Telesma - ตอนที่ 4
“เวกเตอร์….”
“นาคาซ”
“….ทฤษฎี…”
“นาคาซ!!”
“หลักการ….”
“…คำนวณ…..”
“นาคาซ!!! ถ้ายังไม่ตื่นฉันจะตบหน้านายแล้วนะ”
“อืม…โลล่าหรอ” พอฉันลืมตาขึ้นก็พบโลล่าที่ยืนอยู่ข้างหน้าพร้อมกับง้างมือเหมือนกำลังจะตบหน้าฉัน
“ครั้งแรกของฉันมันน่าเบื่อจนต้องหลับเลยสินะ” เด็กสาวพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“อ่า น่าเบื่อสุดๆ ร่ายเวทซะใหญ่โตสุดท้ายก็โดนผู้คุมสอบสวนกลับจนเสมอ คนอย่างเธอน่ะมันยิ่งกว่าคำว่าอ่อนหัดซะอีก”
“งั้นก็หมายความว่านายรู้ว่าฉันทำอะไรงั้นหรอ”
“แหงสิ ก็ฉันแค่พักสายตานี่ แต่ก็ถือว่าทำได้ดีสำหรับครั้งแรกล่ะนะ” ถึงมันจะรู้สึกว่าหลับไปนานมากก็เถอะ
“จริงหรอ!!” เด็กสาวพูดด้วยน้ำเสียงดีใจ
“อ่า แต่ก็ยังต้องปรับปรุงหลายจุดแหละนะ”
“งั้น หลังจากนี้นายก็มาเป็นคู่ซ้อมให้ฉันนะ” โลล่ายื่นหน้าเข้ามาใกล้ฉันพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงรื่นรม
“ก็เอาสิ” ยังไงฉันก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรอยู่แล้วแหละนะ
“สัญญาแล้วนะ!”
“อ่า สาบานด้วยตาคู่นี้เลย”
“แต่จะว่าไป คนผ่านสอบนี่ไม่น้อยไปหน่อยรึไง” พอสังเกตดูรอบๆ ก็เหลือนักเวทฝึกหัดไม่ถึง 20คนด้วยซ้ำ
“ก็นะ พวกที่ผ่านก็มีแต่คนที่เสมอไม่ก็ชนะผู้คุมสอบได้แบบพวกเรานี่แหละนะ” โลล่าพูดด้วยความภูมิใจ
“งั้นหรอ”
ฉันคงจะประเมินคนรุ่นเดียวกันสูงไปจริงๆ สินะ เอาเถอะอย่างน้อยก็มียัยนี่ที่เทียบเท่าหรือเหนือกว่าเราแหละนะ
[เอาล่ะหลังจากนี้เป็นการกินอาหารเที่ยง ขอให้ผู้เข้าสอบทุกคนไปพบกันที่โรงอาหารภายในเวลาที่กำหนดด้วย]
เที่ยงแล้วงั้นหรอ แค่สอบรอบแรกก็กอนเวลาขนาดนี้แล้วหรอเนี่ย
“ไปกันเถอะ ฉันอยากเดินเล่นรอบๆ กรมทหารสักหน่อย นายไปเดินเล่นกับฉันได้มั้ย”
“ถ้าไม่นานมากก็พอได้อยู่”
เพราะว่าฉันเข้าออกที่นี่บ่อยก็เลยเป็นคนนำโลล่าแทน แวนด์ถือเป็นเมืองที่มีประชากรมากเป็นอันดับต้นๆ ของอาณาจักรเวทมนตร์ ก็เลยทำให้สถานที่ราชการหลายแห่งมีขนาดใหญ่พอสำหรับรองผู้คนจำนวนมากด้วย สำหรับฉันแล้วกรมทหารของแวนด์ถือเป็นอาคารที่ใหญ่และมีรูปแบบของสถาปัตยกรรมที่สวยงามและมีเอกลักษณ์ที่โดเด่นอย่างมากเนื่องจากมันถูกสร้างโดยการผสมผสานด้วยวัฒนธรรมของ 3อาณาจักรกลางเข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเดินรอบที่นี่กี่ครั้งก็ไม่เคยเบื่อเลยจริงๆ
พวกเราเดินมาเรื่อยๆ จนกระทั่งฉันเห็นเด็กอีกกลุ่มนึงที่เดินอยู่ที่ฝั่งตรงข้ามของทางเดิน สีหน้าของพวกเขาทั้งหม่นหมองและเครื่องเครียดผิดกับพวกเราอย่างเห็นได้ชัด
“นี่ยัยแสบ กลุ่มตรงนั้นคืออะไร”
“ไหนๆ” โลล่าหันไปมองตามทางที่ฉันชี้
“อ๋อ…พวกที่สอบตกน่ะ พวกเราไม่จำเป็นต้องสนใจก็ได้”
พอจบประโยคโลล่าก็หยิบนาฬิกาพกขึ้นมาดูเวลา ดูเหมือนว่ายัยนี่ก็พกนาฬิกาด้วยสินะเรือนนึงก็แพงเอาเรื่องอยู่นะนั่น
“ใกล้ถึงเวลาแล้วซิ เรารีบไปกันเถอะฉันเริ่มหิวแล้วด้วย”
“เอาสิ ฉันก็เริ่มหิวแล้วเหมือนกัน”
ตัวฉันเองก็เคยกินอาหารของที่นี่อยู่หลายครั้ง สำหรับฉันแล้วอาหารที่นี่ถือว่าอร่อยมากเลย แถมมีคุณสมบัติทางโภชนาการสูงด้วย ราคาก็ไม่แพงอีกต่างหาก ปัญหาเดียวคงจะมีแค่ว่าโลล่าสามารถกินอาหารของสามัญชนได้รึป่าวนี่สิ
“เห๋~ ไม่คิดว่าโรงอาหารของที่นี่จะกว้างขนาดนี้นะเนี่ย” โลล่ากล่าวด้วยสีหน้าตื่นตารางกับว่าเคยเห็นที่นี่ครั้งแรก
“เพราะที่นี่เป็นแหล่งรวมตัวของทหารจากทั้งเมืองและนักผจญภัยที่รับงานเฝ้าระวังเขตชายแดน แถมที่นี่ยังเป็นศูนย์คัดกรองคนเข้าเมืองอีก ไม่แปลกนักหรอกที่โรงอาหารของที่จะมีขนาดค่อนข้างใหญ่น่ะ”
“ตั้งแต่เมื่อกี้แล้วฉันรู้สึกว่านายนี่รู้จักที่นี่ดีจังเลยนะ ทั้งการเดินที่ดูจะคุ้นชินสถานที่ทั้งรายละเอียดต่างๆ ที่คนปกติไม่น่าจะสนใจกัน ” โลล่าหันมาถามฉันด้วยสายตาที่เต้มไปด้วยความสงสัย
“ก็นะ ยังไงฉันก็เข้าออกที่นี่ต่ำๆ เดือนละครั้งก็เลยชินกับสถานที่นั่นแหละน่ะ”
“นายนี่ดีจริงๆ เลยน้า~ ได้ออกไปไหนต่อไหนตามใจชอบได้เนี่ย ผิดกับฉันวันๆ อยู่ได้แต่ในบ้านได้แต่เรียนแล้วก็ออกงานสังคม น่าเบื่อชะมัด เฮ้อ~”
“ใครๆ มันก็มีปัญหาในแบบของตัวเองทั้งนั้น ตัวฉันเองก็มีปัญหาในแบบของฉันเหมือนกันนั่นแหละ”
“….” เด็กสาวฟุบตัวลงบนโต๊ะและไร้ซึ่งการตอบรับ ดูเหมือนว่าบ้านของเธอจะกดดันเรื่องความเป็นคุณหนูเกินไปหน่อยสินะ เอาเถอะขอฉันแกล้งหน่อยก็แล้วกัน
“โอ๊ย! นี่นายทำบ้าอะไรเนี่ย”
“ก็แค่ดีดหน้าผากเอง อย่าฟุบตัวบนโต๊ะอาหารสิจะให้เขาวางอาหารบนหัวเธอรึไง” โลล่าเชิดหน้าหนีพร้อมกับสีหน้าที่แดงนิดหน่อย
หลังจากพวกเรานั่งรอเวลาได้สักพักประตูห้องครัวก็เปิดออก พร้อมกับมีผู้ชายและผู้หญิงที่สวมชุดบริกรที่ดูมีระดับเดินออกมาพร้อมกับลากรถเข็นที่เต็มไปด้วยถาดรองอาหารออกมาจำนวนมาก และ ณ ปลายสุดของแถวก็มีชายร่างสูงแต่งตัวดูมีฐานะปรากฏตัวออกมาพร้อมกล่าว
“อาหารในมื้อนี้และมื้อหลังจากนี้จนกว่าจะสิ้นสุดการสอบทางพวกเราสมาคมอาหารแห่งอาณาจักรเวทมนตร์จะเป็นคนดูแลให้กับนักเวททุกๆ ท่านเอง ขอเชิญลิ้มรสกับมื้ออาหารสุดแสนวิเศษของพวกเราอย่างเต็มที่”
สมาคมอาหารสิน้า~ ถ้าเป็นแบบนี้ก็พอเดาได้แหละนะว่างบประมาณสองในห้าส่วนคงเอามาจ่ายค่าอาหารให้เด็กเนี่ยแหละ อาหารของสมาคมอาหารนั้นมีราคาหลายระดับแต่มันก็ไม่ได้ถูกขนาดที่คนธรรมดาจะกินกันได้ทุกวันหรอกนะ ต่อให้เป็นอาหารในราคากลางๆ แต่ถ้าเล่นทำแบบนี้ทุกสนามสอบค่าใช้จ่ายก็คงสูงน่าดู ตัวฉันเองก็เคยกินอาหารของสมาคมอยู่ 2-3 ครั้ง สำหรับฉันแล้วรสชาติมันออกจะเบาบางไปสักหน่อยจนเข้าขั้นไม่ถูกปากเลย
หลังจากนั้นเหล่าบริกรก็นำอาหารมาเสิร์ฟบนโต๊ะ และเมื่อพวกเขาเปิดฝาครอบอาหารขึ้นเหล่านักเวทฝึกหัดต่างก็ตื่นตาตื่นใจกับอาหารที่อยู่ต่อหน้าพวกเขาจำนวนนับไม่่ถ้วน
“โหว~” “หูว~”
อาหารที่ถูกเสิร์ฟถูกจัดเป็นอาหาร 3คอร์ส พร้อมกับของหวานที่เด็กๆ ส่วนใหญ่น่าจะชอบอีกจำนวนมาก สำหรับฉันแล้วขออะไรก็ได้ที่เป็นช็อกโกแลตก็พอแล้วล่ะนะ แต่อาหารนี่ดันเป็นแบบที่ฉันไม่ถูกปากที่สุดเลยนี่สิ…..
“เป็นอะไรไป อาหารไม่ถูกปากหรอ” โลล่าหันมาถามระหว่างที่ฉันกำลังหั่นสเต็กปลาอยู่
“ป่าวหรอก….ฉันก็แค่…รู้สึกว่ามันจืดไปหน่อยน่ะ…”
“จืดหรอ? ฉันว่ามันก็กำลังพอดีแล้วนะ”
“ก็บ้านฉันกินอาหารรสจัดกันตลอดนี่ พูดตรงๆ เลยว่าไม่ชินกับอาหารแบบนี้สุดๆ”
“อาหารแบบตะวันออกสิน้า~ ฉันเองก็อยากกินอาหารแบบนั้นมั่งจัง”
“ถ้าเธอออกบ้านมาได้ฉันก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะถ้าจะมากินอาหารที่บ้านฉันสักมื้อน่ะ”
“ก็ถ้าออกได้แหละนะ เฮ้อ~” โลล่าตอบด้วยน้ำเสียงที่ปนไปด้วยความเบื่อหน่ายและความสิ้นหวัง
หลังจากกินมื้อเที่ยงเสร็จฉันกับโลล่าก็ออกมาเดินเล่นข้างนอกกัน ถึงรสชาติของจานอื่นๆ จะจืดไปหน่อยก็เถอะ แต่ของหวานก็ถือว่าไม่เลวเลยแฮะ โดยเฉพาะเค้กช็อกโกแลตนั่นถ้ามื้อเย็นมีให้กินอีกก็ดีสิน้า~
[การสอบที่ 2สำหรับผู้ที่ผ่านที่ผ่านรอบแรกจะเริ่มในอีก 20นาที ขอให้ทุกๆ คนไปพบกันที่จุดนัดหมายภายในเวลาที่กำหนด] เสียงของผู้คุมสอบประกาศกำหนดการสอบครั้งถัดไปดังออกมาจนถึงข้างนอกเลยแฮะ
“นายคิดว่าต่อไปจะเป็นการสอบแบบไหนหรอ?” โลล่าหันมาถามฉันระหว่างที่พวกเรากำลังเดินเล่นกันอยู่
“นั่นสินะ ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่านอกจากร่ายเวทแล้วจะมีสอบแบบไหนอีก”
“งั้นฉันเดิมพันว่าเป็นการทดสอบเชิงกายภาพก็แล้วกัน นายคิดว่าไง”
“ฉันคิดว่าถ้าเป็นแบบนั้นจริงเธอคงสอบตกแน่ๆ”
“ดูถูกกันเกินไปรึป่าว เห็นอย่างนี้ฉันก็ออกกำลังกายตลอดนะยะ”
“งั้นกระผมจะคอยจับตาดูก็แล้วกันนะครับ คุณลูน่าไชน์”
“ถ้าเกิดแพ้ฉันขึ้นมาก็อย่ามาร้องไห้ก็แล้วกันนะ คุณ-งู-ดำ”
พวกเราถากถางกันไปมาจนกระทั่งเดินมาถึงจุดนัด พอดูจากนาฬิกาของโลล่าแล้วก็พบว่าพวกเรามาถึงก่อนเวลาประมาณ 10นาทีได้ ที่นี่เป็นลานกว้างใกล้ๆ กับป่าที่เอาไว้ฝึกยุทธวิธีการรบ ข้างหน้าของพวกเรามีโต๊ะและอุปกรณ์สำหรับทำยาแบบครบชุดวางไว้อยู่จำนวนมาก เดาได้ไม่ยากเลยล่ะว่าการทดสอบครั้งนี้เกี่ยวการปรุงยาแน่ๆ หวังว่าคงไม่เอาโจทย์ยากๆ มาให้ก็แล้วกันนะ
หลังจากนั้นไม่นานนักพวกนักเวทฝึกหัดที่ผ่านการคัดเลือกในรอบแรกก็มารวมตัวกันจนครบ ผู้คุมสอบก็เลยเริ่มประกาศหัวข้อในการสอบครั้งที่ 2
“การสอบครั้งที่ 2เกี่ยวกับการปรุงยา โดยผู้เข้าสอบทุกคนสามารถเลือกยาที่ตัวเองต้องการจะปรุงได้อย่างอิสระ และสามารถใช้อุปกรณ์ที่จัดสรรให้ได้ตามอัธยาศัย สมุนไพรและส่วนผสมต่างๆ พวกเราได้เตรียมไว้ให้แล้ว”
“อ่า…เท่าที่ดูนี่มีแต่อุปกรณ์ล้วนๆ เลยนะครับ แล้วไหนของที่จะเอามาทำยา” นักเวทฝึกหัดคนนึงเอ่ยปากถามขึ้นมา
“สมุนไพรและส่วนผสมต่างๆ ถูกบรรรจุอยู่ในถุงสีขาวที่ถูกซ่อนไว้ตามจุดต่างๆ ในป่า และแน่นอนว่าไม่ต้องกลัวหลงป่าหรอกนะเพราะพวกเราจะคอยจับตาดูพวกเธอทุกคนอยู่เสมอ”
“แล้วในกรณีที่เกิดการแย่งชิงกันสามารถใช้เวทมนตร์ได้มั้ยคะ” โลล่ายกมือถามผู้คุมสอบ
“สามารถทำได้เพียงแค่การเจรจาเท่านั้นและเราก็ไม่อนุญาตให้ใช้เวทมนตร์ที่สร้างความเสียหายใดๆ ทั้งสิ้น ถ้าเราตรวจพบจะขอตัดสิทธิสอบทันที คงจะไม่มีปัญหาอะไรนะ”
หลังจากพูดคุยเรื่องกติกาเสร็จพวกเราก็อุ่นเครื่องกันจนถึงเวลาสอบ จะว่าไปนี่ไม่ก็โหดร้ายไปหน่อยรึไงพึ่งกินอาหารเที่ยงเสร็จไม่ทันไรก็ต้องมาออกแรงหนักๆ แบบนี้เนี่ย กะจะเอาให้ตายกันไปข้างเลยรึไงกัน
“อย่างนี้นายก็สบายเลยสินะ” โลล่าหันมาคุยกับฉันระหว่างที่กำลังยืดเส้นอยู่
“ทำไมเธอถึงคิดอย่างนั้นล่ะ”
“ก็บ้านนายเปิดร้านายยากับสมุนไพรนี่ คงจะทำยาดีๆ ออกมาได้ไม่ยากเลยล่ะสิท่า”
“ก็นะ แต่ฉันไม่คิดว่ามันจะง่ายขนาดนั้นน่ะสิ”
“ทำไมล่ะ”
“ยากับสมุนไพรที่บ้านฉันขายส่วนใหญ่ใช้วัตถุดิบจากทวีปทางใต้และตะวันออกแถมยาบางตัวก็ใช้สัตว์วัตถุเป็นองค์ประกอบด้วย ฉันเองก็เคยทำยาของทวีปกลางแค่ 3-4ครั้งเอง แถมวัตถุดิบในถุงก็ไม่รู้ด้วยว่าจะได้อะไรมาด้วย ถ้าเกิดมันไปก้วยกันได้ก็โชคดีแต่ถ้าไม่ก็งานหยาบพอตัวนะ”
“งั้นฉันก็มีโอกาสชนะนายแล้วสินะ ฮิๆ”
“เอาเถอะ ต่อให้เป็นแบบนั้นฉันก็ไม่ยอมให้เธอนำฉันง่ายๆ หรอกนะ”
พอถึงเวลาที่กำหนดพวกเราก็เดินไปเข้าแถวสำหรับปล่อยตัว หลังจากนั้นผู้คุมสอบคนนึงก็เดินมายืนอยู่ข้างหน้าแถวของพวกเราพร้อมกับให้สัญญาณเตรียมพร้อม
“เอาล่ะทุกคนเตรียมตัว”
“ระวัง…”
“ไป!”
หลังจากสิ้นเสียงแตรเขาสัตว์ทุกๆ คนต่างก็ออกแรงวิ่งสุุดตัวเข้าไปในป่าเพื่อหาวัตถุดิบมาปรุงยา ฉันใช้เวลาแค่ช่วงสั้นๆ ก็สามารถวิ่งนำขึ้นมาเป็นหัวขบวนนได้โดยที่โลล่าเองก็วิ่งตามหลังฉันมาติดๆ ยัยนี่เองก็ไม่ธรรมดาเหมือนกันนะเนี่ย
“วิ่งเร็วใช้ได้เลยนี่ เธอน่ะ”
“ก็บอกแล้วไงว่าฉันเองก็ออกแรงบ่อยน่ะ”
“ดี งั้นก็วิ่งตามฉันก็แล้วกัน”
“แอปโต เคอเซอร์”(พรแห่งสายลม)
“ดะ เดี๋ยวสิใช้เวทแบบนี้แบบนี้มันขี้โกงนี่นา!” เสียงของโลล่าที่ไล่หลังฉันค่อยๆลิบหลี่ลงเรื่อยๆ จนกระทั่งเสียงนั้นหายไป พอรู้ตัวอีกทีก็เหลือแค่ฉันคนเดียวที่ยังคงวิ่งอยู่ เดิมทีเวทนี้มันก็เอาไว้ใช้เวลาเดินทางฝ่าพายุนั่นแหละนะ แต่ฉันปรับแต่งมันนิดหน่อยก็เลยกลายเป็นเวทที่ทำให้วิ่งได้เร็วเป็นลมกรดแบบนี้แหละนะ แต่ว่ามันกลับให้ความรู้สึกที่แตกต่างจากทุกทีแฮะ….
พอลองดูที่คทาดีๆ แล้ววงเวทมันก็ไม่ได้เป็นแบบที่เราปรับแต่งไว้ทั้งหมดด้วย เหมือนกับว่า….มันถูกปรับแต่งเพิ่มอีกที…
“ฮิๆๆ~” !!เสียงหรอ? จากที่ไหนกัน จะว่าเป็นเสียงของยัยนั่นก็ไม่ใช่ เสียงเมื่อกี้มันแหลมและเล็กกว่ามาก
อยู่ดีๆ บรรยากาศรอบตัวมันก็เริ่มเปลี่ยนไป แสงสว่างค่อยๆ ถูกกลืนกินด้วยความมืดมิด หนอนและแมลงโผล่ขึ้นมาจากผืนดินและกลายร่างเป็นหิ่งห้อยโผบินขึ้นมาส่องแสงเอื่อยๆ รอบๆ ตัวฉัน ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านีมันยังเป็นตอนกลางวันแท้ๆ แต่เพียงชั่วครู่เดียวทุกๆ อย่างมันก็มืดมิดราวกับยามค่ำคืน และท่ามกลางความมืดมิดอันผิดธรรมชาตินี้มันก็ได้ปรากฎดวงตากลมโตสีม่วงที่เปล่งประกายออกมา
“เวทที่ฉันปรับให้น่ะ ไม่เลวเลยใช่มั้ยล้า~”
พอสิ้นเสียงนั้นก็มีร่างของสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กพุ่งออกมาจากความมืด มันมีผิวกายสีซีดเซียว ขนและปีกเป็นมีสีเขียวหยกที่สวยงาม มีกรงเล็บที่แหลมคมราวกับพญาอินทรีบริเวณเล็บมือและเท้าและมันก็บินได้อย่างคล่องแคล้วโดยที่ไม่จำเป็นแม้แต่จะกระพือปีกด้วยซ้ำ หรือว่าจะเป็น
“ภูต….งั้นหรอ?”
“อืม~…จะใช่รึป่าวน้า~ ฮิๆ” สิ่งมีชีวิตตนนั้นตอบด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูครื้นเครงและตื่นเต้นพลางบินวนรอบๆ ตัวฉันพร้อมกับกวาดสายตามองเหมือนกับกำลังประเมินอะไรบางอย่างอยู่
“คุณเป็นคนทำมันงั้นหรอ”
“ฮืม~? อ๋อ~ เวทปรับแต่งนั่นน่ะหรอ~ สุดยอดเลยใช่มั้ยล้า~”
ภูตสีหยกบินมาหยุดอยู่ที่เบื้องหน้าพร้อมกับยื่นหน้าเข้ามาใกล้ซะจนตัวฉันฉันเกร็งไปหมด
“แต่ว่า~ เธอนี่ดูเด็กกว่าที่ฉันคิดไว้อีกนะเนี่ย~”
“เด็กกว่าที่คิด…งั้นหรอ?”
“ก็ตอนแรกที่ฉันจับมานาของเธอได้ก็นึกว่าจะโตกว่านี้ซะอีก~”
“แต่ก็เอาเถอะ~ เด็กประมาณนี้ฉันก็ไม่ได้เกลียดหรอกน้า~” เธอพูดพร้อมกับออกท่าทางที่ดูเหมือนกับการเต้นรำกลางเวหาอะไรแบบนั้นและจบลงที่บินมานั่งอยู่ตรงหัวไหล่ของฉัน
“คุณทำมันได้ไง ปรับแต่งเวทของผมน่ะ ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่ามีภูตที่สามารถทำอะไรแบบนี้ได้”
“การแทรกแทรงเวทมนตร์ของสิ่งมีชีวิตที่มีความเข้มข้นของเทเลสมาในร่างกายน้อยกว่าและมีความเข้ากันของมานาได้ดีมากๆ นั้นมันไม่ใช่เรื่องยากอะไรหรอกน้า~ ปัญหาหลักๆ ก็คือการอนุญาตจากสิ่งมีชีวิตตนนั้นๆ เพื่อใช้มานาของสิ่งมีชีวิตตนนั้นมาปรับเปลี่ยนรูปแบบเวทนั่นแหละน้า~ แต่ว่าในกรณีของเธอน่ะมันดันเกิดการรั่วของสนามมานาขึ้น ซึ่ง~มันก็แผ่ออกมาจนตัวฉันที่อยู่ในป่านี้สามารถรับรู้ได้และเข้าไปตรวจสอบเวทของเธอได้อย่างง่ายดายแหละน้า~”
“พูดตรงๆ เลยว่าผมไม่เข้าใจที่คุณพูดสักอย่าง สนามมานา? แล้วมันรั่วเนี่ยนะ? แล้วอะไรคือเทเลสมา? แล้วทำไมคุณถึงแทรกแทรงเวทของผมล่ะ”
“อาร่า~ ตายจริง~ ฉันคงประเมินเธอสูงไปสิน้า~ ถ้าให้สรุปง่ายๆ มันก็แค่ว่ามานาของพวกเรามีความเข้ากันได้ดีมากขนาดที่ว่าฉันสามารถแทรกแทรงเวทมนตร์ของเธอได้เลยยังไงล้า~”
“แล้วคุณต้องการอะไรจากผมล่ะ ภูตอย่างพวกคุณคงไม่ทำอะไรโดยไม่หวังผลตอบแทนหรอกใช่มั้ย”
พอฉันพูดจบประโยคภูตตนนั้นก็ลุกขึ้นและเริ่มบินอีกครั้ง
“ดูเหมือนเธอจะรู้เรื่องกฎการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมด้วยซิน้า~ แต่ไม่ต้องกังวลนักหรอก~ เพราะว่าฉันได้ค่าตอบแทนนั้นมาแล้วยังไงล้า~”
“คุณหมายความว่ายังไ-”
เพียงแค่พริบตาเดียวเธอก็หายไปจากตรงหน้าของฉัน พอรู้ตัวอีกทีกรงเล็บที่สุดแสนแหลมคมนั้นก็ได้มาจ่ออยู่ที่ใต้คางของฉัน และมืออีกข้างของเธอก็กำคอของฉันแน่น
“ถ้า…กำแน่น…แบบ..นี้…ผมจ-”
“ไม่ต้องพูดมากนักหรอก~ ฉันรู้ดีว่ามนุษย์นั้นบอบบางแค่ไหนโดยเฉพาะเด็กอย่างเธอ~” พอจบประโยคเธอก็กำคอของฉันแน่นยิ่งกว่าเดิม
“คุณ….ต้องการ…อะไร…กันแน่”
(ถึงแม้จะไม่ได้มีค่าเท่าเหล้าน้ำผึ้ง แต่ก็มีค่ามากกว่าสิ่งอื่นเป็นไหนๆ เธอคิดจริงๆ หรอว่าจะมีใครโง่ปล่อยให้ของล้ำค่าที่อยู่ตรงหน้าหายไปง่ายๆ น่ะ) เสียงกระซิบของเธอนั้นช่างนุ่มนวลและน่าหลงไหลจนเกือบจะทำให้ฉันเคลิบเคลิ้มตามถ้าไม่ติดว่ากรงเล็บของเธอกำลังจ่อคอของฉันอยู่
“จงมาทำพันธสัญญากับฉันซะ หลอมรวมมานาของเราให้เป็นหนึ่งเดียวกัน”
“ว่ายังไงล่ะหนุ่มน้อย~”
“ทอร์น!!”
อยู่ๆ ก็มีหนามจำนวนนับไม่ถ้วนแทงขึ้นมาจากพื้นดินและพุ่งไปโจมตีใส่ภูตที่อยู่หข้างหลังฉัน แต่ดูเหมือนว่าเธอจะหลบมันได้อย่างง่ายดาย และในที่สุดฉันก็หายใจได้ปกติ…สักที…เฮ้อ~
“ชิ พวกเลือดผสม” ภูตสีหยกพึมพำเบาๆ ก่อนที่เธอกระพือปีกสร้างสายลมกระโชกถาโถมไปทั่วบริเวณโดยรอบ ก่อนที่จะเร้นกายพร้อมกับสายลมและเสียงที่แสนจะบางเบา
“แล้วฉันจะกลับมารับคำตอบของเธอ…หนุ่มน้อย….”
ความมืดมิดได้จางหายไปพร้อมกับภูตตนนั้น เหลือเพียงแค่ร่องรอยของความเสียหายเพียงเล็กน้อย และทันใดนั้นเองก็มีเสียงดังมาจากทางข้างหลัง
“นี่! เธอเป็นอะไรรึป่าว” พอฉันหันไปทางต้นเสียงก็ปรากฏรูปกายของมนุษย์ผู้ชาย ในมือของเขาถือคทาเขากวางสีขาวบริสุทธิ์ คงจะเป็นผู้คุมสอบสินะ
“เมื่อกี้มันตัวอะไรกัน มองเห็นไม่ค่อยชัดเลยแฮะ” ผู้คุมสอบอีกคนเดินตามหลังมาพร้อมตั้งข้อสงสัยในขณะที่ผู้คุมสอบอีกคนนึงกำลังตรวจสอบร่างกายของฉัน
“ดูเหมือนว่าเธอจะไม่เป็นอะไรมากสินะ แต่ว่าที่คอของเธอมัน…”
“ไม่เป็นไร อีกสักแปปก็น่าจะหาย”
“แน่ใจนะว่าไม่เป็นไรจริงๆ น่ะ” ผู้คุมสอบกล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล
“แน่นอนครับ….” ถึงจะไม่เป็นอะไรมากก็เถอะ แต่ก็เล่นเอาเราแทบไม่มีแรงเดินเลย เวรเอ้ย
“เธอหายไปตั้ง 3ชั่วโมง พอรู้ว่าเธอวิ่งนำคนอื่นไปไกลมากพวกเราก็เลยออกตามหา ไม่คิดเลยว่าจะเจอของพรรค์นั้นเข้า” ผู้คุมสอบอีกคนพูดพร้อมกับหันไปดูรอบๆ เหมือนกับกำลังตรวจสอบดูว่ายังมีร่องรอยของภูตตนนั้นอยู่รึป่าว
“เดี๋ยวก่อนนะ เมื่อกี้คุณบอกว่าผมหายไป 3 ชั่วโมงงั้นหรอ” ทั้งๆ ที่เรารู้สึกว่ามันยังผ่านไปไม่ถึง 10 นาทีด้วยซ้ำเนี่ยนะ
“ใช่แล้วล่ะ มีเด็กคนนึงมาถามหาเธอตั้งแต่ชั่วโมงแรก พอพวกเรารู้รายละเอียดก็ออกตามหากันสักพักจนมาเจอโดมแปลกๆ นั่นแหละ ไม่คิดเลยว่าจะเจอภูตในป่าใกล้ผู้คนแบบนี้”
“งั้นหมายความว่าเมื่อกี้ก็เป็นภูตตัวเป็นๆ เลยงั้นหรอ ไม่คิดเลยว่าชีวิตนี้จะได้เห็นภูตกับเขาด้วย” ผู้คุมสอบอีกคนกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“เอาตรงๆ มันไม่ใช่เรื่องที่น่าดีใจเท่าไหร่หรอก แค่โจมตีไปแล้วไม่โดนสวนกลับจนตายกันนี่ก็ถือว่าโชคดีของเราแล้ว”
“งั้นถ้าเธอไม่เป็นอะไรแล้วก็รีบไปกันเถอะ ยังมีอีกกลุ่มนึงรอพวกเราอยู่”
พวกเราเดินกันมาจนถึงจุดที่ผู้คุมสอบอีกกลุ่มซุ่มรออยู่ พวกเราทำการรวมกลุ่มและแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน จากที่ได้ยินดูเหมือนว่านอกจากฉันจะมีเด็กอีก 2คนที่หลงป่า แต่ก็ไม่มีใครที่โดนเหมือนกับฉันเลยสักคน
หลังจากนั้นพวกเราก็เดินทางกลับออกจากป่ากันโดยที่พวกผู้คุมสอบคอยตรวจสอบสภาพแวดล้อมตลอดทาง ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่สามารถวางใจเรื่องภูตสีหยกได้เลยแม้แต่ตอนที่พวกเราออกมาจากป่ากันแล้วก็ตาม และทันทีที่พวกเราเดินมาจนถึงลานกว้างโลล่าก็วิ่งมาหาฉันทันที
“นี่นายบ้าไปแล้วรึไงเล่นวิ่งทิ้งคนอื่นไปไกลสุดลูกตาขนาดนั้นนั้นน่ะ” เด็กสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองแต่มันกลับปนไปด้วยกังวล
“ตอนแรกฉันนึกว่าเธอจะตามฉันมาทัน ก็เลย…”
“ก็เลยพุ่งไปโดยไม่สนโลกงั้นหรอ นายคิดว่าเด็ก 6ขวบคนอื่นๆ จะวิ่งตามนายทันได้รึไงกันยะ”
“ขอโทษ….”
“แล้ววิ่งไปนั่นคงไม่ได้วิ่งไปเปล่าๆ ใช่มั้ย ได้อะไรมามั่งล่ะ”
….!!! ซวยแล้วไง เพราะเราโดนขังไว้ตลอดจนไม่ได้หยิบถุงวัตถุดิบมาเลยสักถุงเดียว… อะ…อ่าว
“วิ่งนำคนอื่นไปตั้งไกลแต่ดันได้มาแค่ 2ถุงเนี่ยนะ จะพอทำยารึไง” อยู่ดีๆ ในมือของเราก็มีถุงวัตถุดิบโผล่มาซะงั้น และพอเปิดดูในถุงก็เป็นวัตถุดิบที่ฉันต้องการทั้งหมด หรือว่าจะเป็นฝีมือของภูตตนนั้น ตั้งแต่ตอนไหนกัน
“เอาเป็นว่าถ้าขาดเหลืออะไรฉันจะช่วยนายเองก็แล้วกัน รีบๆ ไปทำยาซะคนอื่นก็คงใกล้ทำเสร็จกันหมดแล้วด้วย”
เพราะไม่มีการกำหนดเวลาในการสอบ ทำให้เราไม่สามารถรู้ได้ว่าจะหมดเวลาตอนไหน แต่ก็เอาเถอะไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามตอนนี้แค่มีของพอที่จะทำเจ้านี่ได้ก็ไม่น่ามีปัญหาอะไรแล้ว
เริ่มต้นด้วยการนำอุปกรณ์ที่ทางสนามสอบเตรียมไว้ให้มาบดสมุนไพรที่จะใช้ให้ละเอียดจนเป็นผง หลังจากบดเสร็จแล้วก็เอาไปพักไว้แล้วรอจนแห้งระหว่างนั้นก็ใช้เวทมนตร์ช่วยให้แห้งเร็วขึ้นอีกสักนิด ที่เหลือก็แค่เคี่ยวน้ำผึ้งรอแล้วเอาไปผสมแล้วปั้นก็เป็นอันเสร็จ
น้ำผึ้ง….น้ำผึ้ง…น้ำผึ้ง……
“ซวยแล้วไง”
“เกิดอะไรขึ้น!” โลล่าที่อยู่โต๊ะข้างๆ หันมาถามฉัน
“น้ำผึ้ง…ลืมนึกเลยว่าต้องใช้น้ำผึ้งด้วย…”
“น้ำผึ้งเนี่ยนะ!! นี่นายคิดว่าจะหาของแบบนั้นได้จากที่แบบนี้รึไง” โลล่าตบโต๊ะและตะโกนเสียงดังออกมา
“ก็…นะ…”
“แล้วใช้อย่างอื่นไม่ได้รึไง ถ้าขืนหาตอนนี้ล่ะก็นายคงสอบตกก่อนพอดี”
“นั่นสินะ ขอฉันนึกก่อนแปปนึง”
ในสูตรยาชนิดนี้มันมีวิธีอื่นที่สามารถทำให้ยายึดติดกันได้อยู่ เนื่องจากยาที่ใช้ในครั้งนี้ไม่จำเป็นต้องเก็บตัวยาไว้ใช้ในอนาคตอันไกลก็ได้ถ้าใช้เจ้านั้นแทนล่ะก็
“ไม่แน่”
“ไม่แน่?”
“เมื่อเช้าตอนอยู่ในโรงอาหารมันมีพวกของหวานมาเสิร์ฟด้วยใช่มั้ยล่ะ”
“ก็ใช่อยู่หรอก นายหมายความว่าเป็นไปได้ที่จะมีน้ำผึ้งให้ขอเอามาใช้งั้นหรอ”
“ก็ไม่ได้คาดหวังถึงขั้นนั้นหรอกนะ แต่ถ้ามีก็เอาแป้งมาใช้ผสมก็น่าจะได้อยู่ แต่ว่าคุณภาพยามันจะไม่ดีเท่าน้ำผึ้งแค่นั้นเอง”
“แล้วนายต้องใช้เยอะมั้ยล่ะ”
“ถ้าประเมินจากวัตถุดิบที่มีแล้วล่ะก็ไม่น่าจะใช้เยอะเท่าไหร่”
“งั้นฉันจะไปขอมาให้ นายรออยู่ที่นี่แหละ” พอสิ้นเสียงโลล่าก็วิ่งอย่างสุดกำลัง
“เห้!! เดี๋ยวสิ….ยังไม่ได้บอกว่าต้องใช้แป้งแบบไหน…เลย…” โลล่าไม่แม้แต่จะหันมาเหลียวแลหรือฟังเสียงของฉันเลยสักนิด ร่างกายอันบอบบางของเด็กสาวค่อยๆ ห่างออกไปเรื่อยๆ แล้วก็หายไปในตัวอาคาร
หลังจากนั้นสักพักโลล่าก็กลับมาพร้อมกับถุงแป้งขนาดเท่าตัวของเธอ เด็กสาววางถุงแป้งไว้บนโต๊ะด้วยความทุลักทุเลพร้อมกับสีหน้าหงอยๆ
“เป็นอะไรไปท่าทางไม่ร่าเริงเหมือนเมื่อกี้เลย”
“แบบว่า….ขอโทษด้วยละกันที่ฉันหาน้ำผึ้งมาให้ไม่ได้น่ะ….” เด็กสาวตอบด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยราวกับว่าตัวเองไปทำผิดร้ายแรงมาอะไรอย่างนั้น
“ฮ่าๆๆ ฉันก็ไม่ได้คาดหวังขนาดว่าจะได้น้ำผึ้งมาใช้หรอกนะแค่เอาแป้งมาถูกชนิดก็ถือว่าดีมากแล้วด้วย แถมยังไงต่อให้ไม่ใช้น้ำผึ้งฉันก็ชนะเธอได้อยู่ดีไม่ต้องคิดมากนักหรอก”
“นี่นายหยามฉันหรอ!” โลล่าเปลี่ยนสีหน้าและหันมาเถียงฉันในทันที แบบนี้สิถึงจะดูเป็นยัยแสบสักหน่อย
“ก็แค่พูดความจริง แล้วทำไมเธอถึงช่วยฉันขนาดนี้ล่ะ” ฉันถามโลล่าระหว่างที่กำลังตั้งหม้อต้มน้ำและเปิดถุงแป้งออก
“ก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษหรอก ก็แค่รู้สึกว่าตัวเองได้เปรียบเกินไปจนรู้สึกหงุดหงิดน่ะ”
“โห กล้าขนาดเอ่ยปากว่าได้เปรียบกว่าฉันเลยงั้นหรอ ฝีมือเธอคงไม่เบาล่ะสิท่า”
“ฉันก็มั่นใจในฝีมือการปรุงยาของตัวเองมากพอตัวอยู่แหละนะ”
“แล้วนายจะทำอะไรกับแป้งนี่ล่ะ” เด็กสาวถามระหว่างที่ฉันกำลังตวงแป้งแยกไว้
“เคยได้ยินสิ่งที่ถูกเรียกว่า”น้ำแป้ง”มั้ยล่ะ”
“น้ำแป้ง?”
“ใช่แล้วล่ะ น้ำแป้งเกิดจากการเอาแป้งไปต้มในน้ำร้อนในสัดส่วนที่น้ำมากกว่าแป้งพอสมควร บางครั้งพวกเราก็ใช้มันมาคลุกกับยาให้จับตัวเป็นก้อน แต่ก็นั่นแหละนะคุณภาพที่ได้มันดีไม่เท่าคลุกน้ำผึ้ง บ้านฉันก็เลยใช้แค่เฉพาะเวลาที่จำเป็นเท่านั้น”
ระหว่างที่อธิบายฉันก็ต้มน้ำร้อนพร้อมกับเทแป้งที่ตวงไว้ลงไปและคนอีกสักพักใหญ่จนมันเข้าที่ หลังจากที่เคี่ยวจนได้ที่ก็เอามาพักให้หายร้อนแล้วค่อยนำมาผสมกับผงยาที่เตรียมไว้ก่อนหน้า
“สิ่งที่นายทำอยู่นี่มันเรียกว่าอะไรงั้นหรอ” โลล่าพูดพลางเอามือชี้ไปที่ชามไม้ที่ฉันกำลังตวงน้ำแป้งใส่ทับผงสมุนไพร
“ยาลูกกลอน”
“ยาลูกกลอน? ไม่เคยได้ยินเลยแฮะ”
“มันมีต้นกำเนิดมาจากหลงน่ะ เป็นยาที่ไม่ได้มีสูตรตายตัว โดยที่ยาแต่ละสูตรก็มีคุณสมบัติในการรักษาอาการที่ต่างกันไป ถ้ายาตัวไหนมีส่วนประกอบที่มีรากหรือดอกมากก็จะใช้ตัวเชื่อมอย่างน้ำผึ้งหรือน้ำแป้งน้อย แม่ฉันเคยเล่าให้ฟังว่าที่หลงมียาลูกกลอนที่ห่อด้วยทองคำด้วยล่ะ”
“เอาทองมาห่อยาเนี่ยนะ แปลกชะมัด”
“ตอนแรกฉันก็คิดอย่างนั้นแหละ มารู้ทีหลังว่าทองที่ใช้ห่อจะเป็นทองแบบพิเศษที่ได้มาจากอะไรสักอย่างนึง ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นยาสารพัตรักษาอะไรแบบนั้นก็เลยมีราคาที่สูงมากขนาดซื้อเครื่องทองได้เต็มคันรถม้าเลย”
ใส่แป้งไปเท่านี้ก็น่าจะพอได้แล้วล่ะมั้ง
“ทีนี้ร่ายเวทใส่มือฉันหน่อย”
“ร่ายเวทใส่มือนายเนี่ยนะ”
“เถอะน่า ตอนคลุกกับปั้นมือมันต้องสะอาดจะให้ไปล้างมือซี้ซั้วมันก็ยังไงอยู่”
โลล่าตอบรับพร้อมกับหยิบคทาขึ้นมาและร่ายเวทสร้างก้อนน้ำมาให้ฉันล้างมือ
“ตัวเองก็น่าจะร่ายเองได้แท้ๆ ให้ตายเถอะ จบงานนี้แล้วก็ตอบแทนฉันด้วยล่ะ”
“เดี๋ยวจะตอบแทนให้สาสมเลยคอยดูเถอะ”
หลังจากล้างมือเสร็จก็เช็ดให้แห้งด้วยผ้าสะอาด และก็ทำการคลุกเพื่อให้ส่วนผสมทั้ง 2เข้ากัน พอคลุกจนเข้าที่แล้วก็ทำการปั้นให้เป็นก้อนขนาดไม่ใหญ่มากแล้วนำมาวางไว้บนถาดไม้
“ดูน่าสนุกจังเลยน้า~ ปั้นเป็นก้อนกลมๆ น่ารักเชียว” โลล่าพูดขึ้นมาระหว่างที่ฉันกำลังปั้นยาอยู่
“จะว่าไป มัวมานั่งจ้องฉันทำยาเนี่ยของของตัวเองเสร็จแล้วรึไง”
“แน่นอนสิ นายหายไปตั้ง 3ชั่วโมงเชียวนะ กว่านายจะออกป่ามายาของฉันมันก็เหลือแค่รอเวลาด้วยซ้ำ”
“งั้นหรอ”
ฉันใช้เวลาในการปั้นยาอยู่สักพักและในที่สุดมันก็เสร็จเป็นที่เรียบร้อย
“แล้วปั้นเสร็จแล้วต้องทำยังไงต่อล่ะ หรือว่าจบแค่นี้”
“ตอนนี้ก็เหลือแค่เอาไปอบนั่นแหละน้า แต่ดูทรงแล้วคงต้องเอาตากแดดสถานเดียวแล้วแฮะ”
“ก็เอาไปอบที่ห้องครัวก็ได้นี่ ที่นั่นก็น่าจะพอมีเตาให้ยืมอยู่มั้ง”
“ไม่อยากรบกวนอะไรซ้ำซ้อนน่ะ แค่ไปเอาแป้งเขามานี่ฉันก็รู้สึกตะขิดตะขวงใจแปลกๆ อยู่เหมือนกันนะ”
“หน้าบางเกินคาดเลยนะ นายน่ะ”
“นี่เห็นฉันเป็นคนแบบไหนเนี่ย”
“ช่างเรื่องนั้นก่อนเถอะ แล้วนายจะเอายังไงล่ะทีนี้”
“นั่นสินะ ฉันเองก็ใช้เวทสายเทอร่าไม่ได้ซะดัวยสิ…”
“ช่วยไม่ได้แฮะ ถึงจะพิเลนไปหน่อยแต่ก็ต้องทำมันแล้วซิ”
“?” โลล่าแสดงสีหน้าที่เต็มไปด้วยความงงสงสัยออกมา
ก่อนอื่นก็ต้องย้ายถาดไปวางไว้ในที่ไกลผู้คนสักเล็กน้อย หลังจากนั้นก็หยิบคทาขึ้นมาทำการร่ายเวทสร้างโดมลมที่มีลักษณะคล้ายกับเตาอบดินเผาที่บ้านขึ้นมา หลังจากนั้นก็ทำการสร้างความร้อนด้วยเวทสายไพโรตั้งความแรงของไฟให้อยู่ในระดับกลาง
“นาย…แน่ใจนะว่ามันใช้งานได้จริงน่ะ…” เด็กสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่มั่นใจเท่าไหร่นัก
“เอาจริงๆ นี่ก็เป็นครั้งแรกที่ทำอะไรแบบนี้แหละนะ ฉันเองก็ไม่มั่นใจหรอกนะว่าจะทำออกมารอด”
เพราะว่าปริมาณยาที่ทำออกมามีไม่เยอะมากฉันก็เลยไม่ต้องยืนเฝ้าเตาพิศดารนี่นานมากนัก และในที่สุดยาลูกกลอนก็เสร็จสมบูรณ์ ถึงจะมีช่วงที่เตาเกิดความไม่เสถียรอยู่บ้าง แต่อยู่ดีๆ มันก็กลับมาปกติแบบเกินคาดเลยแฮะ…. โชคดีชะมัด
“แค่นี้ก็เสร็จแล้วงั้นหรอ? ไม่คิดเลยว่าไอเตาอบเหนือจินตนาการแบบนั้นมันจะใช้งานได้จริงๆ น่ะ สมกับเป็นลูกหลานปีศาจจริงๆ เลยนะ นายน่ะ” โลล่าที่ยืนรอฉันอยู่ข้างหลังเดินเข้ามาดูยาลูกกลอนที่อบแห้งเสร็จแล้วด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“อย่าว่าแต่เธอเลยฉันเองก็ยังประหลาดใจเลย เอาเป็นว่าฉันทำมันเสร็จแล้วก็พอ แถมนี่ก็กินเวลามามากแล้วด้วยรีบๆ ไปเก็บของกันแล้วเอาไปให้กรรมการดูเถอะ”
“ก็ว่างั้น ฉันเองก็อยากทำอย่างอื่นแล้วด้วย”
“นั่นสิน้า~ อยากกินเค้กช็อกโกแลตชะมัด”
พอพวกเราเก็บของเสร็จรู้ตัวอีกทีเวลาก็เลยผ่านไปจนถึงช่วงบ่ายแก่ๆ และเพราะพวกเราใช้เวทกันเยอะมากตั้งแต่ช่วงที่เริ่มทำยากันเลยทำให้อยู่ในสภาพที่หิวสุดๆ โชคดีที่โรงอาหารมีของว่างให้กินตลอดช่วง สุดท้ายพวกเราก็กินแหลกกันจนเวลาล่วงเลยไปอีกจนเกือบเย็น
“จะว่าไปนี่ก็เย็นแล้วนะ ไม่เห็นจะมีประกาศเรื่องการสอบรอบต่อไปเลยนะ คงไม่ใช่ว่ามีสอบแค่ 2อย่างหรอกใช่มั้ย?” โลล่าพูดขึ้นมาระหว่างที่พวกเรานั่งพักกันอยู่
“เพราะงี้ฉันถึงไม่ค่อยชอบอะไรที่แจกแจงรายละเอียดไม่ชัดเจนไง ให้คิดอย่างเลวร้ายสุดการสอบรอบที่ 3อาจจะเริ่มตั้งแต่ช่วงที่เรามัวแต่กินกันอยู่ก็ได้แล้วตอนนี้เราก็อาจจะสอบตกไปแเลวด้วยซ้ำ”
“ไม่น่าหรอกม้าง… คนที่สอบเสร็จไล่ๆ กับเราก็อยู่ที่นี่กันเกือบหมดเลยนะ” โลล่าพูดด้วยน้ำเสียงที่มีความกังวลเล็กน้อย
และไม่ทันไรผู้คุมสอบจำนวนหนึ่งก็เดินเข้ามาพร้อมกับนักเวทฝึกที่เหลือ หลังจากพวกเด็กๆ นั่งลงที่โต๊ะหมดแล้วผู้คุมสอบก็เริ่มประกาศ
[การสอบรอบสุดท้ายของวันนี้ “ความสามารถในการจำคาถา” จะเริ่มในอีก 1ชั่วโมง ขอให้ทุกคนไปยังห้องสอบสวนภายในเวลาที่กำหนด]
“ห๊ะ?”
“ห๊า?”
————————————————————————–
ภาพประกอบ: ancient magus bride ep.1 ขอยืมมาใช้ให้เห็นภาพก่อน จริงๆ sketchไว้เสร็จแล้วแต่วาดในคอมไม่เก่งเลยพักไว้ก่อนน่ะ55 ขอปรับ designอีกสักนิดก่อนนะ
แล้วก็สำเนียงของภูตจะคล้ายๆ โชคุโฮ มิซากิใน Railgunนะจ๊ะ เผื่อจะเห็นภาพขึ้น