The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา - EP.110 ฟาร์มเวลในป่าล่ามังกร 2
EP.110 ฟาร์มเวลในป่าล่ามังกร 2
“ต้องการให้ช่วยไหม”
หลินมู่อวี่เก็บกระบี่ลงฝัก แล้วเอ่ยถามอย่างสงบอยู่ด้านข้าง
ฉินเหลยตกตะลึง “อาอวี่ช่วยได้ด้วยหรือ เท่าที่ข้ารู้มา…ขั้นตอนการหลอมดูดซับวิญญาณสัตว์นั้นผู้อื่นยื่นมือเข้ามาช่วยไม่ได้ เสี่ยวอิน…หากเจ้าหมดหนทางที่หลอมทักษะได้จริงๆ ละก็ เช่นนั้นก็ไม่ต้องฝืน มิเช่นนั้นจะเป็นอันตรายต่อร่างกายของเจ้าเอง”
ถังเสี่ยวซีกอดอก แล้วเอ่ย “หากมู่มู่สามารถช่วยได้ก็อย่าลังเล!”
“อือ!”
หลินมู่อวี่เดินขึ้นไปอยู่ด้านข้างฉินอิน กลิ่นหอมจางๆ ของนารีวัยแรกแย้มโชยมาเตะจมูก เขาอดใจเต้นไม่ได้ และประณามตัวเองอย่างรุนแรงในใจทันที “คิดอะไรเนี่ยไอ้เลวเอ๊ย ตอนนี้มันใช่เวลามาคิดเพ้อเจ้อมั้ย วันๆ จะเอาแต่ทำลับๆ ล่อๆ ไม่ได้ เป็นคนทั้งทีก็ต้องซื่อตรง เป็นคนที่หมดจดหลุดพ้นจากความคิดชั้นต่ำนี่! หลินจื้อ จำไว้ให้ดีว่า เจ้าเป็นคนหนุ่มที่มีความซื่อตรงและมีความมั่นใจ!”
เมื่อคิดถึงตรงนี้ หน้าเขาก็แดงไปหมด
หลินมู่อวี่ค่อยๆ แบมือออก ปราณเริ่มไหลทะลักออกมา ติ่งหลอมอาวุธซึ่งอยู่ในรูปแบบพลังงานคลุมร่างของฉินอินและตัวเขาไว้ภายในอย่างรวดเร็ว แต่ในมุมมองของฉินเหลยกับถังเสี่ยวซีนั้น จะเห็นพลังที่หลินมู่อวี่เรียกออกมาเป็นแค่กลุ่มก้อนของพลังปราณ พวกเขามองรูปร่างที่แท้จริงของติ่งไม่เห็น
เมื่อหลับตาทั้งสองข้างลง เปลวไฟบริสุทธิ์ชั้นแรกของติ่งหลอมอาวุธก็โหมกระพือหลอมวิญญาณสัตว์ศิลาสายสุดท้าย ด้านฉินอินเองก็ดูเหมือนว่าจะมีปฏิกิริยาตอบสนอง ขนตายาวสั่นเบาๆ เพียงแต่ในขั้นตอนสำคัญของการหลอมวิญญาณสัตว์นี้ นางไม่กล้าที่จะวอกแวก
หลินมู่อวี่เอ่ยเสียงเบา “องค์หญิงอย่าทรงวอกแวก ตั้งสมาธิแล้วดูดซับ เรื่องที่เหลือมอบให้กระหม่อมจัดการเอง”
ภายในติ่งหลอมอาวุธ วิญญาณสัตว์ของสัตว์ศิลาส่งเสียงร้อง “โฮก โฮก” อย่างน่าอนาถ มันถูกเปลวไฟบริสุทธิ์ชั้นแรกหลอมจนร้อนผ่าว แต่วิญญาณสัตว์ตัวนี้ดื้อรั้นเหลือเกิน หลอมไปเกือบห้านาทีก็ยังหลอมไม่สำเร็จ
หลินมู่อวี่สงบจิตใจลง พลันคำรามออกมาเบาๆ ขับเปลวไฟชั้นที่สองของติ่งหลอมอาวุธออกมา—ไฟเหนือ
ที่เรียกว่าไฟเหนือ เพราะมันเป็นเปลวไฟจากทิศเหนือสุดขอบสวรรค์ มีความรุนแรงเป็นอย่างยิ่ง จัดอยู่ในชั้นที่สองของบรรดาเพลิงสิบแปดชั้นของติ่งหลอมอาวุธ ถึงแม้อันดับจะค่อนข้างรั้งท้าย แต่ในชั่วโมงนี้ก็นับว่ามีความรุนแรงอย่างยิ่งยวดแล้ว เพราะไฟหลอมที่หลินมู่อวี่ปลุกเอามาใช้ได้ตอนนี้มีแค่สามชั้นเท่านั้น หากไฟปฐพีในชั้นที่สามยังไม่สามารถหลอมวิญญาณสัตว์ได้ เขาก็หมดปัญญาแล้ว
“โฮก โฮก”
ท่ามกลางเสียงร้องที่อเนจอนาถ ไฟเหนือก็ได้กลืนกินวิญญาณสัตว์ศิลาด้วยความรวดเร็ว หลอมวิญญาณสัตว์จนกลายเป็นแก่นวิญญาณเล็กๆ แล้วซึมเข้าสู่ภายในร่างกายของฉินอิน และถูกองค์หญิงดูดซับไว้ได้ทั้งหมด
หลินมู่อวี่ถอนหายใจโล่งอก เก็บติ่งหลอมอาวุธอย่างรวดเร็ว เขาพบว่าตัวเองกับฉินอินนั้นมีไอน้ำกระจายอยู่ทั่วร่าง ดูเหมือนว่าอุณหภูมิในติ่งหลอมอาวุธจะเป็นของจริง
“อา…”
ฉินอินผ่อนลมหายใจแผ่วเบา เมื่อลืมพระเนตรขึ้น ทั้งหลินมู่อวี่และฉินเหลยต่างชะงักไป ในเวลานี้แววพระเนตรของฉินอินเพิ่มความน่าหลงใหลมากยิ่งขึ้น สายพระเนตรที่ลุ่มลึก ความมีชีวิตชีวาอย่างน่าประหลาดนั้นดูสวยงามเป็นประกาย นอกจากนี้บุคลิกของนางก็ดูเหมือนจะมีการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน ถึงขั้นที่ทำให้หลินมู่อวี่รู้สึกถึงแรงกดดันเบาๆ นี่คือสัญญาณที่บอกให้รู้ถึงความห่างชั้นกันของขอบเขตพลัง!
“เสี่ยวอินเข้าสู่ขอบเขตนภาแล้วหรือ” ถังเสี่ยวซียิ้มถาม
“อือ…”
ฉินอินแย้มพระโอษฐ์เล็กน้อย ก่อนยกพระหัตถ์ขวาขึ้น ค่อยๆ ปล่อยพลังออกมาเบาๆ ครั้งนี้ที่ปรากฏขึ้นไม่ใช่ปราณแท้ แต่เป็นปราณยุทธ์สีขาวบริสุทธ์ หลังจากเข้าสู่ขอบเขตนภา ร่างกายจะเปลี่ยนปราณแท้ให้กลายเป็นปราณยุทธ์อัตโนมัติ เป็นการพัฒนาแบบก้าวกระโดด!
พริบตานั้น ฉินอินรู้สึกดีพระทัยเป็นที่สุด พระเนตรคู่งามจ้องหลินมู่อวี่อย่างลึกซึ้ง “อาอวี่ ขอบใจเจ้ามาก!”
หลินมู่อวี่ยิ้ม ประสานมือคารวะ “การรับใช้องค์หญิงเป็นหน้าที่ของกระหม่อมอยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
อย่างไรเสียเขาก็เป็นสมาชิกคนหนึ่งของวิหารศักดิ์สิทธิ์ ต้องจงรักภักดีต่อราชวงศ์อยู่แล้ว ถึงแม้องค์หญิงจะปฏิบัติต่อเขาอย่างดี แต่หลินมู่อวี่ก็ยังคงรักษาระยะห่างไว้ ด้วยสถานะที่แตกต่างกัน หากตัวเขาได้ใจจนลืมตนขึ้นมา อาจจะเป็นการรนหาที่ตาย นี่ก็เป็นข้อดีของหลินมู่อวี่เช่นกัน ไม่ว่าเมื่อใดก็ยังคงรักษาไว้ซึ่งความปราดเปรื่องและสงบนิ่ง มิเช่นนั้นเกรงว่าเขาคงก้าวขึ้นสู่บัลลังก์แห่งเทพสงครามในเกมผู้พิชิตได้ไม่ได้ง่ายๆ
“องค์หญิง พระองค์ได้ทักษะของสัตว์ศิลาหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” ฉินเหลยที่อยู่ด้านข้างเอ่ยถาม
“อือ”
ฉินอินพยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็เรียกวิญญาณยุทธ์โซ่เทวะออกมา พร้อมกับปล่อยปราณยุทธ์เบาๆ ฉับพลันโซ่เทวะสีทองเส้นนี้ก็ขดพันเป็นวงรอบจนปรากฏเป็นเกล็ดศิลาลอยออกมา นี่คือทักษะการป้องกันชนิดหนึ่ง สามารถใช้คุ้มกันตัวเองไม่ให้ถูกทำร้ายได้
“เยี่ยมเลย…”
ฉินเหลยตบมือแล้วยิ้มเอ่ย “ครั้งนี้เราไม่ได้มาป่าล่ามังกรแบบเสียเปล่าแล้ว! องค์หญิง ในเมื่อพระองค์ทะลวงระดับเสร็จสิ้น เช่นนั้นพวกเราก็รีบกลับเมืองหลันเยี่ยนเถอะพ่ะย่ะค่ะ ป่าล่ามังกรอันตรายเกินไป อีกอย่างผู้บัญชาการเฟิงจี้สิงน่าจะยังคงอยู่รอพวกเราที่ชายป่าล่ามังกร เราออกกันมานานมากแล้ว…”
แต่ฉินอินกลับขมวดพระขนงเข้าหากัน ส่ายพระพักตร์พร้อมตรัสขึ้น “ไม่ เป้าหมายที่แท้จริงที่ข้าออกมาในครั้งนี้ก็เพื่อช่วยอาอวี่ค้นหาสุสานมังกร หากท่านพี่ฉินเหลยใจร้อนก็กลับไปก่อนเถอะ!”
ฉินเหลยถูกปฏิเสธ อดชะงักไปไม่ได้ แต่ก็มิอาจไม่เชื่อฟัง เขาจึงยิ้ม “ตกลงพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมได้ให้สัญญาแล้วว่าจะเชื่อฟังพระองค์ เช่นนั้นครั้งนี้จะฟังองค์หญิง พวกเราไปตามหาสุสานมังกรกัน”
“อืม แบบนี้สิถึงจะถูก!” ฉินอินเปลี่ยนจากกริ้วเป็นดีพระทัย
ทุกคนพักผ่อนกันเล็กน้อยฟื้นฟูปราณและพละกำลัง แล้วจึงออกเดินทางกันต่อ
ก่อนพลบค่ำ ก็เจอสถานที่ที่เหมาะแก่การหยุดพักในป่าล่ามังกร มันเป็นถ้ำที่แห้งมาก แถมพวกวัชพืชภายในถ้ำก็ล้วนแห้งกรอบ แถมเจ้าของเดิมของที่นี่คือหมีวิญญาณอายุหนึ่งพันสองร้อยปีตัวหนึ่ง มันถูกฉินเหลยจัดการด้วยอัสนีทลายในดาบเดียว ส่วนศิลาวิญญาณก็ถูกหลินมู่อวี่เก็บไป ศิลาวิญญาณที่อายุเกินหนึ่งพันปีสามารถใช้หลอมอาวุธได้เป็นอย่างดี ไม่ควรปล่อยให้เสียเปล่า
จินเสี่ยวถังแห่งสมาคมการค้าจักรวรรดิคงจะยังไม่รู้ว่าตัวเขายังชำนาญด้านการหลอมอาวุธด้วย ถ้ารู้ขึ้นมาคงต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ สมาคมการค้าแห่งจักรวรรดิมีสินค้าทุกอย่างไม่ขาด จะขาดก็เพียงศาสตราวุธระดับสูง พวกขุนนางและชนชั้นสูงเหล่านั้นวันๆ เอาแต่คอยเฝ้าอยู่ที่สมาคม รอคนร้อนเงินนำอาวุธคู่กายมาขายประมูล ความจริงแล้วที่นั่น แค่อาวุธระดับภูตก็ขายดีมากแล้ว ส่วนอาวุธระดับนิลนั้นยิ่งแย่งกันใหญ่ ถ้าหากตนสามารถตีอาวุธศักดิ์สิทธิ์ออกมาได้ เกรงว่าสมาคมการค้าแห่งจักรวรรดินี้คงจะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น
ฉินเหลยหยิบผ้าห่มออกมาจากหลังม้า หลังจากปูผ้าเสร็จก็เอ่ยขึ้น “องค์หญิง พวกเราอยู่ข้างนอกไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวก ตอนนี้ทำได้แค่นี้ คืนนี้พระองค์กับองค์หญิงซีทรงบรรทมที่นี่ก็แล้วกัน กระหม่อมกับอาอวี่จะนอนบนฟางด้านนอกเอง”
ฉินอินแย้มพระโอษฐ์ “ลำบากพี่ฉินเหลยแล้ว จริงสิ อาอวี่อยู่ไหนล่ะ”
“เขาอยู่ด้านนอก ไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่พ่ะย่ะค่ะ”
ฉินอินยกชายกระโปรงให้ลอยขึ้นเล็กน้อย ค่อยๆ เดินออกไปนอกถ้ำ นางเห็นหลินมู่อวี่ถือกระบี่เหลียวหยวนกำลังตรวจตราพื้นที่ด้านนอกอย่างเงียบๆ ท่าทางขมวดคิ้วนิ่วหน้า เสื้อคลุมสีขาวที่ด้านหลังสะบัดพลิ้วเบาๆ ไปตามแรงลม ดูหล่อเหลาเป็นอย่างยิ่ง ฉับพลันนั้น ใจของฉินอินก็เต้นแรง และดูเหมือนมันจะเต้นเร็วถี่กระชั้นขึ้น ถึงแม้เฟิงจี้สิง ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน และคนอื่นๆ จะเป็นบุรุษรูปงามหล่อเหลา แต่หลินมู่อวี่ที่อยู่ตรงหน้าดูพิเศษกว่าพวกเขามากนัก
“อาาา…ข้าคิดอะไรอยู่เนี่ย” ฉินอินกระทืบพระบาท ทรงกริ้วและเขินอาย องค์หญิงผู้นี้มีความหยิ่งทะนงอยู่พอตัว
หลินมู่อวี่เงยหน้าขึ้น เห็นฉินอินยืนหน้าแดงอยู่ใต้ภูเขาหิน อดที่จะหัวเราะไม่ได้ “องค์หญิง ทรงเป็นอะไรไปพ่ะย่ะค่ะ”
ฉินอินตะลึง พระพักตร์ยิ่งแดงขึ้นไปอีก “อา ไม่…ไม่ได้เป็นอะไร อาอวี่ เจ้าเดินตรวจตราอยู่ด้านนอกตั้งนาน กำลังดูอะไรอยู่หรือ”
“อ้อ กระหม่อมกำลังสงสัยว่าแถวนี้จะมีสัตว์วิญญาณที่มีอายุมากอยู่ตัวหนึ่ง แถมยังเป็นหมวดอัคคีด้วย”
“ทำไมถึงคิดแบบนี้ล่ะ”
“ตอนนั้นที่กระหม่อม ผู้อาวุโสชวีและเสี่ยวซีเข้าไปฝึกยุทธ์ในป่าสัตตะดารา ก็เคยเจอพื้นที่ลักษณะนี้มาก่อน ต้นไม้แห้งตาย เหี่ยวเฉาไปหมด นี่แสดงให้เห็นว่าโดยรอบนี้มีสัตว์วิญญาณหมวดอัคคีได้อาศัยอยู่ และอายุของมันก็มิใช่น้อย”
“หา?” ฉินอินตะลึง “เช่นนั้นเหตุใดหมีวิญญาณที่พวกเราสังหารไปเมื่อครู่ถึงยังอาศัยอยู่ที่นี่ได้ ตามหลักแล้ว สัตว์วิญญาณหมวดอัคคีนั่นน่าจะเขมือบหมีวิญญาณเข้าไปแล้วถึงจะถูก!”
“อันนี้ก็พูดยาก” หลินมู่อวี่ยิ้มที่มุมปาก “บางทีเจ้าสัตว์วิญญาณหมวดอัคคีนั่นอาจจะคิดว่าหมีวิญญาณเป็นหมูที่เลี้ยงไว้ดูเล่นกระมัง”
“เช่นนี้เอง แล้วเราจะทำอย่างไรกันดี”
“ไม่เป็นไรพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะคอยระวัง หากสัตว์วิญญาณตัวนี้เกิดโชคร้ายมาเจอเราเข้าจริงๆ เช่นนั้นก็ถือโอกาสฆ่ามันเสีย เสี่ยวซีกำลังจะเข้าสู่ขอบเขตปฐพีชั้นที่สามพอดี จำเป็นต้องใช้วิญญาณของสัตว์วิญญาณหมวดอัคคี กระหม่อมแทบอยากจะให้มันปรากฏตัวขึ้นเสียเหลือเกิน!”
“อือ…”
กลางดึก ฉินอินกับถังเสี่ยวซีนอนกอดกันหลับไป ทั้งสองเร่งเดินทางกันทั้งวันจนเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ทางด้านฉินเหลยก็กอดดาบอสนีทลาย สายตาคมกริบจ้องไปที่เพดานถ้ำ เฝ้าคุ้มกันห่างจากหญิงสาวทั้งสองราวสามเมตร ในฐานะผู้บัญชาการทหารองครักษ์อวี้หลิน ภารกิจอันใหญ่หลวงของฉินเหลยก็คือการปกป้องผู้สืบทอดแห่งจักรวรรดิพระองค์นี้ แต่ว่าเมื่อฉินเหลยหันกลับไปมอง สายตาที่มองใบหน้าที่หมดจดของฉินอินนั้น ดูราวกับมีอีกหนึ่งความรู้สึกที่กำกวมอยู่ในสายตา
เขาถอนหายใจ จับดาบอสนีทลายในมือให้แน่นขึ้นไปอีก
นอกถ้ำ เปลวไฟจากกองไฟสั่นไหวอยู่ท่ามกลางสายลมในยามค่ำคืน กลางดึกในช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงนั้นช่างหนาวเหน็บยิ่ง โดยเฉพาะหลังจากที่ฝนตก ดูเหมือนว่ากำลังจะเข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว
หลินมู่อวี่กอดกระบี่เหลียวหยวนไว้ มองเปลวไฟที่พริ้วไหว ดวงตาที่ใสกระจ่างเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม
ไม่รู้ว่าพ่อจะเป็นยังไงบ้าง ร่างกายยังแข็งแรงดีหรือเปล่านะ
พอคิดถึงตรงนี้ ดวงตาของหลินมู่อวี่ก็พลันชื้นขึ้น เขาเงยหน้ามองท้องฟ้า พึมพำออกมา “พ่อ พี่ ตอนนี้สบายดีกันมั้ย ผมคิดถึงพี่กับพ่อจัง แต่ตอนนี้ผมกลับไปไม่ได้ พี่จะต้องดูแลพ่อให้ดี อย่าให้พ่อต้องเหนื่อยอีก ผมไม่อยู่…พี่ต้องดูแลบริษัทหลงซินด้วยนะ…”
ในตอนนี้เอง จู่ๆ ก็มีเสียง “ฟ่อ ฟ่อ” ดังเบาๆ มาจากที่ไกลออกไป ทั้งยังมาพร้อมกับอุณหภูมิที่ร้อนระอุ
ในที่สุดก็มาจนได้!
ในฐานะที่เป็นเจ้าของพื้นที่ตรงนี้ ในที่สุดก็ต้องมาไล่ล่าแขกที่ไม่ได้รับเชิญอย่างหลินมู่อวี่ ฉินอิน ถังเสี่ยวซี และฉินเหลย
หลินมู่อวี่ร้องเรียกบาๆ “พี่ฉินเหลย ปลุกองค์หญิงกับเสี่ยวซีด้วย แขกของพวกเรามาแล้ว”
ฉินเหลยสะดุ้งตกใจ พอหันกลับไปมอง ก็พบว่าฉินอินกับเสี่ยวซีตื่นกันหมดแล้ว ดวงตาทั้งสองคู่กำลังมองมาที่ตน
“สัตว์วิญญาณหมวดอัคคีนั่นมาแล้วหรือ”
ถังเสี่ยวซีรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อย