเปิดหน้าต่างเพื่อระบายพวกมันออกไปข้างนอก
“แค่กๆๆ บัดซบ…”
“….เอ้ย…”
ตุ้บ!
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
“คุณผู้โดยสารคะ”
“คุณผู้โดยสารคะ พวกเราเดินทางมาถึงสถานีเบลเทมไฮม์แล้วนะคะ”
“อึก…”
รู้สึกมึนหัว…ชะมัด…
ตอนนี้สายตาของฉันมันพร่ามัวจนมองเห็นอะไรไม่ชัดสักอย่าง
“คุณผู้โดยสารคะ?”
พอเริ่มมองเห็นชัดขึ้นนิดหน่อยก็พบกับพนักงานสาวที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าของฉันด้วยท่าทีสงสัย
“อ่ะ อ่า… ขอโทษที เมื่อกี้เธอว่าอะไรนะ…”
“เราเดินทางมาถึงสถานีเบลเทมไฮม์แล้วค่ะ ไม่ทราบว่าต้องการให้ช่วยขนสัมภาระลงให้มั้ยคะ?”
“อ่า… ห๊ะ!?”
เมื่อกี้ยังพึ่งลอดอุโมงค์ออกมาอยู่เลยไม่ใช่รึไง กว่าจะถึงสถานีเบลเทมไฮม์ยังตั้งอีกสิบกว่าชั่ว…โมง…. มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย…
“ไม่ทราบว่ามีปัญหาตรงไหนรึป่าวคะ?”
“ไม่มีจ๊ะ… ขอบคุณ…”
ฉันยิ้มตอบเธอกลับไปเล็กน้อยก่อนที่จะจัดการสัมภาระและเดินลงมาจากตู้โดยสารพร้อมกับความมึนงงสับสนที่ยังตกค้างอยู่
สรุปมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ… ฝันงั้นหรอ?
“สวัสดีครับคุณผู้หญิง”
ทันทีที่ได้ยินเสียงของชายหนุ่มที่คุ้นหูฉันก็เหวี่ยงหมัดตรงเข้าไปโดยไม่จำเป็นต้องหันหน้าไปมอง แต่ดูเหมือนว่าอุ้งมือที่มีขนาดใหญ่กว่าของชายคนนั้นจะสามารถรับมันไว้ได้อย่างง่ายดาย
“เซนจิ…”
“กับอีแค่คาดคะเนเวลามันไม่ได้ยากอะไรอยู่แล้ว แต่ว่านะ…”
เขาเบนหน้าไปมองกล่องไม้สีดำที่อยู่ข้างหลังฉันอย่างสงสัย
“อย่างน้อยๆ ก็น่าจะส่งนกจดหมายมาบอกหน่อยนะว่ามีของชิ้นใหญ่ขนาดนั้นติดมาด้วยน่ะ ฉันจะได้เช่าเกวียนมาขน”
“ไม่ทันกินหรอก กว่าจะส่งไปถึงยังไงฉันก็มาถึงที่นี่ก่อนอยู่ดี”
“งั้นหรอ แสดงว่าพึ่งมาถึงไม่นานสินะ”
“ช่าย~ ไม่รู้ว่าพ่อคิดอะไรถึงส่งไปที่ฝั่งสภาเหมือนกัน”
“ช่างเถอะ เธอใช้เวทยกมันเอาก็ไม่น่ามีปัญหาเนอะ จากที่นี่ถึงแวนด์ก็แค่สามชั่วโมงเองนี่ ฮ่าๆ”
เขายกมือขึ้นมาลูบหัวของฉันพร้อมกับหัวเราะร่าออกมาราวกับปนะโยคที่พูดออกมาเมื่อกี้คือมุขตลดที่สุดที่สุดเท่าที่เซนจิจะคิดได้
“ไม่ตลกเลยนะยะ!”
หลังจากที่หยอกล้อกันพอหายคิดถึงแล้วพวกเราก็ไปรับม้าออกมาจากโรงพักม้าก่อนที่จะเดินทางกลับแวนด์กัน
“แล้วลูกเป็นไงมั้ง”
พวกเราสนทนากันระหว่างที่นั่งอยู่บนหลังม้า
“ตัวติดกับลิซายิ่งกว่าตังเม ไม่สิคงต้องบอกว่าฝ่ายนั้นต่างหาก”
“ก็นะ… เล่นวิ่งทำงานแทนฉันทั้งปีเพื่อแลกกับข้อเสนอแบบนั้น”
“สำหรับเจ้าตัวก็คงถือว่าคุ้มค่าแหละมั้ง นาคาซก็ไม่ได้รังเกียจอะไรอยู่แล้วด้วยนี่นะ”
“จะว่าไปเด็กคนนั้นก็แอบทำให้นึกถึงตอนนั้นเหมือนกันเนอะ”
“ต่างกันตรงที่ตอนนั้นหัวฉันเกือบไม่ได้อยู่ติดบ่าแล้วน่ะสิ”
“ทำอย่างกับฉันจะยอมปล่อยให้พ่อทำแบบนั้นกับนายอย่างงั้นแหละ”
“ถ้าอย่างเธอก็คงไม่แน่น้- โอ๊ย!”
ฉันใช้เล็บจิกและบิดเข้าไปที่แขนของเซนจิอย่างสุดแรงจนเลือดไหลออกมานิดหน่อย
“ให้ตายเถอะ คิดว่าจะมีใครปล่อยให้คนรักของตัวเองถูกพ่อตาฆ่าตายมั้- อืม…. ก็ไม่ใช่ฉันคนนึงละกัน…”
ฉันพูดพลางกับยื่นมืออกไปคว้าอะไรบางอย่าง
“อย่าๆๆ อย่าจับตรงนั้นตอนนี้”
(บังอาจมาทำให้ฉันอารมณ์เสียซะได้นะเซนจิ~)
ฉันกระซิบไปที่ข้างใบหูของเขาเบาๆ พร้อมกับใช้มือลูบไล้ไปที่แขนของเซนจิ
“อ๊ากก!!”
หลังจากที่ใช้เวลาร่วมสามบวกสองชั่วโมงในการจัดการอารมณ์กันนิดหน่อยในที่สุดพวกเราก็เดินทางมาถึงแวนด์สักที
“กลับมาแล้ว~”
ทันทีที่ฉันเปิดประตูบ้านออกก็มีกลิ่นเครื่องเทศที่แสนคุ้นเคยหอมโชยออกมาเตะจมูกพร้อมกับเสียงตะหลิวที่กระทบกับกระทะอย่างเป็นจังหวะต่อเนื่อง
“ยินดีต้อนรับกลับค่ะอาจารย์”
เสียงอ่อนหวานของเด็กสาววัยรุ่นตะโกนลอดออกมาจากภายในห้องครัว
“ฉันเคยบอกแล้วนี่ว่าอย่าเรียกแบบนั้นนอกเวลางาน แล้วนั้นกำลังทำอะไรอยู่น่ะ”
“เต้าหู้ทรงเครื่องค่ะ นาคาซบอกว่าอยากลองกินฝีมือหนู”
พอฉันเปิดม่านไปดูที่ห้องครัวก็พบกับเด็กสาวที่มัดผมสีขาวขแงตัวเองเป็นทรงมงกุฎกำลังยืนสะบัดกระทะเหล็กอยู่หน้าเตาไฟอย่างขันแข็ง
“สะบัดได้คล่องกว่าเมื่อก่อนอีกนี่ ทำเสร็จแล้วแบ่งมาให้ฉันชิมมั่งล่ะ”
“ได้ค่ะ!”
ลิซาหันมายิ้มหวานให้ฉันก่อนที่เธอจะหันหน้ากลับไปผัดเต้าหู้ทรงเครื่องต่อ
“ว่าแต่นาคาซล่ะ? นึกว่าจะตัวติดกันซะอีก”
“น่าจะอ่านหนังสืออยู่ที่ห้องรับแขกมั้งคะ”
“งั้นหรอ”
หลังจากที่ฉันจัดข้าวของให้เข้าที่เสร็จแล้วก็ลองไปหานาคาซดูตามคำบอกเล่าของลิซา แต่พอฉันเปิดประตูห้องรับแขกเข้าไปดูก็กลับพบร่างของเด็กผู้ชายตัวน้อยๆ ที่นอนกอดหนังสือเล่มใหม่เอี่ยมอยู่บนเก้าอี้ยาวอย่างน่าเอ็นดูแทนที่จะเป็นเด็กน้อยที่พยาพยามทำตัวเป็นผู้ใหญ่แบบทุกทีแทน
แบบนี้สิค่อยทำตัวสมวัยหน่อย
“หืม….”
พอฉันใช้เมจซีกเกอร์ตรวจดูสนามเวทของนาคาซแล้วก็สังเกตได้ว่ามันรูปร่างที่แตกต่างจากรอบก่อนอย่างเห็นได้ชัด
สายหรอ?
ที่พลังเวทของนาคาซมีสายบางอย่างโยงออกมาเหมือนกับสายสะดือ? และฉันก็ไม่สามารถใช้มือสัมผัสมันได้ด้วยเช่นกัน
ฉันลองเดินไปตามสายนั่นจนมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องนอนของนาคาซ และที่อีกฝั่งของประตูบานนี้ก็มีเสียงของเครื่องดนตรีบางอย่างกำลังถูกบรรเลงอยู่
มีแต่เรื่องไม่ให้พักจริงๆ เลย…
กราตอน
ตึ้ง!
ฉันโพล่งเปิดประตูออกไปพร้อมกับชี้ปลายไม้เท้าไปขู่เจ้าของเสียงนั่น แต่พอใช้เมจซีกเกอร์กวาดสายตาดูภายในห้องแล้วก็กลับไม่พบร่องรอยของสายรยางค์นั่นเลย
หนีไปแล้วหรอ… ไม่ใช่… ยังสัมผัสได้ถึงตัวตนของมันอยู่
ฉันเปลี่ยนสายตาเป็นรูปแบบตรวจจับความร้อนแทนและใช้มันกวาดดูรอบห้องอีกครั้งอย่างถี่ถ้วน
นกหรอ?
ทันทีที่ฉันหามันเจอเจ้าสิ่งที่มีลักษณะคล้ายกับนกนั่นก็พยายามจะบินหนีออกไปทางหน้าต่างแต่ฉันก็สามารถใช้เวทสะกดมันให้ลงไปแนบกับพื้นได้ก่อนที่มันจะบินลอดออกหน้าต่างไป
“________ ______”
ฉันกลับไปใช้ดวงตาแบบปกติอีกครั้งเะื่อที่จะสังเกตรูปร่างของมันให้ชัดเจน ร่างกายของมันมีขนสีเขียวหยกคล้ายกับนกปกคลุมอยู่ทั่วตัว ปีกของมันมีขนาดใหญ่เกือบสองเท่าของร่างกาย กรงเล็บที่มือและเท้ายาวแหลมคมและดูอันตราย ภายในดวงตากลมโตสีดำของมันมีนัยตาสีม่วงอยู่ และมันก็กำลังจ้องตากับฉันโดยปราศจากซึ่งความกลัว
“ภูตงั้นหรอ… ทำไมอมนุษย์ถึงมาอยู่ในห้องของลูกชายฉันได้!”
“ต่อยก่อนค่อยถามเนี่ยนะ? นี่ฉันกำลังช่วยชีวิตลูกชายเธออยู่นะยะ!”
“อย่าเอาลูกฉันมาอ้าง!”
ฉันสั่งไม้เท้าให้เริ่มร่ายเวทอีกบทรอเผื่อกรณีที่มันพยายามจะหนี
“ก็เอาสิ…”
“อย่าหวังว่าฉันจะหลงกลพวกแกอีกรอบเลย”
ตึ่ง!
ตึ่ง!
โคร่มมม!
อยู่ๆ ก็มีเสียงเอะอะวุ่นวายดังมาจากชั้นล่าง
“เผลอเป็นไม่ได้เลยนะไอพวกนี้… ปลดเวทนี่ออกซะถ้ายังอยากให้ลูกชายเธอรอดอยู่”
“______ ____!”
เสียงร้องคำรามดังลั่นมาจากข้างนอกบ้านก่อนที่จะปรากฏร่างของสิ่งมีชีวิตหน้าตาประหลาดที่กำลังปีนกรอบหน้าต่างเข้ามาข้างใน แต่เพียงแค่เจ้าภูตนั่นยื่นมือออกไปสัมผัสอากาศมันก็ทำให้เจ้าสัตว์ประหลาดนั่นกระเด็นปลิวออกไป
ผสม
คอมมานด์ ราทิส
ฉันใช้ปลายไม้เท้าเคาะไปบนพื้นเพื่อทำให้ ทุกอย่างที่อยู่ในบ้านไร้น้ำหนักและลอยเค้วงขึ้นไปในอากาศก่อนที่จะควบคุมประตูและหน้าต่างทุกบานให้ปิดลงเพื่อกันไม่ให้เจ้าพวกนั้นจะเข้ามาเพิ่ม
“เกิดอะไรขึ้นรึป่าวคะพี่ลิเวีย!?”
เสียงของลิซาตะโกนขึ้นมาด้วยความตื่นตระหนก
“ลิซารีบไปเฝ้านาคาซไว้ซะ!”
“ค…ค่ะ!”
“เปล่าประโยชน์ สิ่งที่จะช่วยเธอได้มีแค่ฉันเท่านั้นแหละ”
“หมายความว่าไง”
“ไม่ใช่มนุษย์ทุกคนที่จะมองเห็นพวกฉันได้หรอกนะ~”
“ชิ”
ฉันตัดสินใจจับมันยัดเข้ากรงเงินและเดินลงไปที่ห้องรับแขกที่มีลิซาคอยคุ้มกันนาคาซอยู่
“เธอมองเห็นมันรึป่าว”
ฉันถามเด็กสาวผมขาวพร้อมกับยื่นกรงไปให้เธอดู
“เห็นอะไรหรอคะ?”
“งั้นหรอ… ช่างเถอะ แล้วกางสนามเวทไว้รึยัง”
“กางครอบตัวน้องไว้แล้วค่ะ…”
ลิซาตอบกลับด้วยความแคลงใจเล็กน้อย ซึ่งฉันเองก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายกับเธอยังไงดี
“มีพวกตัวที่เธอมองไม่เห็นหมายตานาคาซไว้ เมื่อกี้ก็เกือบปีนหน้าต่างเข้ามาได้ตัวนึง ส่วนอีกตัวนึงก็อยู่ในกรงนี่”
ฉันอธิบายให้เธอฟังระหว่างใช้สายตาตรวจจับความร้อนสอดส่องไปรอบห้อง
“กับอีแค่เรียกว่าภูตหรือเพื่อนบ้านนี่มันจะยากอะไรนักหนาห๊ะ~?”
(ถ้าฉันไม่ได้สั่งให้พูดก็หุบปากไปซะ)
“เสียงหรอคะ?”
“ตัวที่เธอมองไม่เห็นไง แต่ดูเหมือนว่าจะได้ยินเสียงมันอยู่สินะ”
“ใช่ค่ะ”
“________!”
เงาสีขาวโผล่ออกมาจากกล่องไม้ที่ลอยมาอยู่ข้างหลังของลิซาและมันก็ทำท่าเหมือนกำลังจะกัดร่างของเธอแต่ก่อนที่ฉันจะได้ร่ายเวทออกไปสกัด ร่างของมันก็แตกกระจายออกกลายเป็นควันสีขาวไปในพริบตา
“ถึงบอกไงว่าเธอต้องพึ่งฉัน~”
“หุบ-ปาก!”
ฉันร่ายเวทและเคาะไม้เท้าลงไปที่พื้นอีกครั้งหนึ่ง และทันใดนั้นพวกมันก็โผล่ออกมากระโจนเข้าไปโจมตีลิซา แต่ดูเหมือนว่าตัวเธอเองก็จะสามารถรับรู้ถึงภัยคุกคามที่มุ่งเข้ามาหาเธอได้แม้จะมองไม่เห็น
เด็กสาวชักดาบยาวของตนออกมาฟันจนร่างของพวกมันแหลกเป็นเสี่ยงๆ แต่ไม่มันไรเศษซากที่กระจายออกก็สามารถรวมร่างกลับมาได้และพุ่งเข้าไปโจมตีลิซาอีกครั้ง
อวัยวะส่วนที่คล้ายแขนของพวกมันบิดโค้งและเบี่ยงย้อนกลับไปทำร้ายตัวพวกมันเอง และในขณะที่เจ้าสัตว์ประหลาดพวกนั้นกำลังสับสนกับสิ่งที่พึ่งเกิดขึ้นฉันก็ฉวยโอกาสเปิดหน้าต่างขึ้นแล้วร่ายเวทผลักพวกมันกระเด็นออกไปจากบ้านของฉัน
“เลนส์ความโน้มถ่วงงั้นหรอ~”
พอรู้ตัวอีกทีก็เสียงของภูตนั่นก็ดังมาจากตรงที่นาคาซนอนอยู่แทนที่จะเป็นจากในกรงเงินที่อยู่ในมือของฉัน
“ตายจริง~ รู้ตัวแล้วงั้นหรอ~”
“ได้ยังไงกัน”
“ฉันต่างหากที่ต้องถามว่าเธอคิดยังไงถึงจับฉันยัดกรงที่ทำจากแร่เงินต่างหาก? อย่าบอกนะว่าพวกมนุษย์คิดว่าโลหะทรานซิชันสามารถทำให้พวกฉันอ่อนแอได้น่ะ~ ขายขำสุดๆ~ ฮึๆ”
ถึงจะเป็นแบบนั้นแต่ก็ไม่น่าฝ่าเวทมนตร์ของฉันกับสนามเวทของลิซาได้นี่ นี่ฉันทำพลาดตรงไหนกัน?
“ไม่ต้องสงสัยอะไรมากหรอก~ ทั้งหมดมันก็แค่ว่าฉันเก่งเกินไปก็เท่านั้นเอง!”
ลมกระโชกพวยพุ่งกระจายไปทั่วทั้งห้องจนร่างของลิซาเกือบปลิวไปติดกับกำแพงห้อง
“ออกไปให้ห่างจากลูกฉันเลยนะยะ!”
ฉันร่ายเวทออกไปเพื่อสกัดมัน แต่ทันทีที่เวทมนตร์ของฉันสัมผัสกับร่างกายของภูตนั่นมันกลับเบี่ยงออกไปในทิศทางที่ผิดธรรมชาติในระหว่างที่สายรยางค์เวทของมันกำลังถูกต่อเข้าไปที่พลังเวทของนาคาซอีกครั้งโดยที่ฉันทำอะไรแทบไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
“อันตรายๆ~ ทีหลังไม่เล่นท่ายากแล้วดีกว่า~ นี่ถ้าไม่ได้เธอช่วยไว้นี่ฉันคงแย่แน่ๆ เลยนะเนี่ยแม่สาวน้อย~”
มันใช้ดวงตาสีม่วงกลมโตมองไปยังลิซาที่กำลังพยุงร่างของตัวเองขึ้นมา
“ออกไปให้ห่างจากนาคาซนะ!”
ทันทีที่ได้สติลิซาก็ตะโกนลั่นออกมาก่อนที่จะร่ายเวทลงไปบนดาบและวิ่งเข้าไปฟันร่างของมันด้วยความเร็วพริบตา แต่ดูเหมือนว่ากระบวนดาบของเธอจะไม่สามารถสร้างบาดแผลให้ภูตนั่นได้เลยแม้แต่นิดเดียว
“อ๊ะ อ๊ะ อา~ อย่าตื่นตูม~ ชีวิตของเด็กคนนี้อยู่ในกำมือของฉันนะจ๊-”
ตู้ม!