The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา - EP.108 ผู้ร่วมเดินทางทั้งสี่คน
EP.108 ผู้ร่วมเดินทางทั้งสี่คน
กลางดึก สายฟ้าทำลายความเงียบสงบกลางป่า สายฝนโปรยปรายลงมาจากฟากฟ้า ปลายฤดูใบไม้ร่วงแล้ว แต่ยังมีฝนตกหนักแบบนี้หาได้ยากยิ่ง
หลินมู่อวี่สวมเกราะ กางร่มสีดำ คว้ากระบี่เหลียวหยวนเดินออกไปนอกกระโจมที่พัก กระโจมของถังเสี่ยวซีและฉินอินอยู่ห่างออกไปไกล มีฉินเหลยกับเฟิงจี้สิงคอยคุ้มกันอยู่
เม็ดฝนตกใส่ร่มกระดาษเสียงดังแปะๆ ท้องฟ้ามองไม่เห็นแสงดาวแล้ว กองไฟบนพื้นถูกเม็ดฝนหยดใส่จนพริ้วไหว ทหารรักษาพระองค์จำนวนไม่น้อยคิดจะรักษากองไฟไว้ แต่ก็ไม่อาจทำได้ จึงเกิดเป็นความชุลมุนขึ้นมา ทหารม้าจำนวนไม่น้อยที่ลาดตระเวนอยู่ด้านนอกรีบเข้ามาหลบฝนในกระโจม
“ใต้เท้าหลินจื้อ!”
ไม่ไกลออกไป ทหารรักษาพระองค์นายหนึ่งยิ้มถาม “ทำไมมายืนกางร่มอยู่คนเดียวตรงนี้เล่าขอรับ รีบเข้ามาหลบฝนในกระโจมเถอะ เดี๋ยวเปียกแล้วจะเป็นไข้ได้นะขอรับ!”
หลินจื้อส่ายหน้าแล้วยิ้ม “ไม่จำเป็น ขอบใจมาก ข้าจะตรวจดูรอบๆ หน่อย”
เขาคือสมาชิกระดับดาวสีทองของวิหารศักดิ์สิทธิ์ ถึงจะมาอยู่กับกองทหารรักษาพระองค์แบบนี้ แต่เขาก็ถือเป็นบุคคลสำคัญ แถมเฟิงจี้สิงและฉินเหลยล้วนสนิทสนมกับเขา ดังนั้นหลินมู่อวี่จึงมีอิสระพอสมควรในค่ายทหาร
สายฝนที่โปรยปรายลงมาได้ดับกองไฟกองสุดท้ายจนมอด ผืนป่าเหลือแต่ความมืดมิด
“ชิ้ง!”
หลินมู่อวี่ชักกระบี่เหลียวหยวนออกมา ปล่อยปราณเล็กน้อยจากฝ่ามือเข้าไปในกระบี่ ทันใดนั้นเปลวเพลิงที่ไม่มีทางดับเพราะน้ำฝนก็ลุกพรึ่บขึ้นบนกระบี่ ส่องให้เห็นทางด้านหน้าเล็กน้อย เขาเดินตรวจตรารอบๆ ค่าย ต้องให้แน่ใจว่าบริเวณโดยรอบไม่มีศัตรู ครั้งนี้เป็นเพราะตนเองถึงทำให้ถังเสี่ยวซีและฉินอินต้องมาป่าล่ามังกรด้วยกัน หากไข่มุกแห่งจักรวรรดิทั้งสองนี้เป็นอะไรไป เขาต้องรู้สึกผิดไปชั่วชีวิตแน่
“กระโจมมีฝนรั่วเข้ามา รีบไปหาใบไม้ใหญ่ๆ มาเร็วเข้า!” ไม่รู้ว่าใครตะโกนขึ้นมา ทหารรักษาพระองค์จำนวนไม่น้อยทยอยกันเข้าไปตัดใบไม้ในป่า
และในตอนนี้เอง จู่ๆ ด้านขวาของเขาก็มีเสียงซวบซาบดังขึ้น หลินมู่อวี่รีบหันไปดูด้วยความตื่นตัว เขายกกระบี่เหลียวหยวนขึ้นส่องไปตรงมุมมืด “นั่นใคร”
“ข้าเอง ไม่ต้องพูดแล้ว!”
ในความมืด ใบหน้าอันงดงามหมดจดโผล่ออกมาจากผ้าคลุม เป็นฉินอินนี่เอง เพียงแต่ตอนนี้นางสวมชุดเกราะของทหารรักษาพระองค์ แย้มพระโอษฐ์ “ทำไมหรืออาอวี่ สภาพข้าดูประหลาดมากเหรอ”
“องค์หญิงทำไมทรงแต่งตัวเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่แต่งตัวแบบนี้แล้วจะแอบหนีออกไปได้อย่างไรเล่า” นางแย้มพระสรวล ช่างงดงามเหลือเกิน
“แอบหนี?”
“เร็วเข้าเถอะ เสี่ยวซีกำลังรอพวกเราอยู่ทางด้านหน้า!” ฉินอินจับผ้าคลุมขึ้นคลุมศีรษะปิดบังใบหน้าอีกครั้ง ชุดคลุมสีทองเข้มของราชวงศ์ตัวนี้เป็นเสื้อกันลม ดูแล้วคงจะกันฝนได้ด้วย
หลินมู่อวี่มึนงง กางร่มให้นาง อีกมือหนึ่งถือกระบี่เหลียวหยวนแทนคบเพลิงส่องทาง
ฉินอินเงยหน้ามอง พบว่าหลินมู่อวี่เนื้อตัวเปียกปอนไป แต่กลับใช้ร่มกันฝนเหนือเศียรตนเอง อดไม่ได้ที่จะแย้มพระโอษฐ์ แต่ก็ไม่ได้ทรงตรัสอะไรออกมา นางรู้ว่าตนเองเป็นองค์หญิงแห่งจักรวรรดิ ตรัสมากไปอาจจะดูไม่เหมาะ
“พวกเจ้าช้ากันจังเลย!”
เดินไปด้านหน้าอีกหน่อย ข้างๆ พุ่มไม้มีเสียงของถังเสี่ยวซีดังขึ้น นึกไม่ถึงเลยว่านางก็สวมชุดเกราะของทหารรักษาพระองค์ด้วยเหมือนกัน ทำให้ร่างอรชรของนางน่าขัน แถมนางยังจูงม้ามาด้วยสามตัว แล้วยิ้มพูด “พวกเจ้าช้ามากเลยนะ หึ หึ ครั้งหน้าอย่าให้ข้าไปขโมยม้าอีกเลยนะ ข้าเกือบจะถูกเจ้าม้าศึกนิสัยดุร้ายนี่เตะเข้าให้แล้ว!”
หลินมู่อวี่รู้แล้วว่าพวกนางต้องการจะทำอะไร จึงอดพูดไม่ได้ “พวกเราแอบหนีออกไปแบบนี้ไม่ค่อยจะเหมาะสมกระมัง พี่เฟิงจี้สิงกับพี่ฉินเหลยต้องตามหาพวกเราอย่างบ้าคลั่งแน่นอน”
“ไม่เป็นไรหรอก ข้าทิ้งจดหมายไว้ในกระโจมแล้ว” ฉินอินแย้มพระโอษฐ์
“มืดขนาดนี้ พวกเราจะไปที่ไหนหรือ” หลินมู่อวี่ถาม
ฉินอินครุ่นคิด สายฝนปลายฤดูใบไม้ร่วงกลายเป็นหมอกฝนตกลงมาบนแพขนตายาวงอนของนาง แล้วกลายเป็นน้ำค้าง ไหลลงมาอย่างต่อเนื่อง เพิ่มความงดงามตามธรรมชาติให้นางอีกหลายส่วน ทว่านางไม่รู้ตัว เงยหน้าแล้วแย้มพระโอษฐ์ตรัสขึ้น “พวกเรามุ่งไปทางทิศใต้เถอะ เลี่ยงเส้นทางของกองทัพ เดินอ้อมเข้าสู่ส่วนลึกของป่าล่ามังกร ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ขึ้นม้าเถอะ ก่อนฟ้าสางหาที่พักให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน!”
“อืม!”
หลินมู่อวี่พยักหน้า ก็คงต้องเป็นอย่างนี้แล้ว
ทั้งสามคนขึ้นม้าและมุ่งไปทางทิศใต้ แต่ควบม้าไปได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง จู่ๆ ด้านหลังก็ปรากฏแสงสีทองเส้นหนึ่งพุ่งทะลุความมืดออกมา ดูเหมือน…จะเป็นแสงของโซ่เทวะ?
“องค์หญิง!”
เสียงของฉินเหลยดังขึ้น เป็นเขาจริงๆ ด้วย ไม่น่าเชื่อว่าจะไล่ตามมาทันจนได้
“ไม่ต้องหนีแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
ฉินเหลยตะโกนเสียงดัง พลันยกมือขึ้น “เปรี๊ยะๆ ๆ” โซ่เทวะทะลุขึ้นมาจากพื้นดิน ขวางหน้าฉินอิน แต่ฉินอินใช่ว่าจะยอมแพ้ง่ายๆ ฝ่ามือขาวเนียนค่อยๆ กางออก โซ่เทวะที่เหมือนกันก็ปรากฏออกมา โจมตีวิญญาณยุทธ์ของฉินเหลยจนแตกกระเจิง พลางหันกลับไปแล้วแย้มพระโอษฐ์ตรัสขึ้น “ท่านพี่ฉินเหลย ท่านอย่าตามพวกข้ามาเลย กลับไปรอที่ค่ายเถอะ อีกสองสามวันให้หลังพวกข้าจะกลับไปเอง!”
“ไม่ได้!”
ฉินเหลยไม่เหลือโอกาสให้ฉินอินตอบ “ฝ่าบาทส่งข้ามาคอยคุ้มกัน ข้าจะไม่อยู่ห่างพระวรกายพระองค์เด็ดขาด!”
ฉินอินขบกรามแน่น “หึ วันๆ เอาแต่ตามข้า ไม่รู้หรือว่าข้ารำคาญแค่ไหน ไม่เคยได้อิสระแม้แต่น้อย ความรู้สึกแบบนี้ท่านเข้าใจบ้างหรือไม่ ท่านพี่สมองทึบ!”
ฉินเหลยเป็นชายหนุ่มที่ซื่อตรง เขารีบควบม้าขึ้นไปข้างหน้า ร่มไม่ได้กาง ปล่อยให้สายฝนตกลงบนร่างกาย เขาลูบศีรษะแล้วยิ้มพูด “ข้าพอจะเข้าใจความรู้สึกแบบนี้ แต่เสี่ยวอิน เจ้าสำคัญสำหรับจักรวรรดิมาก จะให้เกิดเรื่องขึ้นกับเจ้าไม่ได้ ข้าตามใจเจ้าได้ทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องนี้เรื่องเดียวที่จะไม่ยอมเด็ดขาด”
พูดจบฉินเหลยก็เลิกคิ้วไปทางหลินมู่อวี่ “อาอวี่ เจ้าก็ช่วยข้าพูดเกลี้ยกล่อมหน่อยสิ!”
หลินมู่อวี่มองฉินอิน ยังไม่ทันได้พูดอะไร ฉินอินก็ตรัสดักทางเขาไว้ “อาอวี่ หากเจ้ายังนับข้าเป็นเพื่อนก็ไม่ต้องพูดเกลี้ยกล่อมข้า ข้าเกลียดจะแย่อยู่แล้วที่ต้องถูกคนกลุ่มใหญ่จับตามองทั้งวัน!”
ถังเสี่ยวซีหัวเราะซ้ำเติม
หลินมู่อวี่ใช้มือถูจมูก “ฝ่าบาท เช่นนั้นเอาแบบนี้ก็แล้วกัน ให้พี่ฉินเหลยไปกับพวกเราด้วยเลย พวกเราสี่คนเข้าไปล่าสัตว์วิญญาณในส่วนลึกของป่าล่ามังกรจะได้ปลอดภัยขึ้นอีกหน่อยดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“ใช่ๆ อาอวี่พูดถูก!” ฉินเหลยรีบหันมองหลินมู่อวี่อย่างซาบซึ้งใจแล้วพูดอีกว่า “ข้าไปกับพวกเจ้าแค่คนเดียวก็พอ ไม่พาทหารไปสักคนเลย แบบนี้คงจะไม่เป็นไรใช่ไหม”
ฉินอินเชิดพระพักตร์ขึ้น พระสุรเสียงไม่พอพระทัย “งั้นให้มาด้วยก็ได้ แต่ตลอดการเดินทางต้องเชื่อฟังข้า ห้ามนำเสด็จพ่อมาขู่ข้า ไม่เช่นนั้นก็กลับไปเดี๋ยวนี้เลย!”
ฉินเหลยราวกับได้พ้นโทษ “ได้ๆ ข้าจะเชื่อฟังเจ้า!”
หลินมู่อวี่และถังเสี่ยวซีหันมายิ้มให้กัน ในที่สุดการผจญภัยครั้งนี้ก็เปลื่ยนจากสามคนเป็นสี่คน ก็ดีเหมือนกัน พลังของฉินเหลยแข็งแกร่งที่สุดในสี่คน มีเขาอยู่ด้วยค่อยรู้สึกปลอดภัยขึ้นมาอีกหน่อย
……
เดินทางในยามราตรี สัตว์วิญญาณอายุต่ำกว่าหนึ่งพันปีสองสามตัวที่เจอล้วนถูกหลินมู่อวี่และฉินเหลยจัดการทิ้งอย่างสบายๆ ฉินเหลยเคยเห็นการใช้ธาตุทั้งสี่บังคับกระบี่ของหลินมู่อวี่ในงานเลี้ยงวันเทศกาลซ่างซีแล้ว จึงเคารพและเลื่อมใสชายหนุ่มที่องอาจผู้นี้อย่างมาก ดังนั้นถึงแม้ฐานะจะต่างกัน แต่ตลอดทางกลับให้ความเกรงใจหลินมู่อวี่อย่างมาก
ฝนหยุดแล้ว และฟ้าก็สว่างแล้วเหมือนกัน
แสงอาทิตย์ส่องกระทบร่างของพวกเขา ฉินอินอยู่บนหลังม้า รอบตัวแผ่ประกายไฟจางๆ ไม่ทันรู้สึกตัวว่านางก็ใช้เพลิงของโซ่เทวะทำให้เสื้อผ้าแห้ง วิญญาณยุทธ์ของถังเสี่ยวซีเป็นจิ้งจอกอัคคี แน่นอนว่าจะทำได้เหมือนกัน ส่วนหลินมู่อวี่และฉินเหลยก็ไม่ได้ลำบากมาก พลังงานความร้อนในร่างหนุ่มพรหมจรรย์ก็เพียงพอที่จะอบเสื้อผ้าให้แห้งได้
ทั้งสี่เดินทางกลับไปทางทิศใต้ ผ่านไปหนึ่งวันในที่สุดพวกเขาก็เข้ามาถึงส่วนลึกของป่าล่ามังกร
……
ช่วงบ่าย แสงแดดอ่อนๆ ส่องลงมากลางป่า
ฉินเหลยถือม้วนแผนที่อยู่ ดูอย่างละเอียดสักพักจึงพูดขึ้น “ตามที่บันทึกไว้ในแผนที่ พวกเรายังต้องมุ่งไปทางทิศใต้อีกประมาณสามวัน ก็จะถึงเขตของสุสานมังกรในตำนาน เพียงแต่ว่าที่ตรงนั้นเป็นเขตต้องห้าม สัตว์วิญญาณตลอดทางนั้นก็แข็งแกร่งมาก ว่ากันว่าไม่มีคนที่เข้าไปถึงบริเวณนั้นแบบยังมีชีวิตอยู่นานมากแล้ว”
วิญญาณยุทธ์จิ้งจอกอัคคีของถังเสี่ยวซีกระโดดอยู่บนไหล่ นางหัวเราะคิกคัก “ไม่เป็นไรหรอก พวกเรามีตั้งสี่คน พี่ฉินเหลยอยู่ขอบเขตนภา คนอื่นที่เหลือก็อยู่ขอบเขตปฐพีกันทั้งหมด ขอแค่เจอสัตว์วิญญาณที่เหมาะสม เสี่ยวอินและมู่มู่ก็จะสามารถเข้าสู่ขอบเขตนภาได้ ถึงตอนนั้นพลังของพวกเราก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น พบสัตว์วิญญาณที่แข็งแกร่งก็ไม่เป็นอะไรแล้ว”
“อืม!” ฉินเหลยพยักหน้า ถือดาบที่มีแสงอัสนีเป็นประกายควบม้าพุ่งไปข้างหน้า
ดาบเล่มนี้มีที่มาที่ไป ดาบนี้ชื่อว่าดาบอัสนีทลาย ว่ากันว่าเป็นอาวุธวิเศษระดับนิล ที่จี้หนิงอ๋องลำบากไม่น้อยกว่าจะได้มาไว้ในมือ สุดท้ายจึงยกให้ฉินเหลยบุตรชายคนโต ทำให้ฉินเหลยอาศัยดาบอัสนีทลายนี้ขึ้นเป็นยอดฝีมือที่มีน้อยจนนับได้ของจักรวรรดิ ถึงขนาดที่ในเมืองหลวงหากเอ่ยถึงดาบอัสนีทลายก็จะต้องนึกถึงฉินเหลย และเมื่อพูดถึงฉินเหลยก็ย่อมไม่ลืมดาบอัสนีทลายของเขา!
……
“อาอวี่เจ้าต้องการสัตว์วิญญาณแบบไหนหรือ” เห็นหลินมู่อวี่ที่เร่งเดินทางเอาแต่เงียบ ฉินอินจึงเอียงพระพักตร์แล้วแย้มพระโอษฐ์ตรัสถามด้วยพระสุรเสียงอันไพเราะ
หลินมู่อวี่ชะงัก รู้สึกประหลาดใจอยู่นิดหน่อย ความจริงแล้วในโลกที่เขาจากมา เขาเคยพบหญิงงามมามากมาย แต่หญิงเหล่านั้นเทียบกับฉินอินไม่ได้เลยสักนิด ฉินอินที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้ ไม่ว่าจะท่าทางหรือความงามล้วนเหนือกว่ามาก ความงดงามที่ราวกับเทพธิดาที่ไม่ต้องปรุงแต่ง เป็นความงามที่คนเครื่องประทินโฉมใดๆ ก็มิอาจเทียบเคียง
“สัตว์วิญญาณหมวดพืชก็ได้ หรือจะหมวดอื่นก็ได้ วิญญาณยุทธ์ของข้าไม่เลือกกิน ขอบพระทัยองค์หญิงที่ทรงเป็นห่วง”
ฉินอินทรงพระสรวล “วิญญาณยุทธ์ที่ไม่เลือกกินอย่างนั้นหรือ อาอวี่นี่ตลกจัง…”
ในตอนนี้เอง จู่ๆ ฉินเหลยที่อยู่ด้านหน้าก็ยกแขนขึ้น พูดเสียงเบา “เกรงว่าสัตว์วิญญาณที่ไม่เลือกกินจะมาแล้วล่ะ ทุกคนระวังตัวด้วย ห่างจากพวกเราไปทางเหนือสามร้อยเมตรมีสัตว์วิญญาณอายุอย่างน้อยห้าพันปีหนึ่งตัว!”
“ห้าพันปี?” ฉินอินไม่เพียงแต่ไม่ทรงกังวล แต่กลับเผยพระพักตร์ที่ตื่นเต้น ทรงชักกระบี่ออกจากเอว ยิ้ม “งั้นเตรียมลงมือเถอะ”
“ช้าก่อน” สีหน้าฉินเหลยเคร่งขรึมเป็นอย่างยิ่ง “มันคือสัตว์ศิลา ผิวชั้นนอกของมันแข็งยิ่งกว่าหิน แถมมีพละกำลังมหาศาล แถมสัตว์ศิลาอายุห้าพันปียิ่งมิอาจประมาท อาอวี่ ตามข้ามา วิญญาณยุทธ์เจ้าเป็นสายป้องกัน รับมือสัตว์ศิลาประเภทนี้ไม่ยาก”
หลินมู่อวี่ชักกระบี่ออกมา พูดด้วยความยินดี “อืม!”