Telesma - ตอนที่ 16
“แหม~ดูหน้าเครียดเชียวนะหนุ่มน้อย~”
“ไม่เครียดสิแปลก”
ตอนนี้ฉันขนกล่องขนาดยักษ์นั่นมาไว้ที่ห้องของตัวเองแล้ว และตอนนี้ฉันก็กำลังใช้เวลาที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดในการแกะปริศนาของกล่องไม้ขนาดเล็กอีกกล่องนี่อยู่พร้อมกับมีเซรที่ไม่รู้ว่าหายหัวไปไหนมาแต่ตอนนี้ก็โผล่มารบกวนสมาธิฉันอยู่
“ให้ช่วยมั้ยจ๊ะ~”
“ไม่ล่ะ ขอบคุณ”
“หยิ่งยโสเหมือนผู้หญิงคนนั้นเลยน้า~”
อืม… ถ้ากดตรงนี้อีกจุดนึงมันก็จะเด้งออกแบบนี้ และตรงที่เด้งออกมาก็มีรูเหมือนต้องหาอะไรมาใส่… แล้วไอของที่ต้องใส่มันอยู่ไหนล่ะเนี่ย…
“ลองรื้อในกล่องใหญ่นี่ดูรึยังล่ะ?~”
เซรที่ดูเหมือนจะอ่านความคิดฉันออกได้เสนอแนวคิดที่น่าสนใจขึ้นมา
“ทำไมถึงคิดว่าฉันต้องรื้อมันล่ะ”
“แล้วเธอมีวิธีแก้ปัญหาแบบอื่นมั้ยล่ะ?~”
“เฮ้อ~ รู้มากจริง”
ฉันลุกขึ้นจากเก้าอี้พร้อมกับเดินไปยืนอยู่ที่หน้ากล่องยักษ์สีดำสนิทที่มีลวดลายสีทองประดับอนู่ประปราย
จริงๆ ก็ไม่ค่อยอยากรื้อของสวยๆ แบบนี้หรอกแต่ทำไงได้ละ เพื่ออนาคตมันก็ต้องทำแหละนะ
พอคิดแบบนั้นฉันก็ติดสินใจลงมือลูบคลำกล่องหรรษานี่อยู่สักพักจนกระทั่งนิ้วชี้ไปแตะโดนกับอะไรบางอย่างและทำให้สิ่งที่ดูเหมือนล้อฐานปรากฎออกมา ถ้าเป็นเวลาปกติก็คงตื่นเต้นอยู่หรอก แต่ไม่ใช่กับเวลาแบบนี้แน่
ที่น่าสงสัยคือต่อให้กล่องนี้จะเอาของที่บรรจุอยู่ข้างในออกมาให้หมดมันก็ยังคงหนักอยู่ที่ราวๆ สิบกิโล คำถามคืออะไรที่ทำให้มันหนักได้ขนาดนี้ ต่อให้รวมกลไกล้อและด้ามจับที่ซ่อนอยู่อย่างมากสุดมันก็ไม่น่าหนักได้ถึงห้ากิโลดัวยซ้ำ
อืม… น่าสนใจ
“อั่ก!…”
“_______”
“นาคาซ!”
อยู่ๆ ตามันก็รู้สึกร้อนผ่าวแล้วก็ได้ยินเสียงอู้อี้ดังขึ้นมาใกล้หู เมื่อกี้มันอะไรกัน…
“นาคาซ! ได้ยินที่ฉันพูดรึป่าว!”
ฉันยกมือขึ้นเพื่อเป็นการตอบเซรว่ายังได้ยินอยู่ขณะเดียวกันก็พยุงร่างของตัวเองขึ้นไปนั่งบนเตียง
“เป็นอะไรไปอยู่ๆ ก็…”
“ไม่รู้สิ…”
“ไหวรึป่าว~ ถ้าไม่ไหวฉันไปบอกยัยนั่นให้ได้นะ~”
“ไหว… ไหว… ขอเวลาสักแปปนึง…”
เซรบินไปคว้ากระดิ่งที่ถูกวางไว้บนโต๊ะมามอบให้ฉันพร้อมกับขยายร่างใหญ่ขึ้นมานั่งอยู่ข้างๆ
“คือ?”
ฉันเงยหน้าขึ้นไปมองเซรที่ตอนนี้มีขนาดร่างกายที่สูงใหญ่เทียบเคียงกับพี่ลิซา
“เถอะน่า~ ลองดมนี่ดู~”
เซรบิดและดึงส่วนที่เหมือนจะเป็นฝาออกเล็กน้อยเผยให้เห็นรูขนาดเล็กที่เจาะอยู่รอบและเมื่อกลิ่นหอมของสมุนไพรได้ไหลเวียนเข้าไปสวนเข้าไปในจมูกของฉันมันก็ทำให้ดวงตาที่กำลังร้อนผ่าวสงบลงไปโดยปริยาย
“ได้ไงกัน…”
“มันมีฤทธิ์กล่อมประสาทน่ะ~”
“อเนกประสงค์ไปมั้ยนั่น”
“นี่แค่เศษเสี้ยวของวิทยาการจากอารยธรรมระดับสองนะ~”
เซรพูดโอ้อวดอย่างภูมิใจ แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ไม่เข้าใจความหมายที่เธอพูดและไม่ได้ตอบอะไรกลับไปนอกจากความเงียบ หลักๆ คือต้องประมวลผลว่าเมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น ซึ่งคำตอบของมันกลับชวนหงุดหงิดมากอย่างคำว่า”ไม่รู้”
“เมื่อกี้ตามันร้อนและปวดมากอย่างกับจะหลุดออกมาจากเบ้าเลย”
“เธอควรไปบอกแม่อสรพิษนั่นนะ ไม่ใช่ฉัน~”
น้ำเสียงที่พลิกเป็นความจริงจังในพริบตานั่นทำให้ฉันรู้สึกประหลาดใจนิดหน่อย
“เธอไม่รู้หรอกว่าครั้งสุดท้ายที่ฉันปรึกษาแม่เรื่องตามันกลายเป็นเรื่องใหญ่ขนาดไหนน่ะ”
“แล้วยังไงล่ะ? เธอจะปล่อยไว้แบบนี้น่ะหรอ~ สุดท้ายถ้ามันเป็นหนักก็ต้องไปขอความช่วยเหลือจากแม่นั่นอยู่ดีนี่?~”
“อืม… ไว้จบเรื่องนี้ค่อยบอกแม่ก็แล้วกัน”
ฉันไม่อยากให้แม่เป็นห่วงเกินความจำเป็น เพราะนอกจากมันจะวุ่นวายและเล่นใหญ่แล้วแม่ก็ยังต้องทั้งทำงานจิปาถะต่างๆ จากการบริหารและการวิจัยอีก
“พูดแล้วนะ~”
“รู้แล้วน่า”
ฉันนั่งทำสมาธิอยู่สักพักแล้วค่อยลุกขึ้นและกลับมายืนอยู่ที่ข้างหน้ากล่องนี่อีกครั้งพร้อมกับเริ่มคิดหาวิธีรื้อมันอย่างเป็นระเบียบ
________________________________
“ในที่สุด!”
หลังจากใช้เวลาจนฟ้ามืดในที่สุดฉ้นก็เปิดไอกล่องมหัศจรรย์นี่ออกได้ซักที ฉันตัดสินเปิดฝาของมันออกมาอย่างไม่รีรอและสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าตอนนี้มันก็ชวนสับสนจนถึงกับขมวดคิ้ว
“กรงเล็บหรอ?”
ในกล่องไม้ที่ถูกบุด้วยผ้ากำมะหยี่สีแดงเลือดอย่างดี ที่ตรงกลางของมันกำลังบรรจุสิ่งที่มีหน้าตาคล้ายเขี้ยวสัตว์? หรือเขา? หรือกรงเล็บ? ที่มีรูปร่างบิดเบี้ยวจนเหมือนเกลียวที่มีสีดำเงาสะท้อนแสงตะเกียงอยู่ ซึ่งพอดูดีๆ มันก็มีสีออกม่วงนิดหน่อย
นี่น่ะหรอสัญลักษณ์การมีอยู่ของตระกูลโคคุจา
“หืม~”
เซรที่ดูจะสนใจสิ่งนี้ขึ้นมารีบบินมาเกาะที่ไหลของฉันพร้อมกับชะโงกหน้าออกไปเหมือนพยายามจะมองมันให้ชัดเจนก่อนที่จะหันมาจ้องที่ใบหน้าของฉันตาเป็นมัน
“อะไรหรอ?”
“อืม… ไม่เข้าใจนิดหน่อย~ แต่เริ่มงงมากๆ…ล่ะมั้ง?~”
ก็ไม่รู้ความหมายที่เซรพูดหรอก แต่ดูเหมือนว่าเซรจะเข้าใจบางอย่างที่ตัวฉันเองก็ยังไม่เข้าใจ
ฉันหยิบมันขึ้นมาตรวจสอบดู มันมีขนาดที่ใหญ่กว่าฝ่ามือทั้งสองข้างของฉันต่อกัน และพอหมุนดูดีๆ แล้วไม่ว่ามุมไหนมันก็มีรูปร่างที่ดูไม่น่าจะเป็นของชิ้นเดียวกันได้เลยสักมุม จะว่าไงดีล่ะ รู้สึกเหมือนมันบิดเบี้ยวอยู่ตลอดเวลาล่ะมั้ง?
“ขอฉันจับมันหน่อยสิ~”
“จะบ้าหรอ”
“เถอะน่า~ ฉันทำอะไรไม่ได้หรอกเพราะยังไงก็ติดเรื่องสัญญานั่นอยู่~”
“ก็เพราะติดสัญญาไงถึงให้จับไม่ได้ เกิดสัญญาโดนฉีกขึ้นมาแล้วเธอรู้ข้อมูลของเจ้าสิ่งนี้มากกว่าฉัน ฉันก็ซวยสิ”
“ถ้ามันฉีกง่ายแบบนั้นราชาของเราก็คงหาวิธีอยู่หรอก แต่เล่นฝากสำเนาไว้กับศัตรูคู่อาฆาตก็อย่าหวังได้เห็นเอกสารตัวจริงเป็นครั้งที่สองเลย~”
“ยังไงพวกฉันก็มีข้อมูลเกี่ยวกับพวกเธอน้อยเกินไป ยิ่งแม่บอกว่ามันเกี่ยวเนื่องถึงการมีอยู่ของตระกูลก็แสดงว่ามันสำคัญมากยิ่งแล้วใหญ่เลย”
“เฮ้อ~ แบบนี้อีกหน่อยเธอจะมีปัญหาเรื่องการเชื่อใจผู้คนเอานะ~”
“ก่อนจะว่าคนอื่นช่วยทำตัวให้มันน่าไว้ใจก่อนเถอะ แวบไปแวบมาอยู่นั่นแหละ”
“ฉันก็ไม่ได้ไปไหนไกลสักหน่อย! ช่วยดูด้วยว่าแค่ฉันโผล่หัวออกมาแม่เธอกับยัยเด็กหัวขาวนั่นก็แยกเขี้ยวใส่แล้วย่ะ!”
“ยังไงก็เถอะ ฉันไม่ปล่อยให้เธอแตะมันเด็ดขาด”
พอพูดจบประโยคฉันก็นำมันกลับไปวางไว้ที่เดิมพร้อมปิดฝากล่อง และเมื่อตัดสินใจได้ว่าจะเก็บมันไว้ที่ไหนฉันก็รีบย่ำเท้าลงบันไดมายังชั้นล่างเพื่อมาหาแม่ที่กำลังยืนจัดยาอยู่ที่หน้าร้าน
“แม่ครับ”
แม่หันมาพร้อมกับตอนที่ฉันยื่นกล่องออกไปให้
“เปิดได้แล้วหรอ”
“ครับ”
“ไม่เบาเลยนะเนี่ย แค่ครึ่งวันก็ปิดได้แล้ว”
แม่เอามือมาลูบที่หัวของฉันเบาๆ พร้อมกับแสยะยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนที่จะก้มตัวลงมาให้ความสูงของพวกเราใกล้เคียงกันพร้อมกับเริ่มเอ่ยปากถาม
“แล้วธุระคืออะไรล่ะ ลูกคงไม่ได้แค่มาอวดเฉยๆ หรอกใช่มั้ย”
“ครับ… ผมอยากจะฝากมันไว้กับแม่น่ะครับ”
แม่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเป็นการแสดงความสงสัยออกมา
“แบบว่า พอเซรเห็นสิ่งที่อยู่ข้างในก็แสดงท่าทีสนใจออกมาแบบผิดปกติและก็เรียกร้องขอสัมผัสกับมันน่ะครับ ยิ่งพอแม่บอกว่ามันเกี่ยวกับการมีอยู่ของตระกูลเราแล้วผมเลยยิ่งไม่อยากให้เซรสัมผัสกับสิ่งนี้น่ะครับ”
อยู่ๆ แม่ก็ยิ้มมุมปากขึ้นมาและก็หัวเราะออกมาเบาๆ พร้อมกับส่งสายตาเอ็นดูมาให้แบบไม่มีเหตุผลจนทำเอาฉันรู้สึกสับสน
“เอ๊ะ? ผม…”
“ป่าว ลูกไม่ได้ทำอะไรผิดหรอก แค่ไม่นึกว่าลูกจะคิดเยอะขนาดนี้น่ะ”
“คิดเยอะหรอครับ?”
“ที่บอกว่ามันเป็นสัญลักษณ์การมีอยู่ของตระกูลเราแม่หมายถึงว่ามันคือต้นเหตุที่ทำให้ตระกูลเรากำเนิดขึ้นเฉยๆ น่ะ ไม่ได้เป็นจุดอ่อนหรืออะไรร้ายแรงหรอก แต่เอาเถอะแค่รู้ว่าลูกรู้จักระวังตัวแม่ก็ดีใจแล้ว”
แม่พูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้มและน้ำเสียงที่ฟังดูอ่อนโยนกว่าเมื่อเช้ามากราวกับเป็นคนละคน
“แล้วที่บอกว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้ตระกูลเราถือกำเนิดนี่หมายความว่ายังไงหรอครับ?”
“ลูกรู้ใช่มั้ยว่าท่านทวดเคยไปทำอะไรมาน่ะ”
ท่านทวดหรอ? ถ้าเป็นวีรกรรมเด่นๆ ที่รู้กันในตระกูลก็
“สังหารอสรพิษแปดเศียรหรอครับ”
“ถูกต้อง และสิ่งที่อยู่ในกล่องนี้ก็คือเขี้ยวของมันไงล่ะ ตั้งแต่สมัยรุ่นแม่แล้วที่ท่านมักจะให้เอาเจ้านี่มาทำแกนอุปกรณ์เวทน่ะ”
แม่พูดพร้อมกับใช้ปลายนิ้วชี้มายังกล่องที่อยู่ในมือทั้งสองข้างของฉัน
ไม่คิดเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ในชีวิตด้วย มันทั้งทำให้ฉันรู้สึกดีใจและสับสนในเวลาเดียวกันเลย
“แต่ถ้าลูกไม่สบายใจจริงๆ ก็ฝากไว้กับแม่ก็ได้นะ”
“ยินดีครับ”
ฉันยื่นกล่องไปให้แม่และเดินกลับขึ้นมายังข้างบนห้องที่มีเซรกำลังนั่งอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือของฉัน
“ดูเหมือนว่าเธอจะพลาดของเด็ดไปนะ~”
เซรกล่าวพร้อมใช้กรงเล็บที่คีบกระดาษแผ่นหนึ่งโบกสบัดไปมาเหมือนเป็นการใบ้ฉันว่าของสำคัญที่ว่าคืออะไร
“ไปเอามาจากไหน”
“ในกล่องนั่นไง~ เป็นคนรื้อเองแท้ๆ แต่กลับไม่รู้ดรื่องเลยงั้นหรอ”
ภูตสาวอธิบายพร้อมกับใช้ดวงตาของตัวเองเหลือบมองไปยังซากกล่องที่กระจัดกระจายรอการประกอบกลับอยู่
ฉันเนี่ยนะพลาด?… แต่ก็ไม่แน่แฮะยิ่งเวลาใส่ใจกับอะไรสักอย่างเป็นพิเศษ
“งั้นก็เอามาสิ”
ในจังหวะที่ฉันยื่นมือออกไปขว้ากระดาษแผ่นนั้นอยู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนมือมันหุบกลับมาเองซะงั้น
“อะอะอา~ ข้อมูลแลกข้อมูลจ๊ะ~”
เซรใช้นิ้วจากมืออีกข้างกระดอกไปมาพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงกวนประสาทนิดๆ
“เฮ้อ~ ถ้าไม่ใช่เรื่องที่ลึกมากนะ”
“สรุปแล้วเมื่อกี้มันคืออะไรกัน~”
“เธอก็น่าจะได้ยินนี่ อย่าบอกนะว่าอยู่ๆ ก็แกล้งหูหนวกขึ้นมาน่ะ”
“ฉันไม่ได้หมายถึงเจ้าเขี้ยวนั่น~ ฉันหมายถึงเจ้าของเก่ามันต่างหาก~”
เจ้าของเก่า? ท่านทวดน่ะหรอ? จะไปอยากรู้ทำไมกัน
“ฉันหมายถึงเจ้าอสรพิษแปดเศียรนั้นต่างหากเล่า!~”
“มาถามคนรุ่นสามร้อยปีให้หลังอย่างฉันก็ไม่รู้ว่าจะตอบยังไงหรอกนะ!”
“เถอะน่า เอาแบบที่รู้คร่าวๆ ก็ได้ ช่วยเล่าให้ฉันฟังทีเถอะ~”
“เอาแต่ใจชะมัด…”
ฉันสูดลมหายใจเข้าเพื่อทำให้จอตใจปลอดโปร่งก่อนที่จะเริ่มดล่าเรื่องที่เคยอ่านเจอและแม่เคยเล่าให้ฟัง
“ว่ากันว่าสมัยก่อน ณ ดินแดนตะวันออกไกลมันเคยมีเกาะที่ถูกปกครองโดยจ้าวอสรพิษแปดเศียรที่มีร่างกายใหญ่โตราวกับภูเขาอยู่ มันคอยให้ผู้คนที่อาศัยอยู่แถวนั้นส่งลูกสาวของตนมาเป็นเครื่องบรรณาการในทุกๆ ปีเพื่อแลกกับการได้ใช้ชีวิตอยู่ต่ออย่างสงบสุข จนกระทั่งวันเวลาผ่านไปนานหลายสิบปีเด็กสาวก็ได้ล้มตายกันไปนับไม่ถ้วนจากการสะงเวยชีวิตให้กับจ้าวอสรพิษตนนั้น จนกระทั่งมาถึงคิวของเด็กสาวคนสุดท้ายของที่นั่น เธอตระหนักรู้ได้ถึงชะตากรรมของตนเองเป็นอย่างดีจึงฝึกฝนร่างกายนานนับปีไว้เพื่อการนี้ และเมื่อถึงเวลาเด็กสาวก็ได้เดินทางไปเป็นเครื่องบรรณาการให้กับจ้าวอสรพิษแปดเศียรพร้อมกับดาบที่ผู้เป็นบิดาหล่อหลอมขึ้นมาให้”
“สุดท้ายเด็กสาวคนนั้นก็สามารถเอาชนะจ้าวอสรพิษนั่นได้ว่างั้น~”
เซรพูดแทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่ายราวกับเคยได้ยินเรื่องแนวๆ นี้มามาก
“ตรงกันข้ามเลย ความห้าวหาญของเด็กสาวถูกกลืนกินด้วยความแข็งแกร่งของอสรพิษตนนั้น สุดท้ายเธอก็ได้หายสาปสูญไปเป็นเวลาหลายปีก่อนที่จะกลับมาพร้อมกับกองกำลังจากแดนไกลเพื่อมาเอาชนะมัน ซึ่งแน่อนนว่าแค่กองเรือกับพลทหารหลักพันไม่สามารถชนะสิางมีชีงิตที่มีน่างกายใหญ่โตเท่าภูเขาได้หรอก ผลลัพธ์ที่ได้ออกมาจึงเละไม่เป็นท่าอีกรอบและหลังจากนั้นก็ไม่มีบันทึกอะไรอีกเลยนอกจากว่าหญิงสาวผู้นั้นสามารถกำจัดจ้าวอสรพิษแปดเศียรได้สำหรับและเริ่มก่อตั้งตระกูลแห่งอสรพิษขึ้นก็เท่านั้นเอง”
เซรที่ได้ฟังเรื่องเล่าแสดงสีหน้าผิดหวังออกมาเล็กน้อยก่อนที่จะเริ่มอ้าปากอีกครั้ง
“ดูเรื่องมันเบาบางมากซะจนเหมือนนิทานก่อนนอนเลย~ แถมแทบไม่มีข้อมูลอะไรที่ฉันต้องการเลยสักอย่าง~”
“ก็ไม่แปลกหรอก เพราะคนที่รู้เรื่องราวจริงๆ ก็ตายกันไปหมดแล้วด้วย ตอนนี้ก็เหลือแค่ท่านทวดเท่านั้นแหละที่รู้ความจริง”
“เธอเองก็ดูจะไม่ได้สนใจมันเท่าไหร่เลยนะ~ ทั้งที่เป็นเรื่องของการก่อตั้งตระกูลแท้ๆ~”
“ฉันก็แค่เรียนรู้ให้พอรู้สึกชื่นชมท่านก็เท่านั้นเอง เพราะยังไงนั่นมันก็ไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้โคคุจาเถลิงอำนาจขึ้นมาเป็นมหาวีรชนแห่งทวีปกลางและเป็นหนึ่งในผู้นำประเทศอย่างอาณาจักรเวทมนตร์อยู่ดี”
ภูตสายลมยื่นกระดาษแผ่นนั้นมาให้ฉันตามข้อตกลงอย่างว่าง่าย แต่พอฉันจะดึงมันออกมาก็กลับรู้สึกได้ถึงแรงหนีบมหาศาลจากปลายนิ้วของเซร
“อะไรอีกเล่า”
ดวงตาสีม่วงหรี่ลงจนเกือบแนบสนิท เซรจ้องมองมาที่ฉันพร้อมกับส่งเสียงฟุดฟิดออกมาผ่านทางจมูกราวกับพยายามดมกลิ่น และเมื่อพอใจแล้วเซรก็ปลดปลายนิ้วออกจากกระดาษอย่างง่ายดาย
“เพื่อ!?”
“ก็แค่คิดว่ากลิ่นของเธอมันเหมือนเขี้ยวในกล่องเมื่อกี้น่ะ~”
“แหงล่ะก็ฉันพึ่งจับมันมาจะมีกลิ่นติดก็คงไม่แปลก”
ฉันกางแผ่นกระดาษออกอย่างไม่สนใจคำพูดของเซรหลังจากนั้นมากนัก ภาษาที่ถูกเขียนนี่เป็นภาษายามาโตะอันเป็นภาษาถิ่นของแใ่และตระกูลของเรา โดยเนื้อความแล้วก็เป็นการกล่าวยินดีจากท่านตาและก็มีหลุดบ่นเรื่องแม่ออกมานิดหน่อย แต่มันก็ทำให้ฉันรู้ได้กระจ่างสักทีว่าทำไมท่านไม่เคยติดต่อมาเลยตลอดช่วงเวลามานี้ แต่มันก็ได้สร้างคำถามใหม่ขึ้นมาด้วยเช่นกัน คือทำไมแม่ถึงกีดกันการติดต่อกับที่เกาะกันล่ะ ดูจากอริยาบทที่ท่านตาเขียนมาก็ไม่สัมผัสได้ถึงความร้าวฉานระหว่างแม่กับท่านตาสักนิดเลยด้วย น่าแปลกชะมัด
เอาเถอะถึงเวลาค่อยถามแม่ก็แล้วกัน เพราะแม่เองก็คงมีเหตุผลของแม่แหละนะตอนนี้สิ่งที่ควรทำที่สุดก็คือการนอนออมแรงเพื่อ…เช้า…วัน…ใหม่…
เฮ้อ~ ตั้งแต่ตอนนั้นการนอนมันก็กลายเป็นเรื่องทรมาณใจไปเลย อยากให้คืนนี้พี่ลิซามานอนด้วยจัง
__________________________________