Telesma - ตอนที่ 9
หมายเหตุ: “วิฬาร์เริงระบำ” ได้ต้นแบบมาจากรูปแบบการต่อสู้ของเนียนตะซังจาก Log Horizon ถ้านึกภาพไม่ออกแนะนำไปดูตอนที่ 4 LCมีที่ blibli นะเมี๊ยว
ข้อแนะนำ: ตอนนี้เป็นตอนยาวมาก 8000 คำ++ ได้ แนะนำให้แบ่งช่วงอ่านเป็น 2-3 ช่วงเพราะเนื้อหาค่อนข้างแน่นนิดนึง ถ้าถามว่าทำไมไม่ตัด? เพราะอยากให้อีเว้นท์สอบนักเวทนี่จบในตอนไปเลย และอยากให้ตอนนี้จัดเป็นตอนที่ยาวที่สุดที่เคยเขียนไปด้วย(ไม่รู้ทำไมถึงคิดงี้เหมือนกัน 55)
เมื่อฝุ่นที่คละคลุ้งเริ่มจางลงก็เผยให้เห็นร่างของเลออนที่อยู่ในสภาพสะบักสะบอมและใกล้หมดสภาพเต็มที
“เลออน!”
พอนาคาซเห็นแบบนั้นก็ละความสนใจจากการตามหาดาบของตนและวิ่งเข้าไปตรวจสอบร่างของเลออนในทันที
“โอ้ยย เจ็บๆๆๆ นี่ถ้าไม่กางโล่ดินครอบไว้นี่คงได้ไปเฝ้าบรรพบุรุษแน่”
“เป็นอะไรรึป่าว”
“สภาพนี้คงดูสบายดีมั้ง อึก…”
•ยัยนั่นเล่นแรงขนาดนี้เลยงั้นหรอ? หนักกว่าเราอีกนะเนี่ย…•
“พอลุกไหวมั้ย”
“อ่า…”
นาคาซหิ้วร่างของเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนขึ้นมาพร้อมกับลากร่างของเขาไปไว้ใกล้ๆ กับร่างของวีช่าที่นอนสลบอยู่ และเมื่อเลออนเห็นสภาพของเด็กสาวผิวแทนที่มีเลือดไหลออกมาจากหูทั้งสองข้างพร้อมกับแขนขวาที่บิดผิดรูป ใบหน้าที่แดงก่ำไปด้วยบาดแผลของเขาก็ซีดเผือดลงทีนที ราชสีห์ตัวน้อยรีบหันมาถามนาคาซอย่างลุกลี้ลุกลนพร้อมกับน้ำเสียงสั่นเครือ
“นี่… ยัยนี่ไม่เป็นอะไรแน่นะ…”
“หืม? แค่แก้วหูทะลุเฉยๆ แล้วก็นั่งอยู่นิ่งๆ หน่อยได้ไหมฉันจะปฐมพยาบาลให้”
“ปฐมพยาบาล? คืออะไร…?”
เมื่อเห็นดังนั้นนาคาซก็หันไปหยิบอุปกรณ์ปฐมพยาบาลออกมาจากกระเป๋าเคียงของตนพร้อมกับเริ่มทำแผลให้เลออนอย่างช่ำชอง
“โดนไปกี่รอบแล้วเนี่ย”
“2 รอบได้… อ๊าก!”
“ก็บอกให้อยู่นิ่งๆ ไง จะดิ้นทำซากอะไรล่ะ!”
“ก็มันเจ็บนี่!”
•นี่แค่ 2รอบยังเจ็บขนาดนี้เลยหรอ เห็นเรียบร้อยแบบนั้นแต่ก็บ้าเลือดพอตัวเลยนะยัยนั่น•
“ตรงนั้นอย่าๆๆๆๆ อ๊- อุ๊บ” ก่อนที่เลออนจะได้แผดเสียงกรีดร้องออกมาเขาก็โดนนาคาซเอาสำลีอุดปากพร้อมกดร่างและทำแผลต่อด้วยสีหน้านิ่งเฉย
“เย็น!”
เพียงแค่นาคาซเอามือไปอังบริเวณแผลที่มีคราบน้ำแข็งติดอยู่เขาก็ต้องรีบชักมือกลับมาทันทีด้วยความตกใจ
•ตรงนี้เย็นเจี๊ยบเลย แผลตรงเอวนี่โดนน้ำแข็งกัดมางั้นหรอ? ผิวซีดจนจะขาวแล้วแถมแผลก็เริ่มบวมแล้วด้วย น่าจะระดับ 2ได้…•
•โชคดีที่วินซ์เคยสอนเรื่องนี้มา งั้นก่อนอื่นก็ต้องต้องเพิ่มความอุ่นให้กับผิวหนังก่อน แล้วค่อยพันแผลให้ก็แล้วกัน•
นาคาซหยิบคทาขึ้นมาพร้อมกับร่ายเวทใส่สำลีเพื่อเพิ่มความอุ่นและนำมันไปประคบกับบริเวณแผลที่ถูกน้ำแข็งกัดก่อนที่จะใช้ผ้าพันแผลพันทบไปอีกทีหนึ่ง
“เสร็จ!”
ทันทีที่ทำแผลให้เสร็จเรียบร้อยนาคาซก็กระชากสำลีออกมาจากปากของเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลอ่อน
“แหวะ มีขุยๆ ติดอยู่ในปากฉันด้วย”
เลออนพยายามที่จะปัดขุยสำลีออกจากปากพร้อมกับแสดงสีหน้าเหยเกชวนขำออกมา
“ก็ใครบอกให้ดิ้นล่ะ”
“ก็มันช่วยไม่ได้นี่!”
โคร่มมมม!!
“เด็กคนนี้เป็นปีศาจรึไงกัน ใช้เวทโดยไม่ร่ายสักบทเลยเนี่ยนะ”
“โจมตีไม่โดนสักรอบเลย นี่มันบ้าอะไรเนี่ย”
ครื่นนน
“อ๊ากกก ช่วยด้วย แขนฉัน แขนฉัน แขนฉัน แขนฉ้าน”
“โถ่เว้ย!”
เสียงการปะทะกันของผู้เหลือรอดดังมาจากโถงทางเดินที่อยู่ข้างหลังบานประตูไม้ของห้องอาหารแห่งนี้ การที่โลล่าไม่ได้ปรากฎตัวออกมาตามล่าเลออนที่พลัดตกลงมาในทันทีก็คงมีความเป็นไปได้ที่เธอจะคิดว่าเขาหมดสติไปเรียบร้อยแล้วหรืออาจจะเผอิญพบเข้ากับนักเวทฝึกหัดที่เหลือรอดอีกคู่หนึ่งซะก่อนก็เป็นได้
“กรี๊ดดดด!”
เด็กหนุ่มทั้งสองคนหันไปมองหน้ากันอย่างพร้อมเพรียงเมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องดังลั่นของนักเวทฝึกหัดคนสุดท้ายและเมื่อเลออนตั้งท่าเหมือนจะหยิบดาบคู่ของตนขึ้นมานาคาซก็รีบแย่งพวกมันออกมาจากมือของเด็กหนุ่มที่บาดเจ็บอยู่ในทันที
“เฮ้!”
“สภาพนี้แล้วแกจะทำอะไรได้ เคยบอกแล้วนี่ว่าฉันไม่ชอบพวกที่ทำอะไรได้แค่ครึ่งๆ กลางๆ ”
“แล้วจะให้ฉันทำอะไร นั่งอยู่เฉยๆ รอความพ่ายแพ้รึไง”
“ฉันจะถ่วงเวลาไว้ให้จนกว่าจะรู้สึกว่าแผลตรงเอวนั่นอุ่นขึ้นพอที่จะขยับได้ ระหว่างนั้นก็ใช้เวลาที่มีคิดซะว่าจะทำอะไรต่อ”
“ฮึ ถ่วงเวลาเนี่ยนะ… เอาเถอะอย่างแกก็คงสู้กับยัยนั่นได้อยู่ละมั้ง… แต่ระวังด้วยล่ะ ยัยนั่นเองก็มีดาบล่องหนเหมือนของแกด้วยเหมือนกัน”
“ดาบล่องหนเนี่ยนะ?”
•ยัยนั่นใช้ได้แต่เวทสายอควาไม่ใช่รึไงกัน?•
อสรพิษสีนิลครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และเมื่อเอาไปผูกกับว่าทำไมดาบของเขาถึงหายไปคำตอบมันก็ชัดกระจ่างแจ้งจนรู้สึกหมั่นไส้ไม่น้อย
•อ๋อ… งี้เองสินะ….•
“แล้วมีอย่างอื่นอีกมั้ย”
นาคาซหันหน้าไปถามเลออน
“หอกน้ำแข็ง… รายนี้แหละตัวดีเลยเพราะแค่เฉียดนิดเดียวสภาพก็อย่างที่เห็นเนี่ยแหละ”
เลออนพูดพร้อมกับชี้นิ้วไปยังแผลที่เอวของตนเอง
“งั้นหรอ….”
•หอกน้ำแข็งงั้นหรอ…. นั่นมันเข้าขั้นเวทระดับเดียวกับอินวิซิบีเลียของเราแล้วไม่ใช่รึไงกัน… ชิ เราเองก็โดนหลอกเหมือนกันงั้นหรอ… อยู่ๆ ก็รู้สึกไม่สบอารมณ์เลยแฮะ•
ตึ่ง!
ตึ่งง!
ตึ่งงงง!
โคร่มมมม!
ประตูบานยักษ์ถูกพังถลายลงอย่างง่ายดายราวกับแผ่นกระจก เกล็ดน้ำแข็งสีครามและไอเย็นยะเยือกสีขาวไหลเข้ามาในห้องอาหารดั่งสายธารที่ล้นทะลักเข้ามากลืนกินและย้อมเศษทวานไม้ที่แตกหักให้กลายเป็นผลึกน้ำแข็งสีไพลินในเวลาอันสั้น และท่ามกลางม่านหมอกแห่งความหนาวเหน็บที่ค่อยๆ แผ่ขยายไปทั่วทั้งห้องนั้นก็ได้เปิดเผยร่างของเด็กสาวที่ก้าวเดินกลับเข้ามาในห้องอาหารอีกครา
ร่างกายมากกว่าครึ่งของโลล่าถูกปกคลุมไปด้วยเกล็ดน้ำแข็งสีครามไม่ต่างจากหอกไม้ที่อยู่ในมือของเธอ และที่บนเหนือศีรษะก็มีบางสิ่งที่มีลักษณะคล้ายกับวงแหวนหลายวงซ้อนทับกันอยู่ เด็กหนุ่มสามารถสัมผัสได้บรรยากาศที่เขาคุ้นเคยแต่กลับที่แตกต่างออกไปจากร่างของเด็กสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าของเขา
•ถึงจะให้บรรยากาศที่คล้ายกันก็เถอะ… แต่รู้สึกได้ถึงความต่างจากบรรยากาศเมื่อคืนมากเลยแฮะ… งั้นนี่ก็คงเป็นสันดารดิบของยัยนี่สินะ•
“idNussg יעד qbidg למצוא dwjLanwb”
“Nieho אותר cuvux”
“La~♩” แท่งน้ำแข็งจำนวนมากปรากฎออกมาจากอากาศและพุ่งเข้าไปโจมตีใส่นาคาซราวกับห่าฝน แต่ทว่าเด็กหนุ่มก็สามารถหลบพร้อมกับใช้ดาบคู่ปัดแท่งน้ำแข็งเหล่านั้นทิ้ง ได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
•เป็นเวทที่ยุ่งยากซะจริง แบบนี้ประชิดตัวไม่ได้แน่•
เมื่อเห็นว่านาคาซใช้สมาธิจดจ่อกับการโจมตีของเธอ โลล่าก็สร้างแท่งน้ำแข็งออกมามากขึ้นเป็นทวีคูณพร้อมกับตั้งท่าก่อนที่กระโจนเข้าไปโจมตีเขาด้วยหอกเคลือบน้ำแข็ง
เกร้ง!
เด็กหนุ่มไขว้ดาบสกัดรับการโจมตีของโลล่าได้ก่อนที่ปลายหอกจะได้แทงทะลุเสื้อผ้าเข้าไปสัมผัสกายเนื้อของเขาได้อย่างเฉียดฉิว
ความหนาวเหน็บจากน้ำแข็งสีครามที่แผ่ออกมาจากร่างของเด็กสาวค่อยๆ ลุกลามกัดกินดาบไม้และพละกำลังของเขาอย่างต่อเนื่องจนลมหายใจเริ่มกลายเป็นไอ
“อึก…”
•ขนาดสกัดไว้ได้ยังขนาดนี้ ถ้าโดนแทงเข้าไปนี่เนื้อคงตายในไม่ช้าแน่•
เด็กสาวใช้แขนอีกข้างของตนหวดดาบไม้เข้าไปที่ข้างลำตัวของเด็กหนุ่มระหว่างที่เขาใช้แรงทั้งหมดต้านแรงหอกน้ำแข็งอยู่ในทันที แต่ทว่านาคาซก็สามารถหลบการโจมตีนั้นได้ด้วยการปล่อยดาบคู่ให้ร่วงลงไปและก้มตัวลงหลบวิถีดาบของเธอ และเนื่องจากโลล่าใส่แรงมากเกินไปนั่นจึงทำให้เธอเสียหลักและกำลังจะล้มลง แต่ก่อนที่ร่างของเธอจะได้สัมผัสกับพื้นอสรพิษสีนิลก็รีบขว้าดาบคู่ที่ลอยอยู่กลางอากาศอย่างรวดเร็วก่แนที่ใช้พวกมันฟาดเข้าไปที่ท้องของเด็กสาวอย่างสุดแรงจนเธอกระเด็นไปกระแทกกับกำแพงที่โถงทางเดินข้างนอกห้อง
•มือสั่นไปหมดเลย…•
นาคาซหยิบคริสตัลเวทมนตร์ที่มีสัญลักษณ์ ᚲ ออกมาจากกระเป๋าเคียงอีกใบของตนออกมาและใช้มือเปล่าบีบมันจนแตก
เพล้ง!
ความหนาวเหน็บและเกล็ดน้ำแข็งที่ปกคลุมดาบและแขนทั้งสองข้างของเขาถูกแผดเผาจนระเหยกลายเป็นไอในชั่วพริบตา
“มีของดีแบบนั้นทำไมไม่ใช้กับฉันมั้งล่ะ!” เลออนตะโกนออกมาพูดคุยกับนาคาซระหว่างที่เฝ้าดูการปะทะกันของเขาและโลล่า
“อยากโดนเผามากนักรึไง!”
•เดิมทีที่ร่างกายทนได้ขนาดนี้ก็เพราะเป็นโคคุจานี่แหละนะ…•
“dqobw La~♩” เด็กสาวยืนขึ้นมาอีกครั้งด้วยท่าทางที่แข็งทื่อผิดมนุษย์พร้อมกับยกหอกขึ้นเหมือนจะร่ายเวทอะไรบางอย่าง
•จะร่ายเวทอีกแล้วหรอ!•
“อย่าหวังเลย!”
อสรพิษสีนิลกระชับดาบคู่ของตนแน่นพร้อมกับพุ่งเข้าไปเตรียมที่จะโจมตีเด็กสาวก่อนที่เธอจะร่ายเวทบทนั้นได้สำเร็จ
ครื้นนน!!
ครื้นน!
ครื้นนน!!
กำแพงน้ำแข็งจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งทะลุขึ้นมาจากพื้นห้องเพื่อสกัดกั้นการบุกโจมตีของเด็กหนุ่ม แต่ทว่านาคาซก็สามารถวิ่งไต่ข้ามและฝ่าพวกมันไปได้พลางปาคริสตัลเวทอัดเข้าไปเพื่อสร้างช่องทางและความอบอุ่นให้กับตนเองอย่างต่อเนื่อง
•ยังไหวอยู่! ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปล่ะก็…•
เมื่อเขาฝ่าออกมาจนพ้นจากดงกำแพงน้ำแข็งได้สำเร็จสิ่งที่รออยู่ตรงหน้าของเขาอยู่ก็คือเด็กสาวที่ร่ายเวทบทนั้นเสร็จเรียบร้อยพร้อมกับชี้ปลายหอกน้ำแข็งมาทางเขา
“זוהה bxidkLJN למקד dvsje”
“เวร…”
ตู้ม!
กระแสน้ำแรงดันสูงพุ่งออกมาจากปลายหอกเข้าไปอัดร่างของเด็กหนุ่มจนปลิวไปติดกำแพงข้างในสุดของห้องอาหาร
“อั๊ก!!”
“นาคาซ!!” เลออนตะโกนเสียงลั่นออกมาด้วยความตกตะลึงก่อนที่จะถูกดึงสติด้วยพิษบาดแผล
“อึก….”
°ขืนเป็นแบบนี้ต่อไปคงไม่ดีแน่° เขารีบหยิบคทาเวทขึ้นมาก่อนที่จะเริ่มร่ายเวทบทที่ยากที่สุดเท่าที่ตัวเองจำได้
°ไม่ยอมให้เป็นเหมือนตอนนั้นหรอกน่า!°
“ขอให้ทันด้วยเถอะ”
“แค่กๆๆ…. โอ๊ย นี่กะจะเอาตายเลยรึไงกัน”
นาคาซหยิบคริสตัลเวทที่เหลือในกระเป๋าออกมาเช็คดูพร้อมกับใช้ดาบพยุงร่างตัวเองให้ยืนขึ้นมาอีกครั้ง
•เหลือคริสตัลเวทอีกแค่ 2เม็ด… •
เขายืนใช้เวลาครุ่นคิดอยู่ชั่วสั้นๆ ก่อนที่จะหยิบคทาเวทของตัวเองขึ้นมาและเริ่มสั่งร่ายคาถาเวท
•อินวิซิบีเลีย•
•ต้องใช้เวลาร่ายเวทบทนี้ 28วินาที นั่นหมายความว่าเราต้องยื้อให้ได้โดยที่ใช้แค่กระบวนดาบกับคริสตัลเวทที่เหลือแค่ 2เม็ด… ยิ่งความเสี่ยงสูง ผลตอบแทนก็สูงตามงั้นสินะ….•
•เพราะงี้ไงถึงได้เกลียดการพนัน…•
ตู้ม!
โลล่ายิงกระแสน้ำแรงดันสูงเข้ามาใส่เขาอีกครั้งหนึ่ง แต่ในครั้งนี้เด็กหนุ่มสามารถกลิ้งหลบการมันได้อย้างเฉียดฉิว นาคาซตัดสินใจกระโดดขึ้นไปบนโต๊ะอาหารและวิ่งเข้าไปประชิดร่างของโลล่าพลางกับหลบแท่งน้ำแข็งและกระสุนน้ำแรงดันสูงที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากเด็กสาว
•อีก 18วิ•
อสรพิษสีนิลกระโดดขึ้นไปกลางอากาศหวังจะใช้ดาบฟันเข้าไปที่ส่วนใดก็ได้บนร่างกายของโลล่า แต่ทว่าเธอก็สามารถป้องกันการโจมตีนั้นได้ด้วยโล่น้ำแข็งที่งอกออกมาจากแขนข้างซ้ายของเธอก่อนที่จะผลักร่างของเขาให้กระเด็นออกไป
•เหลืออีก 12วิ•
เด็กหนุ่มแสดงสีหน้าเรียบเฉยที่แสดงถึงความจริงจังออกมาและเริ่มตั้งกระบวนดาบคู่ขึ้นโดยการชี้ปลายดาบข้างหนึ่งออกไปข้างหน้าและไขว้ดาบอีกข้างหนึ่งไว้ข้างหลัง
•กระบวนดาบคู่ วิฬาร์เริงระบำ•
เขากระโดดเหยาะๆ อยู่สองครั้งและพุ่งเข้าไปโจมตีเด็กสาวด้วยความเร็วที่มากขึ้นกว่าเดิมชนิดที่เหมือนการต่อสู้ทั้งหมดเมื่อกร้เป็นแค่การอุ่นร่างกาย แต่ทว่าโลล่าก็ยังคงตามความเร็วปัจจุบันของเขาได้ทันพร้อมกับใช้หอกแทงออกไปเฉียดหน้าของนาคาซเพียงเล็กน้อย เด็กหนุ่มหลบการโจมตีของเธอทั้งหมดก่อนที่กระโดดขึ้นไปเหยียบปลายหอกเคลือบน้ำแข็งเล่มนั้นพร้อมกับตีลังกาข้ามหัวเธอไปปาคริสตัลเวทอัดเข้าที่หน้าของเธออย่างจัง
ตู้ม!
คริสตัลเวทแตกออกกลายเป็นระเบิดเพลิงขนาดย่อมๆ ขึ้นมาระเหิดน้ำแข็งที่อยู่รอบตัวของเด็กสาวให้กลายเป็นไอน้ำสีขาวปกคลุมไปทั่งทั้งบริเวณ
•อีก 3วิ•
ทันทีที่เท้าของนาคาซแตะพื้นเข้าก็ไขว้ดาบทั้งสองข้างไว้ที่ข้างหลังและเตรียมที่จะกระโจนเข้าไปโจมตีเธอต่อในทันที แต่ก่อนที่หมอกควันจะได้จางลงโลล่าก็ได้ปาโล่น้ำแข็งออกมาขัดจังหวะของเขาไว้ก่อนที่กระโดดออกมาจากม่านควันหมายจะใช้หอกเคลือบน้ำแข็งฟาดลงไปยังตำแหน่งที่นาคาซยืนอยู่
•1•
•0•
เมื่อวงเวทถูกสร้างขึ้นมาเสร็จสมบูรณ์สายลมก็พวยพุ่งเข้าไปโอบล้อมดาบของเขาทันที และในจังหวะก่อนที่หอกเคลือบน้ำแข็งจะได้ฟาดพิพากษาลงที่ศีรษะของเขา นาคาซก็ได้อันตรธานหายไปจากสายตาของเธอทันที
•ช้าไป!•
เด็กหนุ่มปรากฏตัวขึ้นมาข้างกายของเธอพร้อมกับใช้ดาบคู่ของตัวเองแทงไขว้เข้าไปที่ร่างกายของโลล่า แต่ทว่าเด็กสาวก็สามารถไหวตัวได้ทันและใช้ดาบยาวต้านการโจมตีนั้นไว้ได้พร้อมกับใช้แขนอีกข้างตวัดหอกน้ำแข็งเข้าไปโจมตีที่สะโพกของเขา
สายลมกระโชกถูกปลดปล่อยออกมาจากดาบของนาคาซเพียงเสี้ยววินาทีเพื่อเบี่ยงวิถีหอกเล่มนั้นออก เขารีบชักดาบของตัวเองกลับไปทันทีพร้อมกับกระโดดถอยออกไปตั้งหลักอีกครั้งหนึ่ง
•ยัยนี่….•
อสรพิษสีนิลหยิบคริสตัลเวทเม็ดสุดท้ายในกระเป๋าออกมาก่อนที่จะใช้มือข้างที่ถือดาบล่องหนบีบมันจนแตก
เพล้ง!
ฟึ่บ!
แสงไฟสีแสดส่องประกายลอดผ่านออกมาจากมือของนาคาซก่อนที่จะมีเกลียวไฟคู่หนึ่งไหลลงมาจากด้ามจับและค่อยๆ กลืนกินดาบสายลมที่เขาถืออยู่
•ให้มันได้แบบนี้สิ…•
•เคลือบดาบด้วยสายลมล่องหนก่อนและต่อด้วยเวทไฟจากคริสตัลเวทแบบนี้ดาบก็จะไม่ไหม้เร็วจนกลายเป็นถ่านไปซะก่อน ถ้าไฟนี่มอดเมื่อไหร่เราเองก็คงจบเห่แน่•
อสรพิษกระชับดาบในมือและตั้งกระบวนท่าวิฬาร์เริงระบำขึ้นอีกครัังหนึ่งด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียดยิ่งกว่าเดิม
ครืดดด!
โลล่าสบัดหอกสร้างเกลียวคลื่นน้ำแข็งขนาดใหญ่ขึ้นมาโจมตีใส่ในขณะที่นาคาซตั้งท่าพร้อมกับปลดปล่อยไฟออกจากดาบและยิงเกลียวพายุเพลิงขนาดเล็กออกไปละลายน้ำแข็งเป็นทางให้เขาสามารถวิ่งฝ่ามันออกไปได้และเข้าไปปะทะเข้ากับโลล่าอีกครั้งหนึ่ง แต่เนื่องจากอาวุธที่เด็กสาวใช้นั้นเป็นอาวุธระยะกลางและยาวเมื่อผสมผสานเข้ากับทักษะการป้องกันอันไร้ที่ติของเธอแล้วนั่นจึงทำให้นาคาซไม่สามารถที่จะฝ่าเข้าไปคลุกวงในและเล่นงานเธอได้ง่ายๆ เลยสักครั้งจนทำให้เขาต้องถอยห่างออกมาพักเป็นช่วงๆ
•การ์ดแข็งเป็นบ้า เกิดมาไม่เคยเจอใครที่การ์ดแข็งได้เท่านี้เลย อย่างกับรู้ล่วงหน้าว่าเราจะโจมตีแบบไหนอย่างนั้นแหละ… ชิ… น่าหงุดหงิดชะมัด•
เด็กสาวตั้งท่าและพุ่งเอาหอกเข้ามาแทงเขาอีกครั้งอย่างรวดเร็ว แต่ผลลัพธ์มันก็เหมือนกับครั้งก่อนนาคาซกระโดดขึ้นไปเหยียบใบหอกของเธอพร้อมกับตีลังกาม้วนตัวข้ามหัวของโลล่าไปและเตรียมที่จะปลดปล่อยพายุเพลิงเข้าไปที่กลางศีรษะของเธอ
•ไม่เข็ดเลยรึไงกัน•
“ifbl” แท่งน้ำแข็งงอกออกมาจากกลางอากาศบริเวณเหนือศีรษะของเขา และเมื่อนาคาซรู้ตัวก็รีบพลิกตัวหันคมดาบออกไปปลดปล่อยพายุเพลิงใส่แท่งน้ำแข็งเหล่านั้นทิ้งออกไปแทนทันที
“ฉิบ-”
เด็กสาวบิดข้อเท้าหันตัวกลับมาใช้ดาบไม้ฟาดเข้าไปที่ร่างของนาคาซที่ลอยอยู่กลางอากาศอย่างแรงจนเขาปลิวไปกระแทกกับผนังห้องอาหารอีกครา
“อั๊ก!!”
ทันทีที่เด็กหนุ่มพยายามพยุงตัวขึ้นมายืนอีกครั้งโลล่าก็ตั้งท่าเตรียมที่จะพุ่งเข้าไปใช้หอกเคลือบน้ำแข็งเสียบเข้าไปที่ร่างของเขา และเพียงไม่กี่อึกใจก่อนที่ปลายหอกนั้นจะได้สัมผัสกับร่างของนาคาซก็มีบางสิ่งลอยมาอัดใส่เธออย่างจัง
โคร่มมม!
เลออนปรากฏกายออกมาด้วยการกระโดดถีบขาคู่เข้าไปที่ศีรษะของโลล่าอย่างสุดแรงจนทำให้ร่างของเธอกระเด็นไปชนกับโต๊ะอาหารจนแหลกเป็นเสี่ยงๆ
“สภาพดูไม่ได้เลยนะ”
เลออนยื่นมืออกมาและดึงร่างของนาคาซขึ้นจากพื้น
“ร้อน! ไปทำอะไรมาเนี่ย”
นาคาซรีบชักมืของตัวเองกลับทันทีก่อนที่จะยืนขึ้นด้วยตัวเอง
“เวทไพ่ตายฉันเอง! เจ๋งใช่มั้ยล่ะ”
เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนกล่าวอย่างมั่นใจพร้อมกับชี้นิ้วโป้งเข้าหาตัวเอง
“แล้วแผลล่ะเป็นไงมั้ง”
“อืม… ไม่รู้สิตอนแรกก็เจ็บอยู่หรอก แต่พอร่ายเวทเสร็จตัวมันก็ร้อนขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็ไม่รู้สึกเจ็บอะไรแล้ว แถมกลับมามีเรี่ยวแรงมากกว่าก่อนหน้านี้อีก”
เมื่อนาคาซสังเกตร่างของเลออนอย่างละเอียดเขาก็พบว่านอกจากตัวของเลออนจะร้อนมากแล้วนั้นเขายังมีสีผิวที่แดงฉาดผิดปกติราวกับถูกแสงอรุณแผดเผามาอีกด้วยเช่นกัน
•เวทของพวกดรูอิดงั้นหรอ?… ไว้ก่อนละกัน•
“เอ้า เอาดาบใช้สิ”
นาคาซโยนดาบไม้เล่มปกติให้กับเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนก่อนที่จะปัดเศษฝุ่นออกจากเสื้อผ้าของตน
“ไม่ใช้แล้วหรอ”
“ตั้งแต่ร่ายเวทเสร็จก็รู้สึกว่ามันเป็นภาระมากกว่า เพราะงั้นให้นายใช้ไปมันก็คงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดนั่นแหละนะ… อีกอย่างนึงฉันถนัดดาบเดียวมากสุดน่ะ”
“iwNs” เด็กสาวใช้มือสัมผัสกับพื้นหินอ่อนและตวัดมันขึ้นสร้างคลื่นน้ำแข็งสีครามสูงเสียดเพดานห้องขึ้นมาโจมตีเด็กหนุ่มทั้งสองคน
“ไม่ไหว ไม่ไหว ไม่ไหว! แบบนี้มันเกินกว่ากติกาแล้วนะเฮ้ย!”
เลออนส่งเสียงโอดครวญออกมาพร้อมกับท่าทีลุกลี้ลุกลนในขณะที่นาคาซใช้มือทั้งสองข้างกำดาบของตนไว้แน่น
“เข้ามา!”
อสรพิษตัวน้อยตั้งท่าข้างลำตัวขึ้นมาพร้อมกับเค้นความร้อนของดาบอัคคีจนถึงขีดสุด รังสีความร้อนสูงแผ่ซ่านออกมาละลายน้ำแข็งที่เกาะอยู่ในบริเวณรัศมีทั้งหมดของมัน ดวงไฟสีแสดถูกบีบอัดให้เล็กลงจนเริ่มแปรเปลี่ยนกลายเป็นสีอำพันก่อนที่จะกลายเป็นไฟสีขาวในฉับพลัน นาคาซส่งแรงทั้งหมดที่มีไปยังแขนของตัวเอง เขาเหวี่ยงดาบปาดขวางตัดก้อนน้ำแข็งขนาดยักษ์อย่างสุดแรงจนความหนาวเหน็บและเศษน้ำแข็งที่กระจายอยู่ทั่วห้องทั้งหมดระเหิดกลายเป็นไอน้ำเพียงชั่วพริบตา
“อ๊ากกกกกกกกกกก!!”
ทันทีที่ยับยั้งการโจมตีของโลล่าได้สำเร็จเด็กหนุ่มผู้ถือครองดวงเนตรโลหิตก็ทรุดตัวลงไปกองกับพื้นพร้อมกับแผดเสียงกรีดร้องอันเจ็บปวดออกมาอย่างไม่เป็นภาษา แขนทั้งสองข้างของเขาถูกไฟแผดเผาจนไหม้เกรียมเช่นเดียวกับดาบอัคคีที่กลายเป็นเพียงแค่ผงขี้เถ้า
“นาคาซ!”
เลออนรีบก้มตัวลงไปดูอาการของนาคาซด้วยความตกใจในทันที
“ฉัน… ไม่เป็นไร…”
“แต่ว่า…”
“เถอะน่า…. ฉันขอพักฟื้นตัวสักหน่อย… ช่วยถ่วงเวลาให้หน่อยได้มั้ย”
เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนแสดงสีหน้าของความลังเลออกมาอยู่ชั่วครู่สั้นๆ ก่อนที่จะหยิบดาบไม้ของตนขึ้นมาพร้อมกับตอบรับความต้องการของอสรพิษสีนิล
“อ่า… เข้าใจล่ะ ฝากความหวังไว้กับฉันได้เลย”
ทั้งสองคนชนกำปั้นกันเพื่อแสดงความไว้ใจก่อนที่เลออนจะวิ่งออกไปต่อสู้ยื้อเวลากับโลล่าที่เริ่มแสดงท่าทีที่แปลกไปจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด
“แค่กๆๆ”
•แรงยังพอมีอยู่… แต่แขนนี่คงต้องใช้เวลาฟื้นตัวสักพักใหญ่ๆ เลยแฮะ… ถึงจะเกิดเป็นโคคุจาที่มีพลังฟื้นฟูร่างกายเร็วผิดมนุษย์ก็เถอะ แต่เราก็ยังไม่ได้ผ่านพิธีเบิกเนตรนี่นะ… คงได้แต่หวังว่าหมอนั่นจะยื้อเวลาได้มากพอเท่านั้นแหละ•
นาคาซคลานลากร่างของตัวเองไปนั่งพิงกับกำแพงห้องแล้วใช้แขนที่ไหม้เกรียมหยิบขี้ผึ้งออกมาจากกระเป๋าเคียงอย่างยากลำบาก
•ชิ โดนเผาไปยันเนื้อใน แม้แต่นิ้วยังกระดิกไม่ไปเลย•
(ให้ตายเถอะ~ สภาพดูไม่ได้เลยนะ~)
“เสียงนี้มัน-”
ทันทีที่ได้ยินเสียงอันคุ้นเคยพุ่งตรงเข้ามายังสมองของเขานาคาซก็รีบหันซ้ายหันขวาเพื่อที่จะหาร่างของต้นเสียง
(ฮาย~)
•อีกแล้วงั้นหรอ…•
เขาคิดพลางกับกวาดสายตามองไปทั่วทั้งห้องระหว่างที่มาขี้ผึ้งทับแผลของตัวเอง
(ก็แหม~ เวลาไหนมันจะเหมาะเจาะเท่าเวลานี้อีกล่ะ~)
•คุณหมายความว่ายังไง•
(มองดูข้างหน้าเธอดีๆ สิหนุ่มน้อย~ เธอเห็นอะไรในตัวเด็กคนนั้นล่ะ~)
เมื่อนาคาซละความสนใจจากการทำแผลของตัวเองและเงยหน้าขึ้นไปจ้องมองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าของเขาตามที่ภูตสีหยกบอก เขาก็ได้เห็นภาพของเลออนที่ต่อสู้ยื้อเวลาอย่างสุดกำลังกับโลล่าที่มีการเคลื่อนที่ที่ดูแข็งทื่อไร้ชีวิตราวกับหุ่นกระบอก วงแหวนที่ลอยอยู่บนศีรษะของเธอก็มีรูปร่างที่เริ่มบิดเบี้ยวกว่าแต่ก่อน เกล็ดน้ำแข็งสีครามเริ่มถูกย้อมให้กลายเป็นสีดำสนิท และไอเย็นยะเยือกที่แผ่ออกมาจากร่างของเธอก็มีกลิ่นอายของความตายผสมออกมา และเพียงแค่ได้มองเห็นมันก็ทำให้นาคาซสามารถนึกถึงภาพความทรงจำอันแสนเลือนลางขึ้นมาได้ด้วยเช่นกัน ภาพของสนามประลองที่ถูกปกคลุมไปด้วยกลิ่นมรณาที่แผ่ออกมาจากน้ำแข็งสีนิล ภาพของผู้คุมสอบสาวที่ถูกแช่แข็งให้ตายอยู่ในโรงศพที่ไม่อาจจะขัดขืน เพียงแค่ได้เห็นเศษเสี้ยวหายนะอันเลือนลางที่เคยเกิดขึ้นเขาก็เกือบที่จะพลั้งมีรังสรรค์คมดาบขึ้นมาสังหารสิ่งที่อยู่ตรงหน้าโดยสัญชาตญาณ แต่ทว่าก่อนที่สมองของเขาจะได้เริ่มคำนวณมันก็ถูกขัดขวางไว้ก่อนเหมือนกับตอนที่เขาไม่สามารถยกเลิกเวทมนตร์ได้
“ทุกคนหยุดการสอบเดี๋ยวนี้!”
เหล่าผู้คุมสอบพากันยกโขยงขึ้นมาอย่างไร้ซึ่งเสียงฝีเท้าเพื่อหยุดยั้งการกระทำที่รุนแรงกว่าเหตุของเหล่านักเวทฝึกหัด แต่แทนที่โลล่าจะหยุดและทำตามคำบอกของพวกเขาเธอกลับเล่นทีเผลอใช้หน้าแข่งเตะอัดเข้าไปที่ท้องของเลออนจนร่างของเขาปลิวเข้าไปชนกับกลุ่มนักเวทมากประสบการณ์เข้าก่อนที่เธอจะลากหอกน้ำแข็งไปกับพื้นและตวัดมันขึ้นมาเพื่อสร้างแท่งหนามสีครามจำนวนมากขึ้นไปแทงใส่พวกเขาต่อ
“ไรอัส!”
นักเวทหนุ่มสบัดคทาสร้างโล่ไฟขึ้นมาต้านทานแท่งน้ำแข็งเหล่านั้นอย่างทันท่วงที
“ราคาห์ อุ้มร่างของของเจ้าหนูนี่ออกไป!”
ฮาล์ฟบลัดหนุ่มผมขาวรีบลุกขึ้นมาลากร่างของนาคาซที่พยายามดิ้นอย่างสุดแรงเข้าไปหลบหลังกำแพงของโถงทางเดินทันทีที่หัวหน้าของเขาออกคำสั่ง
“ปล่อยผมนะ!”
“เอ็ดเวิร์ด โอฟิเลีย ราคาห์ฝากจัดการเด็กๆ ที่บาดเจ็บทั้งหมดด้วย ที่เหลือให้ใช้มาตรการจับกุมระดับสามกับเด็กผู้หญิงคนนั้น!”
“รับทราบ”
มาตรการจับกุมเป็นมาตรการพิเศษที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อควบคุมตัวนักเวทฝึกหัดในกรณีที่กระทำเกินกว่าเหตุ หรือใช้เวทในระดับที่สูงเกินกว่ากติกาหนดและไม่สามารถควบคุมเวทที่ตนเองใช้ได้ หากประเมินสถานการณ์ตอนนี้อย่างผิวเผินแล้วมันก็ดูเหมือนแค่โลล่าพยายามขัดขืนการสอบเพียงเท่านั้น แต่ว่านาคาซรู้ดีว่าสิ่งที่อยู่ตรงนั้นไม่ใช่เด็กสาวมาดคุณหนูที่พวกเขารู้จักในตอนแรกแล้ว เขารีบลุกขึ้นไปและพยายามใช้แรงทั้งหมดที่เหลืออยู่วิ่งเข้าไปหาเหล่าผู้คุมสอบที่กำลังจะปะทะกับเด็กสาว แต่ก่อนที่เท้าของเขาจะได้แตะธรณีประตูก็ถูกหนึ่งในจอมเวทวิ่งมาขว้าตัวและกดร่างของเขาลงไปแนบกับพื้นซะก่อน
“รีบหนีออกมาซะ!”
เด็กหนุ่มตะเบ็งเสียงออกมาในขณะที่พยายามตะเกียกตะกายดิ้นให้หลุดจากการจับกุมของจอมเวทคนนั้น
“ใจเย็นๆ พวกเราไม่ทำร้ายพื่อนเธอหรอก”
ไม่ใช่ นาคาซไม่ได้เตือนโลล่าแต่เตือนพวกเขาต่างหาก
“โถ่เว้ย!”
“โจน่าระวัง!”
“อั๊ก!”
ตอนนี้เหล่านักเวทผู้สังเกตการณ์กำลังพยายามต่อกรกับเด็กสาวอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้เธอบาดเจ็บ ถ้าหากพวกเขาใช้ความสามารถของตัวเองอย่างเต็มประสิทธิภาพพวกเขาคงจะสามารถต่อกรกับโลล่าได้สักแปดนาที แต่เพราะว่าพวกเขาไม่ได้เข้าใจถึงสถานการณ์ที่แท้จริง นั่นจึงทำให้พวกเขาถูกจัดการแบบหมดสภาพไปแล้วถึงสองคนภายในเวลาเพียงแค่สามนาทีเท่านั้น
“นี่มันหนักกว่าที่คิดไว้อีกนะเนี่ย”
“ยกระดับเถอะรอน ถ้าเป็นแบบนี้ต่อพวกเราเอาไม่อยู่แน่”
“ก็ได้… ปรับขึ้นเป็นระดับห้า! อนุญาตให้ใช้อุปกรณ์เวทหลัก อนุญาตให้ใช้เวทถึงระดับสามและอนุญาตให้ใช้อาวุธต่อต้านบุคคลได้!”
ทันทีที่จอมเวทหนุ่มออกคำสั่งเหล่าผู้คุมสอบที่เหลืออยู่อีกสามคนก็หาโอกาสสับเปลี่ยนไปใช้อุปกรณ์เวทหลักของตัวเองพร้อมกับชักอาวุธไร้คมออกมาในขณะที่ต้องหลบเวทมนตร์ที่โลล่าร่ายใส่พวกเขาอย่างต่อเนื่อง และทันทีที่เตรียมตัวเสร็จพวกเขาก็สามารถแสดงศักยภาพในการต่อกรกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้อย่างยอดเยี่ยมผิดกับก่อนหน้านี้
จอมเวทผมแดงวิ่งนำหน้าเข้าไปปะทะกับโลล่าด้วยพลองเหล็กพับได้ที่อยู่ในมือ เขาใช้มันสกัดกั้นหอกเคลือบน้ำแข็งของเธอได้อย่างช่ำชองพร้อมกับเปิดช่องโหว่ให้นักเวทคนอื่นๆ บุกเข้าไปโจมตีต่อได้ แต่ด้วยร่างกายที่เล็กกว่าพวกผู้ใหญ่เกือบเท่าตัวนั่นจึงทำให้โลล่าสามารถหลบหลีกและร่ายเวทสวนกลับไปได้ทุกครั้ง
เธอถอยร่นออกมาจากระยะโจมตีของเหล่านักเวทก่อนที่เธอจะกระทืบเท้าลงไปที่พื้นอย่างแรงแผ่กระจายไอเย็นยะเยือกและสะเก็ดน้ำแข็งให้ระเบิดออกไปเป็นวงกว้างกลืนกินพื้นที่ทั่วทั้งห้องยกเว้นบริเวณข้างหลังที่รอน โคลท์พ่นไฟสีอำพันออกมาสกัดกั้นพวกมันไว้ เขาจับคทาร่ายเวทอะไรบางอย่างก่อนที่จะให้สัญญาณมือจำเพาะกับนักเวทใต้การสั่งการก่อนที่จะกระแทกพลองเหล็กลงไปกับพื้นแผ่กระจายไอความร้อนระเหิดเกล็ดน้ำแข็งให้กลายเป็นไอภายในพริบตา
“ไม่คิดเลยว่าต้องมาเอาจริงกับเด็กหกขวบเนี่ย… ฮ่าๆ นี่สิอนาคตของชาติ!”
จอมเวทหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูสนุกสนานก่อนที่จะควงพลองของตัวเองและกระโจนเข้าไปโจมตีโลล่า
“เฮ้! เรามาจับเด็กนะเบาๆ มือหน่อยสิ!”
“ช่างเถอะ ทำตามที่หมอนั้นสั่งไว้ก็พอ”
เด็กสาวกระโดดหลบการโจมตีของเขาได้อย่างง่ายดาย และเธอก็ได้โจมตีสวนกลับเขาไปด้วยแท่งน้ำสีครามจำนวนนับไม่ถ้วน แต่เพียงแค่ชายหนุ่มสบัดมือก็เกิดเพลิงเหลวกระจายออกมาละลายพวกมันทิ้ง และทันทีที่เห็นโอกาสเขาก็พุ่งเข้าไปเตรียมที่จะใช้พลองเหล็กกระทุ้งเข้าที่กลางท้องของโลล่าแต่อยู่ๆ ก็ได้มีบางอย่างมาขัดขวางเขาไว้ซะก่อน
มันคือแท่งน้ำแข็งสีดำสนิทที่งอกออกมาจากหลังของเด็กสาว พวกมันสามารถเคลื่อนที่ได้อิสระราวกับเป็นอวัยวะอีกส่วนหนึ่งของเธอและไล่ตามเขาได้อย่างผิดธรรมชาติ ไม่ว่าเขาจะวิ่งไปทางไหนและจะเคลื่อนที่ได้เร็วเพียงใดแท่งน้ำแข็งสีดำกลับหักเลี้ยวพุ่งเข้าหาเขาได้อย่างแม่นยำจนน่าประหลาดใจ รอน โคลท์ลองร่ายเวทและปล่อยไฟออกจากมือเพื่อละลายพวกมันดู แต่เขาก็พบว่าพวกมันแตกต่างจากเวทก่อนหน้านี้ที่เด็กสาวร่ายไปทั้งหมด เพลิงอำพันไม่สามารถแม้แต่ที่จะทำให้พวกมันอ่อนตัวลงได้ด้วยซ้ำ
“นี่มันบ้าอะไรเนี่ย”
เขาเร่งฝีเท้าของตัวเองเพิ่มขึ้นอีกเพื่อถ่วงเวลาให้กับลูกทีมที่ต้องเตรียมการจับกุมแบบอยู่หมัด จอมเวทหนุ่มเริ่มร่ายเวทและใช้มือลูบไปที่อาวุธของตนเอง เปลวเพลิงบุษราคัมลุกท่วมพลองเหล็กทันทีที่ร่ายเวทสำเร็จ จอมเวทผมแดงวิ่งไต่กำแพงห้องขึ้นไปถีบส่งร่างของตัวเองไปเหยียบย่ำบนแท่งน้ำแข็งสีนิลที่ทอดยาวออกมาจากร่างของเด็กสาว เพียงแค่ปลายเท้าของเขาได้สัมผัสกับความเย็นที่หยั่งลึกลงไปถึงกระดูกก็ทำให้กล้ามเนื้อแทบทุกส่วนไร้ซึ่งเรี่ยวแรงในฉับพลัน
“เวรเอ้ย!”
เขารีบใช้พลองเหล็กของตัวเองค้ำยันพื้นข้างล่างไว้ก่อนที่ใช้แรงทั้งหมดที่มีเหวี่ยงร่างของตัวเองให้ลอยขึ้นไปบนอากาศพร้อมกับพ่นดวงไฟขนาดเล็กจำนวนมากออกมาโจมตีใส่โลล่าที่ยืนอยู่บนพื้นเบื้องล่าง แต่ก่อนที่ดวงไฟเหล่านั้นจะได้สัมผัสกับร่างของเธอปีกน้ำแข็งสีดำก็สลายหายไปในฉับพลันราวกับมันไม่เคยมีอยู่ตั้งแต่แรกก่อนที่จะถูกแทนที่ด้วยกรงน้ำแข็งที่โผล่ทะลุพื้นขึ้นมาโอบล้อมร่างของเธอไว้ และในจังหวะที่จอมเวทหนุ่มกำลังตกตะลึงกับสิ่งที่ตนได้เห็นอยู่โลล่าก็รีบสลายกรงทิ้งพร้อมกับกระโดดขึ้นไปหมายจะใช้หอกเคลือบน้ำแข็งเสียบร่างของรอน โคลท์ แต่ก่อนที่เธอจะได้ทำแบบนั้นชายหนุ่มก็รีบดึงสติกลับมาปัดการโจมตีของเธอทิ้งก่อนที่จะเผลอใช้พลองเพลิงฟาดลงไปที่ใบหน้าอันสวยงามของเธออย่างแรงจนกระเด็นลงไปกองกับพื้น
“ซวยแล้วไง!”
ทันทีที่ขาแตะพื้นจอมเวทผมแดงก็รีบวิ่งไปดูอาการของโลล่าในฉับพลัน
“แม่หนูเป็นอะไรรึป่าว!”
และในทันทีที่เขาพลิกใบหน้าของเธอมาดูแผลที่โดนโจมตีเขาก็ถึงกับหน้าถอดสี บริเวณที่ถูกพลองเหล็กกระแทกเข้าไปนั้นไม่ได้มีรอยแผลไหม้เกรียมหรือแม้แต่ร่องรอยบาดเจ็บเลยสักนิดเดียว แต่นั้นมันควรจะทำให้เขาดีใจไม่ใช่หรอ? ไม่เลยสักนิด
เกล็ดน้ำแข็งสีครามที่ห่อหุ้มใบหน้าของโลล่าหลุดลอกออกมาจนเผยให้เห็นสิ่งที่อยู่่ข้างใต้พวกมัน
“หน้ากาก…งั้นหรอ…”
เขาค่อยๆ ใช้มือปัดเศษน้ำแข็งออกทีละนิดจนสังเกตใบหน้าของเธอทั้งหมดได้ชัดเจน ผิวหนังสีเนื้อที่ควรจะอยู่ข้างล่างเกล็ดน้ำแข็งเหล่านั้นถูกแทนที่ด้วยหน้ากากสีขาวมันวาวที่ตัดกับเส้นสีทองอย่างปรานีตราวกับเครื่องกระเบื้อง และยิ่งเขาปัดเกล็ดน้ำแข็งเหล่านั้นออกไปมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเผยให้เห็นว่ามันไม่ได้ห่อหุ้มเพียงแค่ใบหน้าของเธอ แต่มันห่อหุ้มทั่วทั้งร่างกายของเด็กสาวไว้ราวกับว่าเป็นเนื้อหนังอีกชั้นหนึ่ง
“isehTw”
“อ๊อก!”
ทันทีที่ได้สติโลล่าก็รีบงอกแท่งน้ำแข็งสีดำออกมาจากแขนและใช้มันเสียบทะลุหัวใจของจอมเวทหนุ่มอย่างไม่ทันตั้งตัว
“รอน!”
“หัวหน้า!”
“คุณโคลท์!!”
เด็กสาวใช้มืออีกข้างขว้าจับศีรษะของเขาไว้ก่อนที่จะแช่แข็งมันให้ตายอย่างสนิท แต่ก่อนที่เธอจะได้ทำอะไรกับเขาไปมากกว่านั้นเถาวัลย์หนามสีแดงก็พุ่งขึ้นมาจากพื้นพันธนาการแขนและขาของโลล่าเอาไว้ในขณะที่เธอกรีดร้องและพยายามขัดขืนพวกมันอย่างสุดแรงแต่ก็ไม่สำฤทธิ์ผล แส้หนามเหล่านั้นดึงร่างของเธอให้ลงไปแนบกับพื้นอย่างช้าๆ ก่อนที่จะถูกครอบด้วยโลงศิลาที่โผล่ขึ้นมาอีกชั้นหนึ่ง เหล่านักเวททั้งฝั่งที่จับกุมและฝั่งที่กำลังรักษาเด็กหนุ่มทั้งสองคนต่างรีบวิ่งเข้ามาดูอาการของจอมเวทเพลิงอำพันในทันที แม้พวกเขาอยากจะด่าทอโลล่ามากแค่ไหนแต่นั้นมันก็เป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบเท่านั้น พวกเขาพยายามที่จะฟื้นคืนชีวิตให้กับรอน โคลท์แม้จะรู้ต่อให้ทำไปมันจะเปล่าประโยชน์ก็ตาม
นาคาซที่ได้เห็นเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้าของเขานั้นทำได้เพียงแค่รู้สึกเจ็บใจที่ตนไม่มีความสามารถมากพอที่จะยับยั้งโลล่าได้ก่อนที่จะมีคนตาย
“โถ่เว้ย!”
เขาทำได้เพียงแค่ใช้มือตบลงไปที่พื้นอย่างสุดแรงด้วยความสมเพชต่อความสามารถของตนเองดวงเนตรโลหิตเปล่งประกายสีแดงเข้มออกมาราวกับว่ามันจะยิงลำแสงออกมาได้แต่ไม่ทันไรเขาก็สลบลงไปอย่างน่าฉงนใจ
“________________ __________ ____ ____ ____”
เขาพูดด้วยเสียงอู้อี้ฟังไม่เป็นภาษาราวโลกที่อยู่ในปัจจุบันไม่สามารถรองรับมันได้ เขาค่อยๆ ลุกขึ้นยืนและก้าวไปหาโลงศิลาที่กักขังโลล่าอย่างช้าๆ พร้อมกับมีแสงสว่างสาดส่องออกมาจากมือที่ไหม้เกรียมของเขา
“นั่นเธอจะทำอะไรน่ะ!”
ผู้คุมสอบสาวที่รักษาเลออนรีบโพล่งขึ้นมาทันทีที่เห็นท่าทีที่แปลกไปของนาคาซ ใบหน้าของเขาไม่ได้แสดงสีหน้าโศกเศร้าหรือโกรธแค้นแต่กลับเป็นสีหน้าเรียบเฉยเย็นชาและดูจริงจัง รูม่านตาของเขาหดตัวลงจนมีรูปร่างเรียวยาวเหมือนกับเมล็ดข้าวสาร
ก้อนแสงในมือของเขาเริ่มแปลงรูปกลายเป็นถุงมืออัศวินทองคำคาบดาบยาวไร้ด้าม และเมื่อเหล่านักเวทเห็นอาวุธปรากฏออกมาจากมือของนาคาซพวกเขาก็พยายามวิ่งเข้าไปห้ามเด็กหนุ่มในทันที แต่ก่อนที่มือของพวกเขาจะได้สัมผัสร่างกายของนาคาซก็เหมือนถูกแรงบางอย่างผลักกระเด็นออกไปชนกับกำแพงและกระจก
“งี้เองหรอ~ ถึงว่าล่ะเหมือนเคยเห็นที่ไหน~… ฮิฮิ้~”
ร่างของหญิงสาววัยกลางคนที่มีผมสีเขียวมรกตปรากฏกายออกมาจากสายลมกระโชกที่โหมกระหน่ำไปทั่วทั้งห้อง ปีกสีหยกสยายออกครอบคลุมร่างของนาคาซเธอโอบกอดคอของเขาอย่างนุ่มนวล
“ภะ…ภูตหรอ…”
เธอค่อยๆ ลูบไล้แขนของนาคาซเบาๆ ก่อนที่จะใช้กรงเล็บไปปลดอาวุธของเขาออกอย่างง่ายดาย
(เดี๋ยวที่เหลือพี่สาวคนนี้จะจัดการให้เอง~ เพราะฉะนั้นจงหลับให้สบายซะเถอะหนุ่มน้อย ~)
ภูตสาวกระซิบใส่ข้างหูของเด็กหนุ่มพร้อมกับใช้อุ้งมือลูบเปลือกตาของเขาให้หลับลงไป
“ออกไปให้ห่างจากเด็กคนนั้- อ๊อก!”
“เอ็ดเวิร์ด! อั๊ก!”
ทันทีที่เหล่านักเวทพยายามจะลุกขึ้นมาเพื่อขัดขวางเธอ พวกเขาก็สลบลงไปทีละคนอย่างไม่ทราบสาเหตุ
“ชิ แห่กันมาจนได้…”
ตึ่ง!
ตึ่ง!!
ตึ่ง!!!!
“USVWSJDIEHVEDKDOCEHENDLWGCWLFODVQLWOXWVNW”
โลงศิลาถูกพังทลายลงหลังจากที่โลล่าพยายามขัดขืนมันมาตลอด หนามสีแดงที่พันธนาการร่างของเธอถูกแช่แข็งและค่อยๆ แตกหัก เกล็ดน้ำแข็งสีครามที่ปกคลุมส่วนที่เหลือของเธออยู่ต่างหลุดลอกออกมาพร้อมกับสิ่งที่น่าจะเคยเป็นเสื้อผ้าของเธอจนหมดเผยให้เห็นร่างกายสีขาวมันวาวงามสง่าที่มีลวดลายทองคำประดับอยู่ตามส่วนต่างๆ วงแหวนที่ทับซ้อนกันหลายชั้นบนหัวของเธอเริ่มหมุนควงในแกนสามมิติเร็วขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกับมันกำลังประมวลผลอะไรบางอย่างอยู่พร้อมกับค่อยๆ แผ่ขยายพื้นน้ำแข็งสีดำออกไปครอบคลุมบริเวณรอบตัว
และทันทีที่วงแหวนเหล่านั้นสงบลงและกลับมาหมุนวนอยู่ในแกนราบอีกครั้งโลล่าก็กระโจนพุ่งเข้าใส่ภูตสาวพร้อมกับควบแน่นดาบน้ำแข็งสีดำขึ้นมาเตรียมที่จะฟันเธอ แต่เเพียงแค่ภูตสีหยกกางมือออกมารับมัน ดาบน้ำแข็งนั้นก็สลายกลายเป็นเศษแสงภายในพริบตา และในจังหวะที่ร่างของเด็กสาวยังคงลอยเข้ามาหาตัวเนื่องจากความเร่งอยู่ภูตสีหยกก็ได้ใช้นิ้วทั้งสี่คว้าจับกระโหลกศีรษะอันเรียวเล็กโลล่าไว้
“อย่ามาดูถูกกันให้มากนักนะ”
“À̷͔r̶̠͊g̷̭͘Ḣ̷͈H̴̘̒H̴̱͂Ḣ̷͍Ḣ̶͇H̴͈̎Ḧ̴̩́Ȟ̴̹Ḧ̷̖H̸̤̍Ḣ̵̨H̵͖͊H̶̜̆H̴͕̒D̸̦̃Ä̴̼J̴̠̎d̸̠̈j̴͙̿ḃ̷̡ş̴̇s̴̻͂k̸̨̒z̶̗̕j̴̜̿I̸͉̕S̴͍͠Ḃ̵̝Ā̷͕b̸̲͌s̵̠̐j̴͔͌s̴͇̈́ḱ̷̻s̵͖̀j̵͓̔w̵̲̕n̵̜̂j̸̪̏w̶̤͆k̸͍̈́s̷̢̏â̴̯k̷̲̽a̵̯̒k̴̲̐w̶̯͋m̸̦̑ẉ̷̓ṉ̶̊ǎ̶̖a̸͜͠b̸̪͆ḯ̶̡m̶̦͋I̶͗ͅA̵̹̾B̸̲̽A̷̳͑l̴̠͒H̵̭̋H̴̭͒Ḥ̷͌H̷̾ͅH̴͉͒H̶̙̓H̵̪̎H̷̞͝H̵̬͐Ḥ̸͝H̸͔̃H̵̻͘H̴̺̃H̶̙͝H̵̆ͅH̶̖̊H̶͓̀H̶͚̍H̸̥́H̷͌͜H̶̱͋H̵̅͜H̶͚͂Ǩ̶̦j̴̨̐w̵̮̔w̵͈̑b̶͉͒k̵̢͐”
ประจุไฟฟ้าภายในร่างกายของโลล่าถูกกระตุ้นอย่างฉับพลันทำให้เธอกรีดร้องออกมาอย่างไม่เป็นภาษาพร้อมกับชักอย่างรุนแรงจนหมดสติไปในที่สุด ภูตตนนั้นปล่อยร่างของโลล่าให้ร่วงลงไปนอนกองกับพื้นราวกับว่ากรทำที่พวกมนุษย์พยายามดิ้รนแทบตายมันไม่มีความหม่ยอะไรเลย แต่พอเหลือบตามองลงไปมองร่างของโลล่าที่นอนสลบใกล้ชิดกับนาคาซเธอก็แสดงท่าทีที่ไม่พอใจออกมาจนต้องใช้เท้าเขี่ยๆ ร่างของเด็กสาวให้ห่างออกมาจากลำตัวของอสรพิษสีนิล
“หวา~ จบแล้วงั้นหรอ น่าเสียดายชะมัด”
เสียงของชายหนุ่มที่ฟังดูเจ้าเล่ห์ดังมาจากทางเข้าห้องอาหาร แต่เมื่อภูตสาวหันไปก็ไม่พบร่างของใครสักคน
“ท่านก็เอากับเขาด้วยหรอ?”
ภูตสาวกล่าวพร้อมกับปรายตามองไปยังระเบียงชั้นบน
“เราแค่มาระงับเหตุที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ต่างหาก แต่ดูเหมือนว่าจะมีเรื่องที่เกินความคาดหมายของเราเกิดขึ้นอยู่นะเนี่ย~…”
เขากล่าวพร้อมกับใช้นัยตาสีเหลืองทองของตัวเองเหลือบมองไปยังศพของจอมเวทอัคคีที่อยู่ข้างล่าง
“เอาเถอะ~ ก็ยังดีกว่าที่นี่ถูกแช่แข็งทั้งหมดแหละนะ”
เสียงคำพูดที่ฟังดูสนุกสนานของเขาดังมาจากส่วนต่างๆ ของห้อง ทั้งข้างบน ข้างล่าง ข้างหน้า ซ้าย ขวาและข้างหลังของภูตสีหยก กลิ่นของพงหญ้าและดอกไม้หลากชนิดคละคลุ้งไปทั่วทั้งห้องแห่งนั้นคอยกลบกลิ่นอายของความตายที่ถูกแผ่ออกมาจากโลล่าเมื่อก่อนหน้านี้ เสียงกีบเท้ากวางประสานเข้ากับเสียงกระดิ่งที่ห้อยอยู่ตรงเอวของเขา ชายหนุ่มโผล่มายืนอยู่ตรงหน้าศพนั้นด้วยท่าทางที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาวก่อนที่จะดึงบางอย่างออกมาจากเข็มขัดเถาวัลย์ที่คาดอยู่ตรงเอว
“ท่านจะจัดการเลยงั้นหรอ”
ภูตสาวเงยหน้าขึ้นไปถามเขาระหว่างที่เธอกำลังโอบกอดร่างของเด็กหนุ่มอย่างเอ็นดู
“หืม~? เราอยู่ได้ไม่นานหรอก ต้องรีบมารับไปไม่งั้นจะเป็นปัญหาเอาน้า~”
เขาก้มตัวลงไปพร้อมกับใช้นิ้วสีซีดอันเรียวยาวเขี่ยแท่งน้ำแข็งที่งอกออกมาจากรูโหว่ตรงช่องอกของจอมเวทผมแดง
(ช่างเป็นกลิ่นที่น่ารังเกียจไม่เปลี่ยน…)
ชายหนุ่มพึมพำเบาๆ ก่อนที่จะใช้นิ้วโป้งดีดฝาขวดแก้วที่บรรจุของเหลวสีประหลาดออกก่อนที่ใช้มันรดไปบนศพของรอน โคลท์
“เรียบร้อย~”
“เอาล่ะบุตรีรักของข้า เจ้าจะเอายังไงกับเด็กคนนั้นต่อล่ะ”
เสียงที่ฟังดูครื้นเครงเปลี่ยนกลายเป็นน้ำเสียงที่จริงจังในทันที ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนพร้อมกับมาปรากฏตัวเบื้องหน้าของภูตสาวอย่างไม่จำเป็นต้องเปลืองแรงเดิน
“หืม?”
ดวงเนตรสีเหลืองมณีจ้องมองเข้าไปยังนัยตาของภูตสาว ดวงตาของเขานั้นช่างงดงามจนน่าหลงไหลและอาจจะเสพติดได้ไม่ยากถ้าหากเหยื่อที่เขาจ้องมองอยู่เป็นสิ่งมีชีวิตมีร่างเนื้อ
“ข… ข้าจะยังเฝ้ารอที่จะทำพันธสัญญากับเด็กคนนี้อยู่….”
ภูตสีหยกตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อยอันเป็นการแสดงความหวาดกลัวลึกๆ ในจิตใจที่มีต่อเขา แต่ทว่าชายหนุ่มก็ไม่ได้ตอบกลับอะไรไปมากกว่ารอยยิ้มกว้างสำหรับสิ่งที่เขาอยากได้ยิน
“เยี่ยม! งั้นเราจะสั่งไม่ให้เพื่อนบ้านตนอื่นมารบกวนพวกเจ้าทั้งคู่ก็แล้วกันนะ~”
ชายหนุ่มรีบลุกขึ้นมาอย่างเร็วพร้อมกับทำท่าเหมือนจะดีดนิ้ว แต่ก่อนที่เขาจะได้ดีดพวกมันภูตสาวก็โพล่งขึ้นมาขัดเขาซะก่อน
“แต่ว่าข้าไม่อยากให้พวกภูตตนอื่นๆ หลีกเลี่ยงการพบปะเขา”
“หืม!? เจ้าจะเอาอย่างนั้นหรอ”
เขาเหลือบหันมามองเธอพร้อมกับเปล่งแสงสีเหลืองออกมาจากตาเป็นการยืนยันความต้องการของเธอ
“ข้ามองว่ามันจะส่งผลดีในระยะยาวมากกว่า…”
“ถ้ามีอะไรมาแย่งตัวเด็กนั้นไปได้ข้าก็ไม่ช่วยเจ้าแล้วน้า~”
ภูตสาวทำเพียงแค่พยักหน้าให้เบาๆ กลับไปเป็นการยืนยันความต้องการตัวเอง
“ถ้าเจ้าว่าอย่างนั้นล่ะก็นะ…”
ป็อก!
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
“อึก….อืม…”
นิทราอันแสนสั้นนั้นช่างยาวนานเมื่อเทียบกับโลกความเป็นจริง เด็กหนุ่มค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ รอให้ภาพพร่ามัวตรงหน้าของเขาเริ่มชัดเจนขึ้น
•เพดานหรอ…•
ภาพของเพดานปูนสีขาวปรากฏเด่นชัดขึ้นมาในสายตา แต่ก่อนที่จะได้ลุกขึ้นมาก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากข้างตัวของเขา
“ได้ฤกษ์ตื่นแล้วหรอ เจ้าเด็กขี้เซา”
“วินซ์….หรอ…”
เขาหันหน้าไปมองที่ต้นเสียงอย่างช้าๆ ด้วยความมึนงงจนพบกับชายชราร่างยักษ์ที่ไว้หนวดเครายาวและมัดผมสีขาวของตัวเองให้เหมือนกับหางม้าสั้นๆ
“ผมหลับไปนานแค่ไหนแล้วเนี่ย….”
“แกน่าจะสลบไปช่วงประมาณแปดได้ส่วนตอนนี้ก็สิบเก้าแล้ว รวมๆ ก็สิบเอ็ดชั่วโมงเต็มๆ ”
“สิบเอ็ดชั่วโมง! อึก…”
เด็กหนุ่มส่งเสียงดังลั่นออกมาด้วยความตกใจก่อนที่จะต้องลงไปนอนแนบกับเตียงอีกครั้งเพราะความเจ็บปวดที่แขนของเขา
“ไม่ต้องรีบลุกก็ได้”
“ถ้าคุณมาอยู่นี่แล้วพ่อล่ะครับ”
“ก็จัดการนู่นนี่อยู่ที่ตึกกลาง เมื้อกี้ก่อนฉันจะแยกมาก็เห็นคุยกับพวกนักเวทอยู่”
“งั้นหรอ… แล้วคนอื่นๆ เป็นไงมั้งครับ”
“คนอื่น?… อ้อ! ถ้าคู่หูแกล่ะก็นอนพักอยู่ที่เตียงข้างหน้าห้องนั่นแหละ”
“งั้นหรอครับ… แล้วอาการของหมอนั้นเป็นยังไงมั่ง”
“มีไข้ขึ้นเพราะอุณหภูมิในร่างกายไม่ปกติ และก็มีแผลน้ำแข็งกัดอยู่ที่เอวด้วยแต่ที่อาการไม่ได้สาหัสมากก็คงเป็นเพราะฝีมือแกสินะ ถ้าสอบฉันคงให้สักแปด”
“เต็มสิบ?”
“เต็มสิบ ใช่ เต็มสิบ”
“บุ๋ย… ไม่เล่นด้วยเลย”
“ฮ่าๆ ถ้าฉันพูดตามที่แกคิดแล้วเขาจะเรียกว่าแกล้งมั้ยล่ะ”
เด็กหนุ่มเบือนหน้าหนีเขาออกไป
“อ้อ ใช่ๆ พึ่งมีจดหมายมาถึงเมื่อวานตอนเย็นเลย อีกสามวันวาซิลิซาจะกลับมาถึงแวนด์”
“พี่จะกลับมาแล้วหรอ!”
ทันทีที่นาคาได้ยินชื่อของคนๆ นั้น ดวงตาของเขาก็เบิกโพลงออกด้วยความดีใจ
“ก็จะถึงยูลแล้วนี่นะ เห็นว่ามีข่าวดีติดมาด้วย”
เด็กหนุ่มค่อยๆ ลุกขึ้นมาระหว่างที่ชายชราร่างยักษ์ลูบคลำจดที่หมายในมือของตัวเองอย่างโหยหา
“ก็บอกว่าไม่ต้องรีบลุกไง”
“ผมจะไปดูหมอนั่นหน่อย”
“งั้นให้ฉันพาไปละกัน”
วินเซนต์เก็บซองจดหมายนั้นพร้อมกับหิ้วร่างของนาคาซขึ้นมานั่งบนบ่าของเขา
“ดะ! เดี๋ยวสิ!”
“Пошли!”
ชายชราผมขาวกล่าวภาษาบ้านเกิดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูมีความสุขพร้อมกับพานาคาซไปยังเตียงผู้ป่วยข้างหน้าห้อง ที่เตียงของเลออนกางผ้าม่านไว้อยู่นั่นหมายความว่ามีญาติมาเฝ้าไข้เขา แต่ก่อนที่วินเซนต์จะได้ขออนุญาตก็มีผู้ชายคนนึงเดินเปิดม่านออกมาพอดี
“โอ๊ะ!”
เขาตกใจกับร่างสูงใหญ่ของชายชราที่ยืนอยู่ตรงหน้า ชายคนนั้นค่อยๆ เงยหน้าขึ้นไปมองอย่างช้าๆ ก่อนที่จะเริ่มปริปากออกมา
“มะ…ไม่ทราบว่ามีธุระอะไรหรอครับ…”
“ผมพาเด็กคนนี้มาหาเลยออน คอร์น่ะครับ แต่ถ้าไม่สะดวกก็ไม่เป็นไรครับ”
“ไงนาคาซ! แค่กๆ”
เสียงของเด็กผู้ชายอายุไล่เลี่ยกับนาคาซดังออกมาจากหลังผเาม่านสีขาวนั่น เลออนพยายามชะโงกหน้าออกมามองข้างนอกให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
“ผมรู้จักเด็กนั่น ให้เข้ามาเลย”
นาคาซส่งสัญญาณให้กับชายชราให้วางร่างของเขาลงและเดินเข้าไปหาคู่กัดของเขา
“ไหวมั้ยเนี่ย”
“ก็คุ้มกับการได้ที่หนึ่งแหละนะ แต่แขนแกนั่นน่ะสิ…”
เลออนมองไปยังแขนของนาคาซอย่างรู้สึกผิด
“ก็บอกแล้วว่าเดี๋ยวก็หาย…”
อยู่ๆ ความรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองได้ลืมอะไรบางอย่างไปก็ได้พุ่งตรงเข้ามาแทรกความคิดของเขาอย่างน่าฉงนระหว่างที่เขายื่นแขนที่ถูกพันด้วยผ้าพันแผลให้เลออนดู
“เป็นอะไรรึป่าว?”
เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนถามนาคาซด้วยความสงสัย
“ไม่เป็นไร… ว่าแต่คนเมื่อกี้คือ?”
“อาของฉันเองแหละ ดูไม่เอาไหนใช่มั้ยล่ะ”
“พูดแบบนั้นก็เกินไปมั้ง”
“ไม่หรอก เพราะจริงๆ ก็เป็นแบบนั้นนั่นแหละ แค่กๆ”
เด็กหนุ่มทั้งสองคนใช้เวลาพูดคุยกันอยู่สักพักหนึ่งจนกระทั่งนาคาซจับสัมผัสบางอย่างได้ที่อีกฝั่งของผ้าม่านสีขาวนั่น
“เป็นอะไรไป”
เลออนกล่าวด้วยความเสียงสงสัยในขณะที่นาคาซเดินไปอย่างช้าๆ เตรียมที่จะเปิดผ้าม่าน
“พี่คะ?”
มือขนาดเล็กของสิ่งนั้นชิงเปิดม่านนั่นออกมาก่อนเผยให้เห็นร่างของเด็กสาวที่มีผมยาวสีน้ำตาลอ่อนเหมือนกับเลออนและมัดผมพาดบ่า เมื่อได้สบกับสายตาที่น่ากลัวของนาคาซเธอก็สดุ้งด้วยความตกใจและรีบวิ่งหลบเข้าไปหาเลออนที่นอนอยู่บนเตียง
“โทษที น้องสาวฉันเอง”
“ฉันก็ขอโทษเหมือนกัน ไม่ได้ตั้งใจทำให้กลัว”
เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนค่อยๆ ลุกขึ้นมาและเอามือลูบหัวน้องสาวของเขาอย่างเอ็นดู
“งั้นฉันไม่รบกวนเวลาครอบครัวละกัน”
“อ่า”
“ขะ…ขอบคุณที่ช่วยพี่นะคะ!…”
เด็กสาวเปล่งเสียงลีบเล็กออกมาขอบคุณนาคาซที่กำลังจะเดินจากไป
“หืม? ไม่หรอกพี่ของเธอก็ช่วยฉันไว้ตั้ง…เยอะ…เหมือนกัน….. เอาเป็นว่าหมอนั่นก็มีส่วนสำคัญแหละนะ”
นาคาซรีบเดินออกไปพบกับวินเซนต์ที่นั่งรออยู่ข้างนอกห้องทิ้งความสงสัยที่แม้แต่ตัวนาคาซเองก็ไม่สามารถอธิบายความรู้สึกเมื่อกี้ได้ให้หับพี่น้องตระกูลคอร์ มันเหมือนกับเขาลืมอะไรบางอย่างไป ไม่สิหลายอย่างเลยต่างหาก แต่ว่าฉันมีความทรงจำสมบูรณ์นี่? ไม่น่าลืมอะไรหรอกมั้ง?
“หิวรึยัง”
วินซ์ที่นั่งอยู่หน้าห้องหันไปถามอสรพิษตัวน้อยที่พึ่งเดินออกมา
“นิดหน่อยครับ”
“งั้นเราไปหาอะไรกินที่โรงอาหารมั้ย”
“ได้ครับ!”
ชายชราอุ้มร่างของนาคาซขึ้นและเดินไปยังโรงอาหาร ถึงแม้ตอนนี้จะเป็นเวลาสิบเก้านาฬิกาแต่ตะวันก็ใกล้ที่จะลับฟ้าแล้ว ความมืดมิดใกล้เข้ามาปกคลุมพร้อมกับสายลมเย็นจากทางเหนือที่พัดผ่านไปทั่วทั้งหุบเขาและทุ่งราบสีเขียวขจี เสียงกลองอันแสนเลือนลางและเสียงหัวเราะอันแสนแผ่วเบาดังออกมาจากดงต้นไม้ใหญ่ที่ประดับอยู่ริมทาง เหล่าภูตพรายต่างเต้นรำเริงรมย์กันด้วยความปิติพร้อมกับส่งสายตาอันหิวกระหายมาที่เขา และถึงแม้นาคาซจะมองไม่เห็นพวกมันแต่ก็สามารถสัมผัสได้ถึงอันตรายที่คืบคลานเข้ามา แต่สิ่งที่เขาที่ยังอยู่ในสภาพอ่อนแอทำได้ตอนนี้มีการแค่กอดรัดร่างหนาๆ ของชายชราที่อุ้มเขาอยู่เพียงเท่านั้น
“เป็นอะไรไป ฮึ?”
วินเซนต์ถามเขาด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
“ทนอีกนิดนะ ใกล้จะถึงโรงอาหารแล้ว”
เมื่อพวกเขาเดินทางมาถึงโรงอาหารส่วนกลางนาคาซก็พบเห็นพ่อของเขากำลังคุยกับคนกลุ่มหนึ่งอยู่ พวกเขามีผิวสีแทน มีนัยตาสีแดงเข้มและแต่งกายมิดชิดเหมือนนักเดินทางข้ามทะเลทราย และเมื่อแซกสัมผัวได้ถึงตัวตนของนาคาซและวินเซนต์เขาก็หันมากวักมือเรียกให้ทั้งสองคนเข้าไปหาในทันที
“นี่ลูกชายผมเอง”
เมื่อทั้งสองคนเดินมาถึงแซกก็แนะนำนาคาซให้พวกเขารู้จัก เด็กหนุ่มกระตุกเสื้อของวินเซนต์เบาๆ เป็นการบ่งบอกให้ปล่อยตัวเขาลง
“สวัสดีครับ ผมนาคาซ อายบลัด”
เด็กหนุ่มลงมาแนะนำตัวพร้อมกับทำความเคารพคู่ชาย-หญิงตรงหน้าตามวัฒนธรรมของชาวทะเลทราย
“ยินดีที่ได้รู้จักจ๊ะ”
“หืม… นี่น่ะหรอคนที่กำราบลูกสาวของพวกเราได้ แววตาไม่ธรรมดาเลยนะเนี่ย”
ชายคนนั้นก้มลงมาสบตากับเขาและพูดคุยด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูพึงพอใจ
“ลูกสาว…งั้นหรอครับ?”
“วิษาไง เด็กผู้หญิงผิวแทนที่สู้กับเธอจนแก้วหูแตกนั่นน่ะ”
“ต้องขออภัยกับการกระทำอันเกินกว่าเหตุของตัวผมด้วยครับ”
เด็กหนุ่มรีบกล่าวขอโทษทันทีที่รู้ว่าบุคคลตรงหน้าของเขาคือพ่อและแม่ของฮัสซาซินฝึกหัดที่เขาต่อสู้ด้วยเมื่อเช้า
“เงยหน้าขึ้นเถอะ ทางเราต่างหากที่ต้องขอบคุณเธอมาก”
“แต่ว่า… เอ๊ะ? ขอบคุณ….?”
“พวกเราเตรียมใจกับเรื่องแนวๆ นี้ไว้แล้วน่ะ เพราะยังไงไม่ช้าก็เร็วเด็กคนนั้นก็จะต้องพบเจอกับความเจ็บปวดเจียนตายอยู่แล้วน่ะนะ การที่ได้รับบาดเจ็บแบบนี้ไปก่อนก็ถือเป็นสัญญาณที่ดีแหละนะ”
“งั้นหรอครับ…”
“ไม่ต้องคิดมากหรอก การต่อสู้มันต้องเจ็บตัวกันเป็นธรรมดานี่นะ แผลก็ไม่ได้ร้ายแรงจนขั้นว่ารักษาไม่หายด้วย”
เมื่อสนทนาไปได้สักพักหนึ่งพ่อและแม่ของวิษาก็ตัดสินใจชวนพ่อลูกอายบลัดและวินเซนต์มาทานอาหารร่วมโต๊ะเดียวกัน การที่ชาวฮัสซันเชิญให้มาร่วมรับประทานอาหารด้วยกันนั้นเป็นทั้งเรื่องที่น่ายินดีและน่าหวาดเสียวในเวลาเดียวกัน เพราะถ้าหากคุณเป็นพวกทำผิดกฎหมายร้ายแรงก็อาจจะได้ตายบนโต๊ะอาหารในขณะที่ถ้วยชายังคามืออยู่แต่ในทางกลับกันหากคุณยังมีชีวิตอยู่ก็เป็นการบ่งบอกว่าพวกเขาเชื่อใจคุณมากพอตัว และหลังจากการรับประทานอาหารร่วมกันจบลงทั้งสองครอบครัวก็เตรียมที่จะแยกกันไปพักผ่อนแต่ก่อนที่บอกลากันพ่อของวิษาก็ได้เรียกแซกไปคุยด้วยเป็นการส่วนตัวปล่อยให้นาคาซ วินเซนต์และคุณนายชานติกลับไปกันก่อน
•เฮ้อ… เหนื่อย… รู้สึกเหนื่อยอย่างบอกไม่ถูก…•
เด็กหนุ่มโยนตัวเองลงไปบนเตียงทันทีที่ถึงห้องพักซึ่งแต่เดิมคนนอกไม่สามารถเข้าอาศัยได้แต่ด้วยชาติตระกูลและผลงานที่ทำมาตลอดหนึ่งปีทำให้เขามีสิทธิขอใช้พวกมันได้ตามสะดวก
“เดี๋ยวฉันไปตรวจผู้บาดเจ็บก่อนนะ พึ่งกินข้าวเสร็จไม่นานก็อย่าพึ่งรีบนอนล่ะ”
“คร้าบ”
หลังจากนั้นวินซ์ก็เอาสัมภาระที่ตกค้างอยู่ที่ห้องพยาบาลมาให้พร้อมกับเปลี่ยนผ้าพันแผลให้เขาก่อนจะออกไปตรวจผู้บาดเจ็บคนอื่นๆ ในรอบเย็น สิ่งหนึ่งที่นาคาซไม่ได้บอกกับพ่อของเขาและวินเซนต์คือตั้งแต่การรับประทานอาหารไปจนถึงการกลับมานอนบนเตียงนี้เขารู้สึกได้ถึงอันตรายบางอย่างอยู่ตลอดเวลา และทุกๆ ครั้งที่เขาพยายามนึกถึงเหตุการณ์สอบเมื่อเช้ามันกลับมีแค่ภาพความทรงจำที่ขาดหายและสับสนจนเรียบเรียงอะไรไม่ได้เลยสักนิดเดียว
“อุ๊บ!”
ทันทีที่พยายามฝืนนึกถึงมันอีกครั้งเขาก็เกิดอาการคลื่นไส้ขึ้นมา อาหารเย็นที่พึ่งกินเข้าไปตีกลับขึ้นมาจนแสบคอทำให้เขาก็ต้องรีบวิ่งไปสำรอกพวกมันออกที่ข้างนอกห้อง
“แหวะ”
“แฮ่ก… แฮ่ก… แฮ่ก…”
หลังจากสำรอกพวกมันออกมาจนหมดอยู่ๆ แขนขาของเขาก็รู้สึกไร้เรี้ยวแรงขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ แต่ก่อนที่เขาจะได้ทำตั้งคำถามกับมันก็มีเสียงบางอย่างดังมาจากข้างหลังของเขา
“jdevaUsg”
เด็กหนุ่มรีบชักคทาออกมาและใช้มันชี้ไปยังต้นเสียงทันทีที่เขาได้ยินคำพูดสุดแสนอันตรายนั่น
“นา…คาซ….”
แต่สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าของเขาไม่ใช่ใครอื่น เธอคือเด็กสาวผมสีน้ำเงินอมเทาที่เขาคุ้นหน้าเป็นอย่างดี ขอบตาของโลล่าบวมแดงและร่างกายสั่นเทาดั่งเสาศิลาที่ไม่มั่นคง เมื่อเห็นดังนั้นนาคาซจึงรีบเก็บคทาของตนกลับเข้าไปในซองหนังเหมือนเดิมพร้อมกับกล่าวทักทายเด็กสาว
“อะไรกันเธอเองหร- โอ๊ะ!”
เด็กสาวรีบวิ่งเข้าไปสวมกอดเขาอย่างไม่ทันตั้งตัวก่อนที่จะปล่อยโฮออกมาอย่างหนักจนทำให้เขาสับสน
“อะ…เอ๊ะ? เป็นอะไรเนี่ย”
“ฉัน… ฉัน… ฉันedgFsiฮือ…”
เด็กสาวพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือฟังไม่ได้ศัพท์ นาคาซค่อยๆ เอามือซ้ายโอบไปลูบหลังของเธอเบาๆ พร้อมกับใช้มืออีกข้างหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดคราบน้ำย่อยที่ติดอยู่ตรงริมฝีปากของตน
“ใจเย็นๆ แล้วบอกมาซิว่าเกิดอะไรขึ้น”
“ฉันกลัว นาคาซ….”
เธอกอดรัดร่างของนาคาซแน่นเหมือนกลัวว่าเขาจะทิ้งเธอไป เสียงออดอ้อนของเด็กสาวถูกประสานเข้ากับเสียงพงหญ้าที่พริ้วไหวไปตามสายลมและเมื่อผสมกับแสงสีแสดของดวงตะวันที่กำลังจะลับฟ้านั้นมันช่างให้บรรยากาศที่คล้ายคลึงกับวรรณกรรมรักสุดสุนทรีย์ที่ถูกแต่งโดยชาวอัลฟาร์ยิ่งนัก หากไม่นับเรื่องที่ว่าอยู่ๆ เขาก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบขึ้นมาเหมือนมีเงามรณามายืนกระดิกเคียวรออยู่ที่ข้างหลัง
“กลัว?”
เ ด็กสาวเงยหน้าขึ้นมาจ้องตากับเขาอย่างใกล้ชิดแต่แทนที่นาคาซจะเคลิบเคลิ้มกับดวงตาที่สวยงามดั่งห้วงลึกสมุทรของเธอเขากลับเห็นภาพทับซ้อนบางอย่างแทนและมันก็ทำให้น้ำกรดในกระเพาะของเขาจะตีกลับขึ้นมาอีกครั้ง
“อุ๊บ!”
เด็กหนุ่มรีบผละร่างของโลล่าออกเบาๆ ก่อนที่จะกลืนพวกมันกลับลงไป
“นาย…เป็นอะไร…รึป่าว…”
เด็กสาวถามเขาทั้งน้ำตา
“ฉันไม่เป็นอะไร… ไม่ใช่ความผิดเธอหรอก…”
นาคาซตัดสินใจพาโลล่ามานั่งคุยดีๆ ที่ม้านั่งหินอ่อนข้างทางเดินท่ามกลางท้องฟ้าที่ใกล้มืดมิดและมีเพียงแค่แสงไฟจากแมลงแสงที่บินรอบตัวพวกเขาอยู่เท่านั้น
(ดูเด็กนั่นสิ)
(สิ่งมีชีวิตน่ารังเกียจ)
(ปรสิต)
(ช่างเป็นเด็กที่น่าสงสาร…)
สายตาหลายคู่จับจ้องมาที่พวกเขาพร้อมกับเสียงซุบซิบอันแสนแผ่วเบาที่ดังมาจากรอบทิศทาง แต่ดูเหมือนว่าจะมีเพียงแค่นาคาซที่สัมผัสได้ถึงตัวตนอันเลือนลางของสิ่งเหล่านั้นและเขาทำได้เพียงแค่ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นพวกมันเท่านั้น
“อึฮึ่ม ไหนเล่ามาซิว่าเกิดอะไรขึ้น”
“ฉัน… ฉันกลัว…กลัวว่าตัวเองจะหายไป…”
“หายไป?”
โลล่ากำมือของเขาไว้แน่นพร้อมกับทำท่าเหมือนจะร้องไห้ออกมาอีกครั้ง
“ฉันรู้สึกเหมือนทุกครั้งที่ใช้เวทมนตร์ตัวเองจะค่อยๆ หายไป… ฉัน… ฉันจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเมื่อเช้าเกิดอะไรขึ้นมั้งหลังจากที่เจอหน้านายในห้องอาหาร…”
เธอหันมาส่งสายตาออดอ้อนใส่นาคาซเหมือนเป็นการบอกกรายๆ ว่าช่วยกอดฉันที แม้เขาจะรู้ว่าโลล่าอาจจะรู้จักเขามาก่อนนานมากแต่สำหรับนาคาซเขานับคำว่ารู้จักก็ต่อเมื่อได้สนทนากันประโยคแรกเท่านั้น และการสนทนาครั้งแรกกับเธอก็คือเมื่อวานเสียด้วยซ้ำ พอคิดแบบนั้นแล้วเขาก็เลยทำแค่เอานิ้วปาดคราบน้ำตาออกจากใบหน้าของเด็กสาวเพียงเท่านั้น
“ฉันเองก็จำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อเช้าเหมือนกัน…”
เขาพูดพร้อมกับจ้องเข้าไปในดวงตาของเด็กสาว
“แต่สิ่งนึงที่รู้สึกได้คือตัวฉันเองมันช่างอ่อนแอ… บางทีพวกเราก็อาจจะเหมือนกันมากกว่าที่คิดก็ได้นะโลล่า”
“โลล่า…?”
เด็กสาวพูดด้วยสีหน้าสับสน
“มะ…เมื่อกี้นายเรียกฉันว่าโลล่างั้นหรอ ตะ…แต่ว่า…”
“ช่างเรื่องนั้นเถอะ ยังไงฉันก็กะจะหาทางลงอยู่แล้ว แต่ถ้าอนาคตเธอยังจะทำตัวแบบนั้นอีกก็ไม่แน่นะ ฮะๆ ”
“นั่นหมายความว่านายมองว่าฉันไม่มีทางชนะนายได้งั้นหรอ…”
เด็กสาวกล่าวเสียงค่อยพร้อมกับชักมือออกและเบนหน้าหนีเขา
“ก็บอกอยู่นี่ไงว่าบางทีพวกเราอาจจะเหมือนกันกว่าที่คิ-… อุ๊บ!”
น้ำย่อยในกระเพาะตีกลับขึ้นมาถึงคออีกครั้ง ก่อนที่เขาจะได้พูดจนจบประโยคทำให้นาคาซรีบวิ่งเข้าไปในเงามืดและสำรอกพวกมันออกมา
“แฮ่ก… แฮ่ก…”
“นี่มันบ้าอะไรเนี่ย…”
นาคาซค่อยๆ สูดลมหายใจเข้าออกอย่างช้าๆ และใช้เวลาอีกสักพักในการสงบร่างกายที่สั่นเทาของตัวเองก่อนที่จะเดินกลับไปหาโลล่า
“ขอโทษที่หายไปนาน”
พอแสงไฟจากตะเกียงถูดจุดขึ้นมาและส่องลงไปที่ยังข้างล่างเขาก็พบเห็นร่างของเด็กสาวนอนไร้สติอยู่บนม้านั่งนั่น
“โลล่า!”
เขาเขย่าร่างของเธออย่างสุดแรงแต่ไม่ว่าจะแรงมากแค่ไหนก็ดูเหมือนว่าเธอจะไม่รู้สึกอะไรเลย
“เฮ้!”
สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจที่จะหิ้วร่างของเธอขึ้นและพาไปหาวินซ์ที่ตึกรักษา แต่ก่อนที่จะได้ทำเช่นนั้นก็มีกระแสลมอันแสนคุ้นเคยพัดเข้ามาหาเขา
“ช่างเป็นโครงสร้างสมองที่ยุ่งยากจริงๆ เลยน้า~”
เสียงของหญิงสาววัยเลขสองดังมาจากข้างหลังของเขา นาคาซเลือกที่จะหันไปเผชิญหน้ากับเจ้าของเสียงนั้นอย่างตรงไปตรงมาพร้อมกับกำคทาไว้แน่น
“คุณทำอะไรกับยัยนี่…”
“มนตร์สะกดแห่งโอฟ แค่ทำให้สมองจำลองสภาพแวดล้อมที่เหมาะแก่การหลั่งฮอร์โมนสำหรับปรับสภาพจิตใจที่สั่นคลอนให้เข้าที่ก็เท่านั้นเอง~ ไม่ได้มีผลเสียอะไรหรอก~”
ภูตสาวกล่าวพร้อมกับใช้นิ้วทั้งสี่ควงขวดแก้วขนาดเล็กที่อยู่ในมือ
“แล้วคุณมีธุระอะไรกับผมอีก”
“แน่นอน~ เพราะสมองของเธอมันดันพิเศษชนิดที่ต่อให้ใช้ความสามารถของบุคคลนั้นแล้วก็ยังดื้อพยายามเก็บความทรงจำให้เป็นที่เป็นทางอยู่จนต้องสำรอกอาหารออกมาถึงสามหนเนี่ย~… แค่เห็นฉันก็รู้สึกอึดอัดแล้ว~”
เธอบินไปมาพร้อมกับอธิบายเหตุผลที่มาปรากฏตัวต่อหน้าเขา
“แล้วพวกนั้นล่ะ”
“พวกนั้น?”
“พวกที่ส่งเสียงซุบซิบอยู่ตลอดเวลานั่นน่ะ”
“อ๋อ~ ก็เป็นแค่พวกที่ถูกล่อลวงโดยกลิ่นสุราเลอค่าก็เท่านั้นเอง~ ไม่ต้องกังวลไปเพราะตราบใดที่ฉันยังคุมบังเหียนอยู่ก็ไม่มีใครทำอะไรเธอได้หรอก~”
“แล้วเอายังไงล่ะ? จะทนสำรอกอาหารต่อไปเรื่อยๆ หรือจะให้ฉันช่วยเธอล่ะฮึ?”
เธอบินมาเกาะไหล่ของเขาพร้อมกับแกว่งขวดแก้วขนาดเล็กที่บรรจุของเหลวไว้ภายใน
“แต่ไม่ว่ายังไงเธอก็ไม่มีสิทธิปฏิเสธมันตั้งแต่แรกอยู่แล้ว!”
ภูตสาวฉวยโอกาสขยายร่างใหญ่ขึ้นและใช้มือบีบปากของนาคาซทันทีที่เขาเผลอแต่ทว่านาคาซเองก็ไม่ได้เสียเปรียบซะทีเดียว เขาชักคทาขึ้นมาทันและตอนนี้เขาเองก็กำลังใข้มันจ่อไปที่ศีรษะของเธออยู่
“เขิญตามสบายเลยหนุ่มน้อย แล้วเธอจะได้รู้เองว่ามนุษย์นั้นอ่อนแอแค่ไหน”
ทันทีที่เธอเปิดฝาขวดออกอสรพิษสีนิลก็กระหน่ำร่ายเวทใส่เธออย่างไร้ปราณี แต่ไม่ว่าเขาจะร่ายออกไปมากแค่ไหนพวกมันกลับสะท้อนออกอย่างง่ายดายราวกับปาบอลอัดกำแพง เขาทั้งทุบตีถีบใส่เธออย่างสุดชีวิตพร้อมกับส่งเสียงครวญครางออกมาจากในลำคอในขณะที่เธอกำลังเอาขวดยาเข้าใกล้ปากของเขา
ดวงตาสีโลหิตส่องประกายขึ้นมาท่ามกลางความมืดมิดอีกครั้งพร้อมกับแสงที่ส่องสว่างออกมาจากมือ เขาพยายามที่จะรังสรรค์อาวุธขึ้นมาแทงเธอ แต่ก่อนที่มีดสั้นไร้ด้ามจะได้เสียบเข้าร่างของเหลวที่อยู่ในขวดก็ไหลลงคอของเขาไปเรียบร้อย
“แค่กๆๆๆ”
ภูตสาวปล่อยร่างนาคาซให้ทรุดลงไปกองกับพื้นหญ้าก่อนที่บินจะเข้าโอบกอดร่างอันบอบบางของเขา
(ฉันขอโทษ~ แต่ทั้งหมดนี้ก็เพื่อตัวของเธอเองนะ~)
เธอกระซิบเข้าไปที่ข้างหูของเขาเบาๆ
ความทรงจำที่หายสาบสูญไหลทลักเข้ามาในสมองของเขาอย่างต่อเนื่องราวกับสายธารน้ำเชี่ยวในข่วงฤดูฝน คำถามมากมายของเขาได้รับคำตอบภายในช่วงเวลาเพียงไม่กี่วินาที และมันก็ทำให้จิตใจของเขาสงบนิ่งลงอย่างน่าประหลาด
“ทั้งหมด…ทั้งหมดนี่เป็นของจริงงั้นหรอ….”
“มันคือสิ่งเธอรับรู้และสัมผัสเองมาทั้งนั้นนั่นแหละ~ จะเชื่อไม่เชื่อมันก็ขึ้นอยู่กับตัวของเธอเองแล้วแหละนะ~”
เธอบินออกมาพร้อมกับหดร่างของตัวเองให้กลับไปขนาดเท่าฝ่ามืออีกครั้ง
“แล้วทำไมผมถึงไม่เห็นรู้เลยตัวเองสร้างดาบขึ้นมาแถมพวกผู้คุมสอบยังเข้ามาใกล้ไม่ได้อีกต่างหาก”
เขาค่อยๆ ลุกขึ้นมาพร้อมกับปัดเศษดินและหญ้าออก
“ดูเหมือนว่ายานั่นจะดึงความทรงจำตอนที่ระบบป้องกันตัวอัตโนมัติทำงานด้วยสินะ~… เฮ้อ~”
“ระบบอะไรนะ?”
“ฉันเองก็พึ่งรู้เหมือนกันว่าเธอมีระบบป้องกันตัวอัตโนมัติ~ ซึ่งมันก็แปลกไม่น้อยเพราะแม้แต่ในหมู่พวกเราเองก็มีน้อยจนนับหัวภูตที่จะมีอะไรแบบนั้นได้เลยด้วยซ้ำ~ ฉันเองก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงให้เธอเข้าใจเหมือนกัน~”
ภูตสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงฟังดูหน่ายใจเหมือนเป็นการบอกอ้อมๆ ว่าอย่ามาถามเยอะเพราะฉันเองก็ไม่ได้รู้เรื่องพรรค์นั้น
“งั้นคุณโคลท์ล่ะ ผมไม่เห็นได้ยินเรื่องของคนตายในการสอบนั่นเลย หรือว่าคุณลบตัวตนของเขาออกไปจากประวัติศาสตร์อะไรแบบนั้นหรอ”
เด็กหนุ่มตัดสินใจเปลี่ยนเรื่องที่ถามทันที
“พวกฉันเป็นสิ่งมีชีวิตอารยธรรมระดับที่สองนะหนุ่มน้อย~ คิดเอาสิว่าระหว่างมานั่งไล่ลบชายคนนั้นออกจากความทรงจำของมนุษย์ทุกคนที่เขาเคยพบเจอกับแค่ชุบชีวิตกลับมาแล้วดัดแปลงความทรงจำของมนุษย์ที่เห็นเหตุการณ์นั้นทั้งหมดอันไหนมันง่ายกว่ากันล่ะ~”
“งั้นก็หมายความว่าปลอดภัยดีสินะ…”
นาคาซหันหลังไปอุ้มโลล่าขึ้นมาด้วยท่าเจ้าหญิงก่อนที่จะหันกลับไปหาเธอ
“แล้วผมต้องทำยังไง”
“?”
ภูตสีหยกเอียงคอให้เขาเล็กน้อยแสดงถึงความสงสัย
“พันธสัญญาอะไรนั่นน่ะ…”
“คิดยังไงถึงเปลี่ยนใจง่ายขนาดนี้กันล่ะหนุ่มน้อย~”
“ไม่รู้สิ… อาจจะเป็นอารมณ์ชั่ววูบก็ได้…”
“คนเลวแสดงเจตนาดีอย่างหยอกล้อ นักบุญกระทำชั่วด้วยอารมณ์ชั่ววูบ การเอ่ยปากโดยที่ไม่เตรียมใจอะไรเลยน่ะมันเลวร้ายกว่าที่เธอคิดไว้เยอะนะหนุ่มน้อย~… ”
“แล้วหมายความว่าจะทำหรือไม่ทำล่ะ”
“ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลา~”
“งั้นถ้าผมเปลี่ยนใจก็อย่ามาตามตื้อก็แล้วกัน”
พวกเขาสนทนากันระหว่างที่มุ่งหน้ากลับไปยังอาคารรักษา
“วันนั้นจะไม่มาถึงแน่นอนหนุ่มน้อย~ ไม่มีวันมาถึงแน่นอน….”
ร่างของภูตสาวอันตรธานหายเข้าไปในสายลมที่พัดผ่านมาทิ้งไว้เพียงแค่เสียงคำพูดที่ค่อยๆ แผวเบาลงไว้เท่านั้น
“คุณหนูคะ!”
เสียงตื่นเต้นดีใจที่ปนไปด้วยความเป็นห่วงดังออกมาจากเงามืดข้างหน้านาคาซ ร่างของหญิงสาววัยกลางคนในชุดคนรับใช้ปรากฎตัวออกมาจากข้างหน้าอาคาร
“คุณหนู!”
เธอรีบหยิบคทาออกมายิงเวทไฟขึ้นไปบนท้องฟ้าทันทีก่อนที่จะถกกระโปรงวิ่งมาอุ้มล่างของของโลล่าออกไปจากอกของนาคาซและไม่ไม่นาน่อนที่แสงไฟบนท้องฟ้าที่กำลังจะมืดสนิทก็มีคนจำนวนเกือบสิบวิ่งมาทางที่พวกเขายืนอยู่อย่างรวดเร็ว
“โลล่า!”
“คุณหนู!”
“โอ้วลูกพ่อ… อยู่ๆ ก็หายไปรู้มั้ยว่าพ่อเป็นห่วงแทบแย่น่ะ”
ชายหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือพร้อมกับหลั่งน้ำตาแห่งความสบายใจออกมา พวกเขาชุลมุนกันแบบนั้นอยู่สักพักหนึ่งจนกระทั่งชายคนนั้นใช้ให้หญิงสาวพาตัวโลล่ากลับไปที่ห้องพัก
“เธอเป็นคนพาลูกฉันกลับมางั้นหรอ”
ชายรูปร่างสูงโปร่งที่มีหน้าตาคมสันเดินสวนกลุ่มคนเหล่านั้นออกมาถามนาคาซที่ยืนรอเขาอยู่ข้างนอก
“ครับ?”
เด็กหนุ่มหันมาถามเขาด้วยน้ำเสียงสงสัยอย่างมีนัย และเมื่อชายคนนั้นได้เห็นดวงตาอสรพิษของนาคาซเขาก็รีบเปลี่ยนจากน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความแข็งกร้าวและการตั้งแง่ให้กลายเป็นความอ่อนน้อมในทันที
“ขออภัย ไม่ติดว่าจะเป็นลูกชายของลีเวีย”
“ผมขอรบกวนเวลาของคุณสักแปปนึงได้มั้ยครับ?”
นาคาซหลี่ตาลงเล็กน้อยพร้อมกับเปล่งแสงสีแดงอ่อนๆ ออกมาจากตาเป็นการบังคับเขากรายๆ
“แน่นอนสิ”
เด็กหนุ่มเลือกที่จะนั่งคุยกับชายคนนั้นที่ม้านั่งข้างทางเช่นเดียวกับที่คุยกับโลล่าเมื่อตอนเย็น เพียงแต่ว่าในครั้งนี้โคมไฟสีแสดถูกจุดขึ้นมาแล้วและก็ไม่มีเสียงซุบซิบหรือความรู้สึกถูกคุกคามจากเหล่าเพื่อนบ้านด้วยเช่นกัน
“แล้วเธออยากจะคุยเรื่องอะไรล่ะ…”
ชายหนุ่มผมสีน้ำเงินอมเทากล่าวด้วยความหนักใจเล็กน้อย
“โลล่า… ถึงผมพึ่งจะรู้จักเด็กคนนั้นไม่ถึงสองวันก็เถอะ แต่ผมกลับรู้สึกได้เลยว่าเธอไม่ได้มีแค่ตัวตนเดียวในร่างกายนั่น คุณคิดแบบนั้นมั้ย?”
“…”
ชายคนนั้นนั่งถูมือตัวเองไปมาด้วยความชั่งใจอยู่สักพักก่อนที่จะตอบนาคาซกลับไป
“เฮ้อ… เป็นสายตาที่เฉียบคมเหมือนแม่ของเธอจริงๆ เลยนะ… ครั้งแรกที่ลีเวียเจอโลล่าเธอก็พูดแบบนั้น ขนาดตอนแรกฉันเองก็ยังมองไม่ออกและคิดว่าเป็นแค่เรื่องล้อเล่นของยัยนั่นด้วยซ้ำ จนกระทั่ง…”
“จนกระทั่งสองปีก่อนตอนที่เธอใช้เวทมนตร์ครั้งแรกกลับสามารถสร้างน้ำแข็งสีดำขึ้นมาได้ทั้งๆ ที่พึ่งจะอายุสี่ขวบ”
นาคาซพูดแทรกขึ้นมาทันทีที่เสียงของชายคนนั้นเริ่มแผ่วเบาลง
“ใช่… ตอนแรกฉันก็คิดว่าเป็นพรสวรรค์นั่นแหละ แต่ยิ่งโลล่าใช้เวทนั่นมากแค่ไหนก็ยิ่งแสดงท่าทีที่แปลกไปเรื่อยๆ และพวกเราก็พยายามปิดข่าวเรื่องนี้กันอย่างมิดชิดมาก แต่ดูเหมือนว่าสุดท้ายก็จะไม่พ้นหูตาของอสรพิษจริงๆ สินะ”
“เธอเกือบฆ่าผู้สังเกตการณ์ตายระหว่างการสอบถึงสองครั้งคุณลูน่าไชน์”
“ไม่จริงน่ะ! แต่ว่า…”
เขาแสดงสีหน้าตกตะลึงออกมาเพราะแม้แต่ผู้คุมสอบที่คุยกับเขาเมื่อเช้านี้ก็ยังไม่มีการพูดถึงเรื่องแบบนั้นเลยสักนิดเดียว หรือแม้แต่ในรายงานที่เขาเห็นผ่านๆ ก็พอรู้ว่าลูกสาวของเขาทำผลงานได้ดีอย่างไร้ที่ติ ชายหนุ่มรีบหันหน้าไปถามเด็กหนุ่มแต่เขายังไม่ได้เอ่ยปากอะไรนาคาซก็ใช้นิ้วดึงเปลือกตาข้างขวาของตัวเองให้เขาดูเป็นการบอกว่าที่ทุกอย่างยังดูปกตินั้นเป็นเพราะฝีมือของเขาเอง
“งั้นหรอ… ทำอะไรได้เกินวัยสมกับเป็นตระกูลนั้นจริงๆ สินะ…”
“ห้าว~ บางทีเธอก็อาจจะเริ่มรู้ตัวแล้วก็ได้ว่าสิ่งนั้นมีอำนาจเหนือกว่าตัวของเธอเอง… เสียงออดอ้อนและอ้อมกอดของเธอมันคือลักษณะเดียวกับเวลาที่ผมอ้อนพ่อกับแม่… อ้อมกอดที่แสดงถึงความหวาดกลัวต่อสิ่งที่ตัวเองไม่เข้าใจ…”
นาคาซเริ่มหาวและขยี้ตาของตัวเองในขณะที่พ่อของโลล่าทำหน้าตกตะลึงกับประโยคที่เขาพึ่งได้ยินไป “ออดอ้อนและกอดเนี่ยนะ? ทั้งๆ ที่ฉันเป็นพ่อแท้ๆ เธอยังไม่เคยทำอะไรแบบนั้นเลยสักนิดเดียว” สีหน้าของเขาแสดงถึงความคิดนั้นออกมาอย่างแจ่มแจ้ง
“ที่ผมจะสื่อก็คือ… ผมจะช่วยเหลือโลล่าให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้… ห้าว~… อืม… สงสัยผมจะไม่ไหวแล้วซิ ฮะๆ…”
นาคาซลุกขึ้นยืนพร้อมกับหันไปทำความเคารพให้กับชายหนุ่มผมสีน้ำเงินอมเทาตามมารยาท
“งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ….”
ทันทีที่ทำความเคารพเสร็จเด็กหนุ่มก็เดินกลับไปยังอาคารพักอาศัย
“เดี๋ยวก่อน!… ฉัน…”
ชายหนุ่มตะโกนไล่หลังมาก่อนที่นาคาซจะเดินหายเข้าไปในความมืด
“ถ้าอยากรู้ว่าตัวเองเป็นพ่อที่ดีพอรึยังก็ไปถามเจ้าตัวเองเถอะครับ… ห้าว~… หรือถ้ามีปัญหาก็ไปปรึกษาพ่อของผมกับวินเซนต์ก็ได้นะ…”
ทันทีที่พูดจบนาคาซมก็เดินหายเข้าไปในเงามืดและปรากฏตัวใต้แสงสว่างของโคมไฟที่ตั้งอยู่ตลอดทางทิ้งให้ชายหนุ่มยืนอยู่คนเดียวท่ามกลางเสียงบรรเลงประสานของเหล่าแมลง
“หายไปซะนานจนทำให้พ่อเป็นห่วงแย่เลยรู้มั้ย”
ชายหนุ่มผมสีดำกล่าวกับลูกของเขาทันทีที่นาคาซเกินมาใกล้ที่จะถึงห้องพักของตัวเอง
“ขอโทษครับ…”
นาคาซเดินเข้าไปหาพ่อของเขาที่ยืนรออยู่ที่หน้าห้องพักพร้อมกับอ้าแขนออกมาให้แซกอุ้ม
“ฟังนิทานก่อนนอนมั้ย?”
“ก็ดีครับ…”
แซกอุ้มร่างของลูกชายขึ้นมาและพาเขาเข้าไปนอนก่อนที่จะหยิบหนังสือที่มีชื่อว่าพงศาวดารแห่งกรุงโกลเดนเบิร์กขึ้นมาอ่านให้นาคาซฟัง
“วันที่ 13 ไมทอส กาญจนาศักราชที่ 430 เจ้าชายโรห์บาสได้เคลื่อนทัพราชสีห์แดงเข้าปะทะกับกับกองพันอิออเนียมของอัศวินไร้นามผู้สวมเกราะทองคำ ณ ทุ่งเรนก้า….”
เสียงของชายหนุ่มที่เล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ให้นาคาซฟังขับกล่อมให้เขาผลอยหลับไปในระยะเวลาไม่นาน แสงไฟจากตะเกียงถูกดับลงนำพาความเงียบสงบอันแสนสั้นมายังห้องพักเล็กๆ ที่อยู่ในกรมทหารของเมืองมหาปราการ ในขณะที่ชายหนุ่มผู้มีร่างกายครึ่งล่างเป็นกวางสองขายังคงบรรเลงแพนฟลู๊ตอยู่บนเทือกเขาอันห่างไกลเพื่อรอคอยความครื้นเครงอย่างจดจ่อ
Kimochi yokatta! จบบทสอบนักเวทสักที เฮ้อ~ ต้องขออภัยที่ให้รอกันอย่างยาวนานเพราะเนื้อหามันแน่นไปหมดจนไม่รู้จะย่อยยังไงเลย เขียนแก้หลายรอบมากว่าจะเอายังไงดี สุดท้ายนี้ก็ขอขอบคุณคนที่ตั้งตารอมากๆ นะ จะพยายามลงให้ถี่ที่สุดเท่าที่จะไหว