The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา - EP.101 องครักษ์อวี้หลินชุดขาว
“เชิญเจ้าค่ะ นี่เป็นเหล้าบุปผามรกตที่มีรสชาติหวานหอมที่สุดประจำเมืองหลันเยี่ยน เชิญทุกท่านลิ้มลองเจ้าค่ะ”
หญิงรับใช้รินสุราจนเต็มจอก กลิ่นหอมของสุราก็ลอยขึ้นมาเตะจมูกทันที เฟิงจี้สิงถือจอกสุราไว้ เขายิ้มพร้อมกล่าวขึ้นว่า “พวกเราดื่มด้วยกันก่อนสามจอก จากนั้นก็จะเป็นการแสดงวันเทศกาลซั่งซีแล้วล่ะ”
หลินมู่อวี่ตะลึง ยังมีการเเสดงด้วยหรือ
หลินมู่อวี่ยกจอกสุราขึ้น ดื่มหมดรวดเดียว ลำคอราวกับมีน้ำแร่หวานฉ่ำไหลผ่าน ไม่มีรสชาติเผ็ดร้อนเลยแม้แต่น้อย
ถังเสี่ยวซีเองก็ดื่มไปหนึ่งจอก จากนั้นก็ยิ้มพูด “ข้าไปเตรียมตัวก่อนนะ”
“เตรียมอะไรหรือ” หลินมู่อวี่รู้สึกประหลาดใจ
ถังเสี่ยวซียันตัวกับไหล่ของหลินมู่อวี่ลุกขึ้นยืน ยิ้มตอบ “อีกประเดี๋ยวเจ้าก็จะรู้เองแหละ!”
……
ดังนั้นเฟิงจี้สิง หลินมู่อวี่ ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน ฉินเหลย และฉู่เหยาทั้งห้าคนจึงนั่งอยู่ที่โต๊ะ ดื่มสุราต่ออีกสองจอก ระหว่างนี้คนรับใช้สองสามคนกำลังย้ายกลองขนาดยักษ์ใบหนึ่งมาตั้งไว้ด้านหน้า หลินมู่อวี่นึกถึงอะไรบางอย่างออก ยิ้มพูด “หรือจะเป็นระบำกลองยักษ์”
เฟิงจี้สิงอดหัวเราะไม่ได้ “ไม่ใช่ ระบำเเขนเสื้อต่างหากเล่า”
“เอ๋?”
“อาอวี่ เจ้ามองไปด้านขวาก็จะรู้เอง” เฟิงจี้สิงกล่าว
หลินมู่อวี่หันไปมอง เห็นถังเสี่ยวซีที่เปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ออกมา ยังคงเป็นชุดสีเเดงเพลิงเช่นเดิม เพียงแต่ชุดมีแขนเสื้อที่ยาวมาก แถมยังเป็นแบบเข้ารูปด้วย จึงยิ่งขับเอวที่คอดเล็กและสะโพกงามสมบูรณ์แบบของถังเสี่ยวซีให้เห็นชัดเจนขึ้นไปอีก ยามนางเยื้องย่างแขนเสื้อโบกสะบัด งดงามเกินบรรยาย
ถังเสี่ยวซีปลดปล่อยวิญญาณยุทธ์จิ้งจอกอัคคี นางกระโดดขึ้นไปบนกลอง ด้วยร่างกายที่เบา กอปรกับพลังของจิ้งจอกอัคคีคอยค้ำจุน จึงดูเหมือนเซียนที่ล่องลอยอยู่บนสรวงสวรรค์ หลินมู่อวี่ตะลึงตาค้าง เผลอเอ่ยขึ้นมา “รูปร่างบางจนสามารถร่ายรำบนฝ่ามือ…คงจะเป็นความรู้สึกประมาณนี้กระมัง”
ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนอดหัวเราะไม่ได้ “รูปร่างบางจนสามารถร่ายรำบนฝ่ามือหรือ อาอวี่ เจ้าช่างรอบรู้ ประโยคนี้ฟังแล้วไพเราะยิ่งนัก…”
“ข้าแค่ยืมมาใช้เท่านั้นเอง ฮา…”
……
ตอนนี้เองถังเสี่ยวซีสะบัดแขนเสื้อยาว ยิ้มพูด “นี่เป็นระบำแขนเสื้อที่ข้าเพิ่งจะหัดได้ไม่นาน ยังไม่คล่องเท่าไร ไม่รู้ว่าจะเข้ากับบทเพลงชิวเยี่ยนของเสี่ยวอินหรือเปล่า เสี่ยวอิน พวกเราจะเริ่มกันแล้วนะ”
เสียงหวานใสดังออกมาจากหลังม่านลูกปัด “อืม เริ่มกันเถอะ!”
ครู่ต่อมา เสียงพิณอันไพเราะก็ดังขึ้น นุ่มนวลอ่อนหวาน ส่วนท่าร่ายรำของถังเสี่ยวซีก็อ่อนช้อยงดงาม ราวกับภูติสาวสวยที่กระโดดโลดเต้นอยู่บนกลอง เสียงพิณอ่อนโยนนุ่มนวล สอดรับกับการเคลื่อนไหวของถังเสี่ยวซี ราวหงส์งามโบยบินอยู่บนท้องฟ้า แต่หลังจากนั้นไม่นาน จู่ๆ เสียงพิณก็รุนแรงขึ้น ท่วงทำนองดุดัน กลิ่นอายสงครามแผ่กระจายทั่วทั้งห้อง ส่วนจังหวะร่ายรำของถังเสี่ยวซีก็เร็วขึ้น รัวเท้าลงบนกลอง ราวกับเสียงรัวกลองรบก็ไม่ปาน
เสียงพิณหยุดลงฉับพลัน บทเพลงจบลงแล้ว
ถังเสี่ยวซีคุกเข่าไขว้ขาอยู่บนกลอง ประสานมือทำความเคารพ ช่างงดงามยิ่งนัก
……
หลินมู่อวี่กับเฟิงจี้สิงมองกันตาค้าง ส่วนฉินเหลยรีบปรบมือร้องตะโกน “การร่ายรำขององค์หญิงซีและบทเพลงของฝ่าบาทช่างงดงามสมบูรณ์แบบที่สุดในใต้หล้า!”
ถังเสี่ยวซีหัวเราะ กระโจนลงบนพื้น จากนั้นก็เปิดม่านลูกปัดออก ยิ้มพูด “เสี่ยวอิน รีบออกมากินอาหารเร็วเข้า!”
หลินมู่อวี่เบิกตากว้าง เขาเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าคนแบบไหนกันที่สามารถบรรเลงเพลงพิณได้ไพเราะอ่อนหวานและสะเทือนอารมณ์เช่นนี้ คงจะเป็นพวกนักบวชสินะ”
ทว่าเมื่อหญิงสาวสวมผ้าคลุมสีน้ำเงินเข้มกำลังเดินกอดพิณออกมาจากด้านใน หลินมู่อวี่ก็ต้องอึ้งไปทันที พวงแก้มที่งดงามนั้น เหมือนจะเคยเห็นที่ไหนมาก่อน”
ถังเสี่ยวซีประคองฉินอินเดินออกมา ฉินอินวางพิณลง พอเงยหน้าขึ้นก็พบว่าชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่งกำลังมองนางอยู่ นางชะงักไปในทันที “เจ้า…ทำไมถึงเป็นเจ้า…”
“ทำไมหรือ พวกเจ้ารู้จักกันเหรอ” ถังเสี่ยวซีชะงักตกใจ
หลินมู่อวี่ตะลึงค้างจนพูดไม่ออก จู่ๆ ก็นึกเรื่องเงินพันเหรียญทองออก อดพูดขึ้นไม่ได้ว่า “แม่นาง เจ้ายังเป็นหนี้ข้าหนึ่งเหรียญเพชรนะ…ข้าตามหาเจ้าไปทั่วแต่หาเจ้าไม่พบ…”
ทุกคนต่างตกตะลึง ใครจะไปรู้ว่าหลินมู่อวี่กับฉินอินเคยพบกันมาก่อน
“ตกลงมันเกิดอะไรขึ้นเหรอ” ถังเสี่ยวซีงงงวย
แก้มน้อยๆ ของฉินอินแดงก่ำ ฉับพลันก็นึกเรื่องคืนนั้นที่ตนถูกพิษของงูมังกรจนบาดเจ็บขึ้นมาได้ หลินมู่อวี่ถอนพิษให้กับตน แต่ตอนที่ถอนพิษเขาได้เห็นร่างกายของตน ใบหน้าของนางจึงแดงก่ำขึ้นมาทันที พูดจาติดขัด “ที่เเท้…ที่เเท้คืนนั้นคนที่ถอนพิษให้ข้าในป่าล่ามังกรก็คือเจ้าเองหรือ…”
เฟิงจี้สิงเข้าใจทุกอย่างในทันที อดหัวเราะลั่นออกมาไม่ได้ “ช่างบังเอิญเหลือเกิน สรรพสิ่งบนโลกก็เหมือนกับหมากกระดานหนึ่งนั่นแหละ! อะไรก็เกิดขึ้นได้ ไม่นึกว่าคืนนั้นจะเป็นอาอวี่ที่ช่วยชีวิตองค์หญิง ข้าควรจะคิดได้ตั้งนานแล้ว!”
ดวงตาคู่งามของถังเสี่ยวซีเบิกกว้าง “หา? เสี่ยวอิน เป็นหลินมู่อวี่ที่ช่วยเจ้าถอนพิษจริงๆ เหรอ”
หลินมู่อวี่ไม่กล้าพูดอะไรอีก เขาตระหนักได้ว่าเสี่ยวอินผู้นี้ไม่ใช่คนธรรมดา จึงถามเสียงแผ่วออกไป “บอกข้าได้ไหม…ว่าเเม่นางเสี่ยวอินผู้นี้เป็นใครหรือ”
ถังเสี่ยวซีหัวเราะ พูดชัดถ้อยชัดคำ “นางมีนามว่าฉินอิน เป็นพระธิดาของจักรพรรดิกวางหมิง องค์หญิงใหญ่แห่งจักรวรรดิ!”
“เปรี้ยง!”
สมองของหลินมู่อวี่ขาวโพลน หน้าถอดสี รู้สึกตกที่นั่งลำบากจนอยากตาย พูดขึ้น “มิน่า…มิน่าข้าไปที่ถนนทงเทียนเลขที่หนึ่งแล้ว ไม่เจอนาง…”
ฉินอินหัวเราะเบาๆ “แต่ข้าอยู่ที่ตำหนักเจ๋อเทียนบนถนนทงเทียนเลขที่หนึ่งจริงๆ เจ้าหาไม่เจอเอง จะมาโทษว่าข้าไม่คืนเงินพันเหรียญทองให้เจ้าไม่ได้”
ฉินเหลยเป็นคนซื่อตรง จึงยังไม่เข้าใจ หันไปถาม “อาอวี่ เงินพันเหรียญทองนี่เรื่องอะไรหรือ”
หลินมู่อวี่อยากจะตายไปเสียเหลือเกิน ไปเรียกเงินค่าช่วยชีวิตจากองค์หญิงแห่งจักรวรรดิพันเหรียญทอง เว้นเสียแต่ว่าจะไม่อยากมีชีวิตเเล้วเท่านั้นแหละ เขาจึงยกจอกสุราขึ้น หัวเราะแล้วพูดออกไปหน้าด้านๆ “ไม่มีอะไร ดื่มสุราจอกนี้แล้ว ขอให้เรื่องเก่าพวกนั้นกลายเป็นควันสลายไปก็แล้วกัน!”
เฟิงจี้สิงเดาเรื่องออกนานแล้ว ใบหน้าเรียบเฉย “อาอวี่ เจ้านี่ยังกล้าจะพูดออกมาได้นะ…”
หลินมู่อวี่สุดแสนกระอักกระอ่วน อยากเอาหน้ามุดดินหนีซะเดี๋ยวนั้น
ในตอนนี้เอง ฉินอินก็มองออกว่าถึงความกระอักกระอ่วนใจของหลินมู่อวี่ จึงลุกขึ้นยืน ถือจอกสุรามาที่โต๊ะของเขา ค่อยๆ คุกเข่าลงอย่างช้าๆ พร้อมยกจอกสุราขึ้น ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มจางๆ “ไม่ว่าอย่างไร คืนนั้นเจ้าก็ช่วยชีวิตข้าไว้ สุราจอกนี้ถือว่าเป็นคำขอบคุณของข้า ขอบใจเจ้ามาก…”
องค์หญิงผู้งดงามคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าเขา ห่างออกไปแค่คืบ หลินมู่อวี่ทำตัวไม่ถูก รีบยกจอกสุราขึ้นพร้อมเอ่ย “ข้าเป็นนักปรุงโอสถ การรักษาโรคและช่วยชีวิตคนเป็นสิ่งที่ข้าควรกระทำ อีกทั้งวันนั้นได้พบองค์หญิงถือเป็นโชคชะตา องค์หญิงไม่จำเป็นต้องขอบใจข้า เพราะกลับทำให้ข้าไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ใดแล้ว”
ฉินอินรู้สึกขำ ตรัสขึ้น “ในเมื่อผู้บัญชาการเฟิงเรียกเจ้าว่าอาอวี่ เช่นนั้นข้าขอเรียกเจ้าว่าอาอวี่ด้วยได้หรือไม่”
“ได้แน่นอน ตามสบายเลยพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม”
ฉินอินยกจอกสุราขึ้นดื่มรวดเดียวหมด ลำคอระหงขาวเนียนราวหิมะชวนหลงใหล
หลินมู่อวี่เองก็ยกจอกสุราขึ้นกระดกรวดเดียวหมดเช่นกัน เกิดความรู้สึกหลากหลายขึ้นในใจ ไม่นึกว่าตนเองจะได้ใกล้ชิดผู้ปกครองแห่งโลกนี้ขนาดนี้ องค์หญิงแห่งจักรวรรดินั่งอยู่ตรงหน้าของตนเอง แม้แต่กลิ่นหอมบนร่างกายฉินอินก็โชยลอยมาปะทะจมูก ช่างเป็นความรู้สึกที่มหัศจรรย์เหลือเกิน ความฝันของมากมายตั้งเท่าไร แต่ถูกตัวเขาทำให้เป็นจริง!
ถังเสี่ยวซีเอียงศีรษะ มองหลินมู่อวี่ที่แก้มแดง หัวเราะถาม “มู่มู่ นี่เจ้าตื่นเต้นเหรอ วางใจเถอะ เสี่ยวอินไม่ใช่คนใจร้ายหรอก”
“อืม…” เขาตอบกลับเสียงเบา
ในตอนนี้เองฉินอินลุกขึ้นยืน ค่อยๆ เยื้องกายเดินกลับที่นั่งของตน แย้มพระสรวลตรัส “เทศกาลซั่งซีวันนี้ เดิมทีเสด็จพ่อต้องการให้ข้าอยู่ที่ตำหนักเจ๋อเทียนเป็นเพื่อนพระองค์ แต่ว่าขัดไมตรีอันเปี่ยมล้นของเสี่ยวซีไม่ได้ ข้าจึงต้องมา ยังดีที่ได้ชมระบำแขนเสื้อของเสี่ยวซี และยังได้พบกับหลินมู่อวี่ผู้ที่ช่วยชีวิตข้าไว้ ข้าดีใจจนยากที่จะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้”
ตอนนี้เอง ฉู่เหยาลุกขึ้นยืน ทำความเคารพแบบสตรีในจักรวรรดิ และเอ่ยขึ้น “องค์หญิงเพคะ เป็นบุญของหม่อมฉันที่ได้พบพระองค์ หม่อมฉันฉู่เหยาขอบังอาจขอร้องให้พระองค์ช่วยหม่อมฉันกับอาอวี่ด้วยเพคะ!”
“หืม?” ฉินอินประหลาดใจเล็กน้อย ตรัสถาม “พี่ฉู่เหยา มีเรื่องอันใดหรือ”
ฉู่เหยาจึงเล่าเรื่องการสังหารโหดที่เมืองหยินซานให้องค์หญิงฟัง
ฉินอินได้ฟังเเล้วก็เบิกตากว้าง แต่เล็กจนโตนางอาศัยในตำหนักเจ๋อเทียน ไฉนเลยจะรู้ว่าโลกภายนอกโหดร้ายเช่นนี้ ใบหน้างามที่ประหลาดใจในทีแรก แล้วจึงแปรเปลี่ยนเป็นความพิโรธ ทุบโต๊ะเสียงดังปัง รอบกายเหมือนมีวิญญาณยุทธ์โซ่เทวะปรากฏขึ้น “ชั่วช้าเกินไปแล้ว เพื่อตำราเทพโอสถเล่มเดียวถึงกับต้องฆ่าคน เดรัจฉานอย่างฮว๋าเทียนคู่ควรที่จะเป็นเจ้าเมืองหยินซานซะที่ไหน”
เฟิงจี้สิงประสานหมัดกราบทูล “ทูลองค์หญิง กระหม่อมได้ส่งคนไปเมืองหยินซานเพื่อตรวจสอบคดีนี้แล้ว เชื่อว่าอีกไม่นานก็จะได้หลักฐานเพียงพอที่จะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของอาอวี่และอาเหยาพ่ะย่ะค่ะ”
ฉินอินพยักหน้า ใบหน้าอันงดงามเผยรอยยิ้ม พร้อมให้สัญญาว่า “พี่ฉู่เหยา เจ้าวางใจ ผู้บัญชาการเฟิงจะต้องคืนความบริสุทธิ์ให้แก่พวกท่านได้แน่ หากเขาไม่สามารถ ยังมีข้าที่จะออกหน้าให้พวกเจ้าอยู่”
“ขอบพระทัยองค์หญิงเพคะ!” ฉู่เหยาพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม
……
ดื่มสุราลงไปหลายจอก เฟิงจี้สิง ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน ฉินเหลยต่างเริ่มมีอาการสุราออกฤทธิ์ แม้แต่สามสาวงามอย่างฉินอิน ถังเสี่ยวซีและฉู่เหยาก็แก้มแดงระเรื่ออยู่ในสภาพที่เริ่มมึนเมา
เฟิงจี้สิงถือโอกาสนี้ ทำมือประสานคารวะแล้วยิ้มพูด “องค์หญิงอินพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมมีเรื่องหนึ่งไม่รู้ว่าควรจะพูดดีหรือไม่พูดดี”
“เชิญผู้บัญชาการเฟิงพูดเถอะ” ฉินอินแก้มแดง ยิ้มมองไปที่องุ่นในจานผลไม้
เฟิงจี้สิงพูด “ตอนนี้พลังของอาอวี่อยู่ขั้นปราชญ์สงครามระดับห้าสิบเก้า กำลังจะเข้าสู่ขอบเขตนภา จัดว่าเป็นยอดฝีมือที่หาได้ยากในเมืองหลันเยี่ยน ตอนนี้เขารับหน้าที่เป็นผู้ช่วยฝึกอยู่ในวิหารศักดิ์สิทธิ์ ข้าน้อยอยากขอเสนอให้อาอวี่เข้ากองทัพอวี้หลิน และเป็นหนึ่งในองครักษ์อวี้หลิน ไม่ทราบว่าพระองค์มีความเห็นประการใดพ่ะย่ะค่ะ”
“องครักษ์อวี้หลินหรือ”
ฉินอินอ้าปากน้อยๆ เหมือนมีอะไรจะพูด ผ่านไปหลายวินาทีถึงได้แก้มแดงแล้วเอ่ยขึ้น “ผู้บัญชาการเฟิง จำนวนคนขององครักษ์อวี้หลินเสด็จพ่อทรงแต่งตั้งด้วยพระองค์เอง ปกติข้าก็แทบจะไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยว”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ถือเสียว่าข้าน้อยไม่เคยพูดเรื่องนี้ก็แล้วกันพ่ะย่ะค่ะ!” เฟิงจี้สิงหัวเราะเสียงดัง
หลินมู่อวี่ถาม “องครักษ์อวี้หลิน ดีกว่าตำแหน่งที่วิหารศักดิ์สิทธิ์หรือขอรับ”
ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนอดหัวเราะไม่ได้ มองเจ้าเด็กโง่คนนี้ก่อนเอ่ย “อาอวี่ การป้องกันและรักษาความปลอดภัยของตำหนักเจ๋อเทียนเป็นหน้าที่ขององครักษ์อวี้หลิน อีกทั้งองครักษ์อวี้หลินยังมีโอกาสได้เลื่อนยศเป็นองครักษ์อวี้หลินชุดขาวอีกด้วย และทำหน้าที่อารักขาข้างกายองค์จักรพรรดิและองค์หญิง เป็นเกียรติยศอันสูงสุด ตอนนี้ทั้งจักรวรรดิมีองครักษ์อวี้หลินชุดขาวทั้งหมดแค่หกคน นั่นก็คือชวีฉู่ เหลยหง ตู้ไห่ ฉินเหลย เหยาเยวียนและเฟิงจี้สิง พวกเขาทุกคนต่างเป็นบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ หากเจ้าสามารถเข้าไปเป็นองครักษ์อวี้หลิน ก็จะดีมากเลยล่ะ!”
หลินมู่อวี่เข้าใจในทันที คนที่กำลังนั่งอยู่มีองครักษ์อวี้หลินชุดขาวถึงสองนาย! ที่แท้สถานะของเฟิงจี้สิงและฉินเหลยก็เทียบเท่ากับชวีฉู่และเหลยหง!