The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา - EP.120 ศึกเดียวชื่อก้อง
EP.120 ศึกเดียวชื่อก้อง
“ฟิ้ว!”
เสียงแหวกอากาศ ทวนหลีฮวาพุ่งตรงเข้าใส่ทรวงอก หลินมู่อวี่เห็นดังนั้น จึงรีบพลิกตัวหลบและยกกระบี่เหลียวหยวนขึ้นมาขวางเอาไว้ แล้วควบม้าแฉลบหลบหลีก
แต่ในจังหวะที่ทวนดอกหลีฮวากำลังจะสัมผัสถูกกับคมกระบี่ ทวนในมือของจ้าวจิ้นจู่ๆ ก็เกิดสั่น ปราณยุทธ์ที่ปลายทวนนั้นก็ระเบิดออกมา กระแทกใส่กระบี่เหลียวหยวน กระบวนท่าที่จ้าวจิ้นใช้โจมตีสือจงไห่เมื่อครู่ก็คือกระบวนท่านี้นี่เอง
“เกร้ง!”
แขนชาไปทั้งแถบ บนด้ามทวนหลีฮวาของจ้าวจิ้นมีมังกรวารีสีเขียวตัวหนึ่งเลื้อยพันอยู่ นั่นคือวิญญาณยุทธ์ของเขา ซึ่งช่วยเพิ่มพลังการโจมตีได้อย่างมหาศาล ส่วนหลินมู่อวี่เดิมพลังก็ด้อยกว่าคู่ต่อสู้อยู่แล้ว แน่นอนว่าไม่เป็นผลดีแน่ จังหวะที่ม้าสวนกัน แผ่นหลังของเขาก็ถูกกระแทกอย่างแรง คาดไม่ถึงว่าจ้าวจิ้นจะหันกลับมาแล้วใช้ด้ามทวนกระแทกใส่กำแพงน้ำเต้า
“เปรี้ยง!”
เลือดลมปั่นป่วนขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ พละกำลังของจ้าวจิ้นแข็งแกร่งนัก แถมทักษะการขี่ม้าก็ยังเหนือกว่าหลินมู่อวี่อีกด้วย จ้าวจิ้นดึงม้าให้หันกลับมาด้วยความรวดเร็ว แล้วใช้ทวนยาวพุ่งโจมตีใส่เป็นครั้งที่สอง
“ฉึก” กระดองเต่าทมิฬถูกแทงทะลุเป็นรู จิตสังหารแวบขึ้นมาในดวงตาของจ้าวจิ้นแวบหนึ่ง มังกรวารีบนปลายทวนอ้าปากในฉับพลัน พ่นเกล็ดน้ำแข็งออกมา
หลินมู่อวี่ถอดกรูด แต่ก็ไม่ทันการณ์ ได้แต่ยกแขนซ้ายขึ้น สร้างเกราะปราณห้าอันขึ้นมาบังเกล็ดน้ำแข็ง แต่ใครจะไปคิดว่าน้ำแข็งเหล่านี้จะทะลุผ่านกำแพงน้ำเต้ากับเกราะปราณเข้ามาโจมตีถึงตัวเขาได้ วินาทีถัดมา แขนซ้ายทั้งแขนของเขาก็ชาด้านไร้ความรู้สึก มีน้ำแข็งเกาะอยู่เต็มแขน ทำให้เขาสูญเสียพลังในการต่อสู้ไปชั่วขณะหนึ่ง
กระบี่เหลียวหยวนในมือขวาของหลินมู่อวี่กวาดขนานไปกับพื้นอย่างรีบร้อน เขาจะต้องชิงโจมตีก่อนที่จ้าวจิ้นบุกเข้ามาอีกครั้ง มิเช่นนั้นต้องอันตรายแน่
แต่สิ่งที่หลินมู่อวี่คาดไม่ถึงเลยก็คือฝีมือการขี่ม้าที่อันเก่งกาจของจ้าวจิ้น เขาหงายตัวลงขนานไปบนหลังม้าเพื่อหลบกระบี่ และทั้งที่นอนหงายอยู่เช่นนั้น แต่ก็กลับพุ่งทวนดอกหลีฮวาออกมาได้ในฉับพลัน!
“ฉึก!”
ทวนพุ่งเข้ากลางไหล่ขวาของหลินมู่อวี่ แทงทะลุไหล่ขวาของเขาเป็นรูเลือดไหลออกมา จ้าวจิ้นกระชากทวนที่เปื้อนเลือดของสือจงไห่และหลินมู่อวี่ออกอย่างรวดเร็ว ไม่พูดไม่จา แต่กลับพุ่งเข้ามาพร้อมกับเสียงลมที่ดังหวีดหวิวอีกครั้งทันที พละกำลังของเขาแข็งแกร่งยิ่งนัก แม้แต่กระดองเต่าทมิฬกับปราการเกล็ดมังกรก็กันทวนหลีฮวาไว้ไม่อยู่ หลินมู่อวี่ตกเป็นรองเขาในชั่วพริบตา
หลินมู่อวี่รีบควบม้าล่าถอยเพื่อหลบทวนที่หมายจะเอาชีวิตนี้ ผลที่ตามมาก็คือ จ้าวจิ้นพุ่งทวนออกอย่างทันควัน กระแทกกระบี่เหลียวหยวนปลิวกระเด็น
“เกร้ง!”
กระบี่เหลียวหยวนหมุนคว้างอยู่กลางอากาศ แล้วร่วงปักลงบนพื้นทรายห่างออกไปหลายสิบเมตร
ใบหน้าของจ้าวจิ้นเต็มไปด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย “แขนทั้งสองข้างใช้การไม่ได้ อาวุธก็ไม่มี เจ้าจะทำอะไรได้อีก”
บนอัฒจันทร์ เหลยหงลุกขึ้นยืนในทันที ตะโกนเสียงดัง “จ้าวจิ้น เจ้าชนะแล้ว หยุดได้แล้ว!”
จ้าวจิ้นไหนเลยจะสนใจ เขากระชับทวนหลีฮวาแน่น แล้วควบม้าพุ่งเข้าไป วิญญาณยุทธ์มังกรวารีพร้อมเกล็ดน้ำแข็งเลื้อยพันอยู่รอบตัวเขา เห็นชัดว่าเขาตั้งใจจะใช้การโจมตีครั้งนี้สังหารคู่ต่อสู้ทิ้ง
เหล่านักเรียนที่อยู่ข้างอัฒจันทร์รู้สึกหวาดหวั่น พวกเขาไม่เคยเห็นการต่อสู้ที่ดุเดือดเลือดพล่านขนาดนี้มาก่อน!
“แย่แล้ว ผู้ช่วยฝึกดาวสีทองผู้นั้นจะถูกสังหารแล้ว!” นักเรียนทั้งหมดต่างคิดเช่นนี้ บางคนเป็นห่วงหลินมู่อวี่ แต่ก็มีบางคนที่กำลังรอดูฉากเลือดสาดกระเซ็นอยู่
ในตอนนี้เอง หลินมู่อวี่พลันแบมือขวาออก เลือดสดๆ ก็ไหลเป็นสายออกมาตามนิ้วมือ ขณะเดียวกันปราณยุทธ์ก็ได้เปลี่ยนเป็นแสงอัสนีเคลื่อนที่ลงสู่พื้น แสงอัสนีเคลื่อนไปพันรอบกระบี่ที่อยู่ไกลออกไปอย่างรวดเร็ว “ฟึ่บ” แล้วกระบี่เหลียวหยวนที่เสียบอยู่กับพื้นก็หลุดออกมา หลินมู่อวี่ไม่จับกระบี่ แต่บังคับกระบี่ใส่พุ่งด้านหลังของจ้าวจิ้นกลางอากาศ
จ้าวจิ้นจับทวนหมายจะฆ่าคน แต่จู่ๆ ก็สัมผัสได้ถึงไอสังหารสายหนึ่งที่ด้านหลัง จำเป็นต้องป้องกัน!
เขารีบหันไปดู ก็เห็นแสงอัสนีรุนแรงที่ห่อหุ้มกระบี่เหลียวหยวนเอาไว้กำลังพุ่งโจมตีเข้าใส่
“ไม่ได้การ!”
เขารีบยกทวนหลีฮวาขึ้นมาขวาง แต่ไม่ทันการณ์เสียแล้ว กระบวนท่านี้ของหลินมู่อวี่รวดเร็วยิ่งยวด ไม่มีเวลาให้เขาเตรียมตัวมากนัก แม้แต่ทวนยังไม่ทันได้จับให้มั่นเลย ด้วยการโจมตีอย่างรุนแรงจากการใช้อัสนีบังคับกระบี่ คาดไม่ถึงว่าจะทำให้ทวนหลีฮวากระเด็นหลุดมือไปได้!
“ฮึ่ย?!”
จ้าวจิ้นตะลึงลาน และนักเรียนที่อยู่โดยรอบต่างก็อ้าปากตาค้าง นักเรียนคนหนึ่งในนั้นถึงกับผงะถอยหลังไปหลายก้าว สีหน้าหวาดผวา “นี่…นี่มันทักษะควบคุมกระบี่นี่นา สวรรค์ คิดไม่ถึงว่าผู้ช่วยฝึกระดับดาวสีทองผู้นี้ จะใช้ทักษะควบคุมกระบี่ได้อย่างลึกซึ้งถึงเพียงนี้!”
“ตายซะเถอะ!”
จ้าวจิ้นโกรธแค้นเนื่องจากอับอาย เขาชักกระบี่ที่เหน็บอยู่ตรงเอวออกมาขึ้นกันและกระแทกกระบี่เหลียวหยวนออกไปอย่างรุนแรง แล้วรีบหันกลับไปโจมตีหลินมู่อวี่ เขาอยู่ในสถานะที่ถ้าไม่ฆ่าหลินมู่อวี่ก็ไม่มีหน้าที่จะอยู่ในวิหารต่อไปได้แล้ว
แต่ทว่าในตอนที่เขาหันกลับไปนั้น ก็เห็นฝ่ามือที่ได้รับบาดเจ็บของหลินมู่อวี่ค่อยๆ แบออก ปราณยุทธ์เปลี่ยนเป็นเปลวไฟ และเปลวไฟแต่ละเส้นก็ขดตัวเป็นเกลียวควบคุมทิศทางของกระบี่เหลียวหยวนจากระยะไกล กระบี่ยาวหมุนลอยส่งเสียงหวีดแหลมอยู่กลางอากาศ เสียงหวีดแหลมนั้นช่างเสียดแทงยิ่งนัก!
สีหน้าของหลินมู่อวี่ซีดเซียวอยู่บ้าง เมื่อเขาค่อยๆ แบมือออก กระบี่เหลียวหยวนก็พุ่งตรงเข้าใส่จ้าวจิ้น—เกลียวเพลิงมังกรคลั่ง
เขาเพียงแค่แปรปราณยุทธ์ให้เป็นเปลวไฟ ไม่ได้ใช้แก่นเพลิงมังกร มิเช่นนั้นเกรงว่าจะทำให้ฉินฮ่าวกับยอดฝีมือระดับสูงเกิดระแคะระคายขึ้นมา การเปิดเผยพลังที่แท้จริงของตัวเองมากเกินไปนั้นมิใช่เรื่องที่ดีนัก
จ้าวจิ้นฮึดสู้อย่างไม่คำนึงถึงสิ่งใดแล้ว เขายกกระบี่ขึ้นขนานกับพื้นขวางที่หน้าอก วิญญาณยุทธ์มังกรวารีพันรอบตัวเขาไปมาจนเกิดเป็นปราการขึ้น แววตาเต็มไปด้วยความโกรธแค้น “หลินจื้อ เจ้าสามัญชนต่ำต้อย เจ้ามิใช่ผู้ที่มีการป้องกันแข็งแกร่งที่สุดของวิหารหรอกหรือ มาลองการป้องกันของข้าดูหน่อยเป็นไง!”
การกระทำของเขาเป็นไปตามที่หลินมู่อวี่คิด เขาผลักฝ่ามือออกไป พลังเกลียวทั้งหมดก็พุ่งออกไปอย่างเต็มกำลัง!
“ปัง!”
เกิดเสียงดังก้องขึ้น กระบี่ของจ้าวจิ้นถูกทำลายจนแตกป่นปี้ แต่อย่างไรเสีย จ้าวจิ้นก็เป็นถึงผู้แข็งแกร่งระดับราชันย์สวรรค์ มีปฏิกิริยาตอบโต้ที่รวดเร็วไม่ธรรมดา ทันทีที่รู้ว่าไม่สามารถป้องกันได้ก็ล้มตัวนอนหงายราบไปกับหลังม้า ผลก็คือกระบี่เหลียวหยวนที่มีเกลียวเพลิงบินเฉียดจมูกของเขาไป ไม่สามารถปลิดชีวิตเขาได้
เมื่อจ้าวจิ้นกลับขึ้นมานั่งเหมือนเดิม ก็เห็นสายตาโกรธแค้นของหลินมู่อวี่ในระยะที่ใกล้มาก เกิดเสียง “พรึ่บ” ดังขึ้น หลินมู่อวี่ใช้แขนข้างที่ได้รับบาดเจ็บจับกระบี่ ปลายกระบี่เหลียวหยวนพุ่งตรงเข้าใส่ที่ใต้รักแร้ขวาของจ้าวจิ้น กระบี่ยกสะบัดขึ้นเบาๆ!
“ฉัวะ!”
ตามมาด้วยเสียงร้องอย่างน่าเวทนาด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัสของจ้าวจิ้น แขนทั้งแขนปลิวลอยอยู่กลางอากาศ
หลินมู่อวี่สะบัดปลายกระบี่ ปราณยุทธ์เปลี่ยนเป็นเปลวไฟ เกิดเสียงดัง “พรึ่บ” ขึ้น แล้วแขนที่ขาดของจ้าวจิ้นนั้นก็แหลกละเอียดไม่มีชิ้นดีในพริบตา เขาหมุนตัวกลับ ก้มหยิบทวนหลีฮวาของจ้าวจิ้นที่อยู่บนพื้นขึ้นมาถือไว้ และขี่ม้าตรงไปยังอัฒจันทร์สูง
“อาอวี่ เจ้า!”
เหลยหงตกตะลึงพรึงเพริด เขาหยุดยั้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดไว้ไม่ทัน เมื่อเขามาถึงขอบอัฒจันทร์ ก็เห็นแขนที่ได้รับบาดเจ็บของหลินมู่อวี่ห้อยตกลงมา ปราณยุทธ์ที่เปลี่ยนเป็นเปลวไฟนั้นกำลังละลายน้ำแข็งบนแขนซ้าย หลินมู่อวี่ถือทวนหลีฮวาไว้ในมือ พร้อมกับประสานหมัดทำความเคารพอย่างยากลำบาก
“ขออภัยขอรับ ผู้ดูแลอาวุโส ข้าพลั้งมือทำลายแขนของใต้เท้าจ้าวจิ้น จะลงโทษอย่างไร ขอน้อมยอมรับ ใต้เท้าจ้าวจิ้นคิดจะสังหารข้าแต่กลับถูกข้าเอาชนะได้ ตามกฎการต่อสู้ของจักรวรรดิแล้ว ทวนหลีฮวาของเขาจะต้องตกเป็นของข้า ใช่หรือไม่ขอรับ”
“เจ้านี่นะ…”
เหลยหงถอนหายใจ ความขัดแย้งระหว่างวิหารศักดิ์สิทธิ์กับจวนเสินโหว ดูเหมือนจะยิ่งหยั่งลึกมากขึ้นจากเหตุการณ์ฝึกทหารในครั้งนี้
ฉินฮ่าวลุกขึ้นยืน มองหลินมู่อวี่พลางยิ้มน้อยๆ ก่อนเอ่ยขึ้น “เจ้าเด็กนี่กล้าหาญนัก…กำลังวังชาก็ไม่เลว ข้าชอบ! ใต้เท้าเหลยหง ถ้าไงท่านมอบหลินจื้อผู้ช่วยฝึกระดับดาวสีทองผู้นี้ให้แก่วิทยาลัยเทพสงครามเถอะ ที่นี่กำลังขาดแคลนครูฝึกที่แข็งแกร่งเช่นเขาอยู่!”
เหลยหงไหนเลยจะยอมใจมอบเจ้าเด็กที่มีค่าเช่นนี้ให้ไปได้ เขาเอาชนะได้กระทั่งจ้าวจิ้น ในบรรดาครูฝึกกับผู้ช่วยฝึกทั้งหมดของวิหารตอนนี้เขาเป็นอันดับหนึ่งเรียบร้อยแล้ว ทั้งยังมีพรสวรรค์โดดเด่น อัจฉริยะแบบนี้ฆ่าเขาให้ตายก็ไม่ยกให้วิทยาลัยเทพสงครามหรอก
“อาจารย์ใหญ่ท่านล้อข้าเล่นแล้ว…”
เหลยหงยิ้ม “หลินจื้อเป็นผู้กระทำความผิดของวิหาร ข้าจะปล่อยให้เขามาสร้างความวุ่นวายให้แก่นักเรียนที่วิทยาลัยเทพสงครามของท่านได้อย่างไร!”
พูดจบ เขาก็กระแอมออกมา ก่อนตะโกนเสียงดัง “ผลการฝึก หลินจื้อชนะ! แต่หลินจื้อทำร้ายคนจนได้รับบาดเจ็บสาหัส ลงโทษคุมขังเพื่อสำนึกผิดเป็นเวลาเจ็ดวัน มหาร นำตัวใต้เท้าจ้าวจิ้นไปรักษา!”
จ้าวจิ้นนอนไม่ได้สติอยู่บนพื้นเรียบร้อยแล้ว
ฉินฮ่าวมองไปทางจ้าวจิ้น อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ “คนของจวนเสินโหวถูกตัดแขนขวาขาด แถมแขนที่ถูกตัดขาดยังถูกหลินจื้อทำลายจนแหลกละเอียด เด็กคนนี้อำมหิตและกล้าหาญยิ่งนัก นี่…เกรงว่าครั้งนี้วิหารของท่านคงต้องแบกรับผลที่ตามมาเสียแล้ว เจิ้งอี้ฝานแห่งเสินโหวใช่จะยอมให้รังแกกันง่ายๆ นะท่าน!”
เหลยหงมองสหายเก่าที่มีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นผู้นี้ จึงกล่าวขึ้น “ท่านก็อย่ามัวแต่ดีใจอยู่ที่นี่ อย่างไรเสียเหตุการณ์นี้ก็เกิดขึ้นที่วิทยาลัยเทพสงคราม วิหารของข้าเสียครูฝึกระดับดาวสีทองไปหนึ่งคน บัญชีนี้ข้าต้องคิดกับท่าน ตามกฎหมายแล้ว วิทยาลัยเทพสงครามจะต้องชดใช้ให้วิหารเป็นเงินสองแสนสี่หมื่นเหรียญทอง แต่เห็นแก่มิตรภาพของเรา ข้าปัดเศษทิ้งให้ ข้าจะรอท่านส่งเงินสองแสนเหรียญทองไปให้ที่วิหารก็แล้วกัน”
ฉินฮ่าวตกตะลึง “เจ้า…คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะพูดเรื่องเงินทองกับข้า เราเป็นสหายกันมาหลายสิบปี เจ้ามาพูดเรื่องเงินกับข้า…อีกอย่างวิทยาลัยเทพสงครามเป็นองค์กรที่ใสสะอาด จะเอาเงินมาจากไหนได้ตั้งมากมาย”
“ให้มันน้อยๆ หน่อยเถอะ จักรวรรดิส่งเงินสนับสนุนให้วิทยาลัยเทพสงครามสองล้านเหรียญทองทุกปี อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ มิเช่นนั้นพวกเจ้าจะเอาเงินจากไหนไปซื้ออาวุธกับม้าศึก แค่ทหารม้าก็สามพันกว่านายเข้าไปแล้ว อย่ามาปิดบังข้า ชดใช้มาซะ!”
“ตกลงๆ ชดใช้ก็ชดใช้ เจ้านี่ก็แก่แล้ว ยังจะขี้โมโหอยู่ได้…”
หลังจากกลับมาถึงแถวของผู้ช่วยฝึก หลินมู่อวี่ก็ควักโอสถฟื้นสภาพขึ้นมาเทใส่แผล เร่งการสมานของบาดแผลให้เร็วขึ้น สีหน้าของเขายังคงซีดเซียวอยู่บ้าง เพราะแผลครั้งนี้นับว่าสาหัสทีเดียว การโจมตีของทวนหลีฮวาที่ผนวกกับวิญญาณยุทธ์นั้นไม่ธรรมดา บาดแผลจึงฉีกขาดรุนแรง
“ยินดีด้วยหลินจื้อ เจ้าเอาชนะจ้าวจิ้นได้แล้ว…” ฉินจื่อหลิงพูดไปยิ้มไป
“มีอะไรน่ายินดีกันเล่า” หลินมู่อวี่ยิ้มอย่างขมขื่น “มีแต่จะหาเรื่องใส่ตัวก็เท่านั้น”
หม่าหลินกลับหัวเราะขึ้น “หลินจื้อ เจ้าได้ระบายความแค้นแทนพวกเราเหล่าผู้ช่วยฝึก มิต้องถ่อมตัวหรอก ตั้งแต่นี้ไปเกรงว่าเจ้าจะเป็นอันดับหนึ่งแห่งวิหารของเราเสียแล้ว!”
“เฮ้อ…” หลินมู่อวี่ก็ไม่รู้ว่าจะดีใจหรือเสียใจ เงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นจิตสังหารบนใบหน้าของทหารค่ายเสินเวย รู้สึกเหมือนหาเรื่องใส่ตัวเข้าแล้วจริงๆ
“จื่อหลิง ค่ายเสินเวยมีความเป็นมาอย่างไรกันแน่” เขากระซิบถาม
ฉินจื่อหลิงเอ่ย “ค่ายเสินเวยเหรอ อ้อ…เป็นกองทหารส่วนตัวของเสินโหวเจิ้งอี้ฝาน ในบรรดาขุนนางใหญ่ทั่วทั้งจักรวรรดิ มีเพียงเจิ้งอี้ฝานผู้เดียวที่ได้อภิสิทธิ์ตั้งกองทัพส่วนตัวเนื่องจากความดีความชอบในอดีต ค่ายเสินเวยมีทหารทั้งหมดห้าพันนาย แต่ล้วนเป็นทหารที่แข็งแกร่งผ่านศึกมาอย่างโชกโชน ได้ยินว่าในนั้นผู้ฝึกตนขอบเขตนภาก็ปาเข้าไปแล้วสิบกว่าคนแล้ว ว่ากันว่า ตอนนี้ค่ายเสินเวยคือหน่วยทหารที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในใต้หล้า ทหารค่ายเสินเวยห้าพันนายก็มากพอที่จะโจมตีเอาชนะกองกำลังรักษาพระองค์สามหมื่นนายของเฟิงจี้สิงได้สบายๆ แต่ก็แค่ข่าวลือเท่านั้น ไม่มีใครรู้ว่าค่ายเสินเวยนั้นเก่งกาจขนาดไหนกันแน่”
หลินมู่อวี่ตะลึงงัน “กระทั่งกองกำลังรักษาพระองค์สามหมื่นนายของพี่เฟิงก็มิใช่คู่ต่อสู้หรือ ออกจะเกินจริงไปหน่อยกระมัง…”
ฉินจื่อหลิงหัวเราะน้อยๆ “ข้าก็ไม่ค่อยแน่ใจ ฟังเขาว่ามาทั้งนั้น แต่ในเขตอิทธิพลของจักรวรรดิ ที่แข็งแกร่งที่สุดก็คือค่ายเสินเวยและองครักษ์อวี้หลิน องครักษ์อวี้หลินมีหน้าที่คุ้มครององค์จักรพรรดิ ค่ายเสินเวยมีหน้าที่คุ้มครองเจิ้งอี้ฝาน สองค่ายทหารนี้กระทบกระทั่งกันมาโดยตลอด มีเรื่องกันเป็นปกติ คนทั่วไปต่างก็รู้ว่าพวกเขาต่างดูถูกกัน”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้…”
เมืองหลวงนี่จะลึกลับซับซ้อนเกินไปแล้ว!