The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา - EP.128 การต่อต้านจากจวนเสินโหว
EP.128 การต่อต้านจากจวนเสินโหว
“ชิ้ง ชิ้ง ชิ้ง!”
ทหารติดอาวุธของค่ายเสินเวยที่อยู่โดยรอบทยอยชักกระบี่ออกมา แต่ละคนสีหน้าดุดัน คนที่อยู่รอบตัวจำนวนมากปล่อยวิญญาณยุทธ์ออกมา ประกายแสงของวิญญาณยุทธ์สัตว์และวิญญาณยุทธ์ประเภทอาวุธตัดกันไปทั่วบริเวณ ปราณแผ่ซึมกระบี่ แสดงความน่าเกรงขามออกมา
จางเหว่ยยกมือชักกระบี่ที่อยู่ตรงเอวออกมา วิญญาณยุทธ์หมีไฟคำรามก้อง ทำให้เสื้อคลุมปลิวสะบัด กระแสลมก่อตัวเป็นคลื่นม้วนพัดออกไปรอบทิศ ใบหน้าของครูฝึกระดับดาวสีทองของวิหารผู้นี้เต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด เขาคำรามใส่หัวหน้ากองพันค่ายเสินเวย
“ซือคงหนาน เจ้าอย่าคิดว่าเสินโหวให้ความสำคัญกับเจ้า แล้วเจ้าจะทำอะไรได้ตามอำเภอใจ อย่าลืมว่าฝ่าบาททรงให้สิทธิพิเศษแก่วิหารศักดิ์สิทธิ์ให้มีสิทธิรับอาวุธยุทโธปกรณ์ได้ก่อน!”
ซือคงหนานหัวเราะครืนใหญ่ กระบี่ในมือปรากฏเงากระบี่สีม่วงเล่มหนึ่งขึ้นมา มันคือวิญญาณยุทธ์ของเขา พลังรุนแรง รอบตัวกระบี่ปกคลุมไว้ด้วยปราณยุทธ์หนาแน่น
หลินมู่อวี่ไม่พูดไม่จา มองซือคงหนานกับกำลังทหารของค่ายเสินเวยที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในกลุ่มนี้คนที่แข็งแกร่งที่สุดคือซือคงหนาน เขาน่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตนภาชั้นที่หนึ่ง และยังมีผู้ฝึกยุทธ์ระดับปราชญ์สงครามขอบเขตปฐพีชั้นที่สามสองคน นอกนั้นคือปรมาจารย์สงครามขอบเขตปฐพีชั้นที่สอง
แม้ว่านี่จะเป็นแค่ส่วนเล็กๆ ของกองกำลังของเสินโหวเจิ้งอี้ฝาน แต่ก็ทำให้ผู้คนตกใจจนพูดไม่ออกแล้ว ในกองทหารพันนายนี้มีทหารมากกว่าครึ่งที่มีวิญญาณยุทธ์ และยอดฝีมือที่เข้าสู่ขอบเขตปฐพีแล้วก็มีจำนวนหลายสิบคน มิน่าถึงได้มีคำร่ำลือว่า ทหารของค่ายเสินเวยห้าพันนายก็สามารถต้านกองทัพใหญ่ของกองกำลังรักษาพระองค์สามหมื่นนายได้
“ปลดอาวุธพวกมันซะ!”
ซือคงหนานแผดเสียง ปราณยุทธ์บนกระบี่ก็รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
“ชิ้ง!”
ในช่วงที่สถานการณ์ตึงเครียดนี้ หลินมู่อวี่ก็ชักกระบี่เหลียวหยวนออกมาในบัดดล ปราณยุทธ์ไหลเข้าสู่กระบี่ วิญญาณมังกรไฟในกระบี่เหลียวหยวนส่งเสียงคำรามออกมา เปลวไฟแปรเปลี่ยนเป็นคลื่นความร้อนพัดออกไปรอบทิศ พลันทำให้ทหารค่ายเสินเวยที่อยู่ด้านหน้าต้องถอยออกไปหลายก้าว แค่กลิ่นอายอันทรงพลังของหลินมู่อวี่ พวกเขาก็มิอาจทนรับได้
“พวกเราคือคนของวิหาร ผู้ใดกล้าปลดอาวุธของพวกเรา ก็ลองเข้ามา! หากพวกเจ้าคิดจะเอาอาวุธของทหารแห่งวิหารศักดิ์สิทธิ์ไปละก็ ข้ามศพข้าไปก่อน มิเช่นนั้นก็อย่าได้หวัง!”
แววตาหลินมู่อวี่เย็นเยียบ วิญญาณยุทธ์น้ำเต้าสีครามก็ปรากฏขึ้น แปรเปลี่ยนเป็นกำแพงป้องกันอยู่ด้านนอกชุดศึกของวิหาร
ซือคงหนานยิ้มเยาะและพูดขึ้น “หลินจื้อ วิญญาณยุทธ์ระดับสิบที่ต่ำต้อยของเจ้า ยังกล้าที่จะเอาออกมาแสดงอีกหรือ เจ้าไม่กลัวผู้อื่นจะหัวเราะจนฟันหักเลยสินะ ทหาร ปลดอาวุธของมันให้จงได้!”
กลุ่มทหารค่ายเสินเวยทยอยดาหน้ากันเข้ามา ทุกคนจับกระบี่ไว้ในมือ วิญญาณยุทธ์ส่งเสียงหวีดหวิว นาทีต่อมา ปราณกระบี่นับสิบสายก็เปลี่ยนเป็นลำแสงพุ่งโจมตีเข้ามา
“ตายซะ!”
จางเหว่ยระเบิดเสียง แล้วตวัดกระบี่ที่มีเปลวเพลิงของวิญญาณยุทธ์หมีไฟกวาดออกไป
“จางเหว่ย อย่าฆ่าคน!”
ในขณะที่หลินมู่อวี่ตะโกน เขาก็เพิ่มพลังของปราณยุทธ์เพื่อมาป้องกัน วินาทีถัดมาปราณกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนก็พุ่งเข้าใส่กำแพงน้ำเต้าแล้วกระเด็นออกมา ขณะเดียวกัน กระบี่ของซือคงหนานก็เหมือนงูที่โจมตีเข้ามาพร้อมกับอสนีบาตสีม่วง เสียงโจมตีดัง “เปรี้ยง” พุ่งตรงเข้าใส่กระดองเต่าทมิฬจนเกิดเป็นรูโหว่
ปราณยุทธ์ทะลักใส่กำแพงป้องกันไม่ขาดสาย หลินมู่อวี่ฟื้นฟูกระดองเต่าทมิฬได้แทบจะในทันที พร้อมกันนั้นเขาก็กระโดดขึ้น และฟันกระบี่เหลียวหยวนไปที่คอของซือคงหนาน
“เฮอะ!”
ซือคงหนานเปล่งเสียง ยกกระบี่ขึ้นป้องกันการโจมตีของกระบี่เหลียวหยวน แต่ตอนนี้เอง จู่ๆ หลินมู่อวี่พลันคลายมือออก กระบี่เหลียวหยวนพร้อมแสงอัสนีก็พุ่งแทงเข้าใส่ซือคงหนานจากมุมที่แปลกพิสดาร กระบวนท่านี้รวดเร็วและแม่นยำนัก ทำให้ซือคงหนานป้องกันไม่ทัน
“เปรี้ยง!”
กำแพงปราณคุ้มกันที่เกิดจากการก่อตัวของปราณยุทธ์แตกสลายในทันที ซือคงหนานถอยร่นไปหลายก้าว ดวงตาฉายแววตระหนกขึ้นมาแวบหนึ่ง แต่ปฏิกิริยาการตอบสนองนับว่ารวดเร็วยิ่ง ยกกระบี่ปัดกระแทกกระบี่เหลียวหยวนออกไป และฉีกตัวหลบวูบหนึ่ง พร้อมส่งกระบี่ประกายแสงสีแดงโลหิตพุ่งเข้าใส่ลำคอของหลินมู่อวี่
กระบี่นี้รวดเร็วจนน่าตื่นตกใจ แต่หลินมู่อวี่นั้นรวดเร็วยิ่งกว่า ฝ่าเท้ามีประกายดารา เขาใช้ฝีเท้าดาวตกเคลื่อนที่ในชั่วพริบตา ในขณะที่ซือคงหนานฟันกระบี่ใส่อากาศที่ว่างเปล่า ก็กลับเห็นหลินมู่อวี่ยกส่งกำปั้นมาแต่ไกล!
“ตูม!”
หมัดเสียงปีศาจที่มาพร้อมกับปราณยุทธ์ประกายแสงวูบวาบพุ่งเจาะเข้าหากลุ่มคน มันพุ่งเข้าใส่ทหารค่ายเสินเวยสามนายจนต้องก้าวถอยหลังไปหลายก้าว แต่เห็นได้ชัดว่าหลินมู่อวี่ไม่คิดจะฆ่าคนที่นี่ ดังนั้นจึงไม่ได้ใช้หมัดเสียงปีศาจโจมตีใส่จุดสำคัญของพวกเขาโดยตรง มิเช่นนั้นเกรงว่าคนพวกนี้คงหนีไม่พ้นแม้แต่คนเดียว
บนกำปั้นขวาเต็มไปด้วยพลังของหมัดเสียงปีศาจ มือซ้ายขยับนิดหน่อย ทันใดนั้นกระบี่เหลียวหยวนที่อยู่กลางอากาศ ก็เปลี่ยนเป็นลำแสงสายหนึ่งพุ่งเข้าหาซือคงหนาน
ท่ามกลางเสียงกระบี่ที่กระแทกใส่กันอื้ออึงเสียดหู ซือคงหนานถอยร่นไปหลายก้าว ในนาทีนี้จิตใจของเขาหวาดหวั่นถึงขีดสุด เขาคิดในใจ “เจ้าเด็กนี่มันเป็นใครกัน ไม่คิดว่าจะแยกลงมือในเวลาเดียวกันได้ กระบี่พลังเปลวไฟที่รุนแรงดุเดือด กระแทกจนแขนทั้งสองข้างชาได้อย่างเหลือเชื่อ มันเป็นสัตว์ประหลาดหรือไง!”
ด้านข้าง ความยืดหยุ่นของเพลงกระบี่ของจางเหว่ย บวกกับการโจมตีของหลินมู่อวี่และทหารของวิหาร ทำให้ทหารของค่ายเสินเวยเกือบร้อยนายได้รับบาดเจ็บ ส่วนทหารของวิหารก็ได้รับบาดเจ็บยี่สิบกว่านาย ก้อนอิฐบนพื้นถูกย้อมไปด้วยเลือด
กลุ่มคนยิ่งต่อสู้กันยิ่งดุเดือด ในตอนที่เห็นว่ากำลังจะมีคนตาย จู่ๆ ก็มีเสียงคำรามเดือดดาลดั่งฟ้าร้องลอยมา “หยุดเดี๋ยวนี้!”
“พรึ่บ!”
แสงสีทองสายหนึ่งสาดทอเข้ามา พร้อมด้วยพลังปราณเย็นเยียบ มันคือโซ่เทวะ!
“แย่แล้ว!”
ซือคงหนานรีบหันกลับไป แต่โซ่เทวะมาอยู่เบื้องหน้าแล้ว เขารีบยกกระบี่ขึ้นมาต้านทานไว้ แต่ก็กลับถูกโจมตีถอยไปหลายก้าว เลือดทะลักออกมุมปาก แต่เขามิได้เดือดดาล กลับมีสีหน้าเคารพนบนอบ กล่าวเสียงดัง “ทุกคนหยุดเดี๋ยวนี้!”
หลินมู่อวี่ส่งสัญญาณให้คนของวิหารหยุดมือ จางเหว่ยมีท่าทางแค้นเคือง เขายังต่อยตีไม่สมใจอยาก
ในตอนนี้ ฉินเหลยตะบึงม้าควบเข้ามา ในมือถือดาบอสนีทลาย ตามติดมาด้วยองครักษ์อวี้หลินกลุ่มหนึ่งที่ด้านหลัง เขาพลิกตัวลงจากหลังม้าสีหน้าคล้ำเขียว มองดูกำลังคนและม้าของค่ายเสินเวยกับของวิหาร เขาเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเย็นเยียบว่า “เกิดเรื่องอะไรกันขึ้น”
ซือคงหนานประสานหมัดคารวะด้วยความเคารพ “ผู้บัญชาการฉิน จางเหว่ย ครูฝึกระดับดาวสีทองของวิหาร เที่ยวกระทำสุ่มสี่สุ่มห้าโดยพลการในเขตเสบียงทหาร และยังทำร้ายนายเสบียงผู้ดูแลจนได้รับบาดเจ็บ ข้าเข้าไปอธิบาย คิดไม่ถึงว่าแม้แต่ข้าเขาก็จะลงมือ!”
สายตาของฉินเหลยมองเขาอย่างดุดัน “จางเหว่ยเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตปฐพีชั้นที่สอง เขากล้าที่จะต่อสู้กับเจ้าที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตนภาเชียวหรือ”
เขากล้าที่จะต่อสู้จริงๆ นั่นแหละ…
หลินมู่อวี่แอบคิดในใจ จากนั้นเขาประสานหมัดคารวะและเอ่ยขึ้น “ผู้บัญชาการฉินเหลย นายเสบียงเพิกเฉยต่อหน้าที่ก่อน ให้พวกข้าคนของวิหารรออยู่นาน แต่ก็ไม่ยอมแจกจ่ายอาวุธยุทโธปกรณ์ให้ ดังนั้นใต้เท้าจางเหว่ยจึงได้กระทำการล่วงเกินทั้งที่รู้ว่าไม่สมควร ส่วนท่านแม่ทัพซือคงหนานแห่งค่ายเสินเวย ก็มีคำสั่งให้คนปลดอาวุธของพวกข้า”
“งั้นหรือ”
ฉินเหลยเลิกคิ้ว มองไปที่ซือคงหนาน “ท่านแม่ทัพซือช่างน่าเกรงขามนัก คิดไม่ถึงว่าแม้แต่อาวุธของวิหาร ท่านยังจะกล้าสั่งปลด ดูเหมือนท่านจะลืมพระบรมราโชวาทขององค์ปฐมจักรพรรดิไปแล้ว อาวุธของวิหารศักดิ์สิทธิ์ ผู้ใดก็มิอาจสั่งปลดได้!”
ขณะที่พูด ฉินเหลยก็ยิ้มเยาะ “ซือคงหนาน หากข้ารายงานเรื่องนี้ให้ฝ่าบาททรงทราบ เจ้าว่าเจ้าจะมีจุดจบอย่างไร”
ทันใดนั้นสีหน้าของซือคงหนานก็เปลี่ยนเป็นขาวซีด รีบคุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น “ผู้บัญชาการฉิน ข้ามิได้กระทำการปลดอาวุธใดๆ ขอใต้เท้าสืบสวนให้กระจ่าง ครั้งนี้…ครั้งนี้เป็นเพียงการเข้าใจผิด อีกอย่าง ค่ายเสินเวยจะบังอาจล่วงเกินวิหารศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไร”
“เช่นนั้นก็ดี”
ฉินเหลยถือดาบอสนีทลาย ก้าวไปยืนอยู่หน้านายเสบียงผู้ดูแล เขายกมือ แล้วใช้พลังไร้ลักษณ์หิ้วนายเสบียงผู้นี้ให้ลุกขึ้น
สีหน้าเขาขาวซีด ร้องขอความเมตตาละล่ำละลัก “ผู้บัญชาการฉิน ข้าน้อยไม่กล้าแล้วขอรับ ต่อไปไม่กล้าอีกแล้ว!”
ฉินเหลยยิ้มบางๆ “คนอย่างเจ้ามีเรื่องอะไรไม่กล้าทำ ทหาร เอาตัวมันไป นำไปส่งให้สมาพันธ์นกกระจอกเพลิงสอบสวนไอ้ระยำนี่ให้ดี ส่วนฝ่ายเสบียงให้เปลี่ยนผู้ดูแลใหม่ จำไว้ให้ดี ผู้ใดก็ห้ามเพิกเฉยต่อคนของวิหารเด็ดขาด มิเช่นนั้นจะถือว่าเป็นศัตรูกับตระกูลฉิน!”
กลุ่มคนแสดงความนอบน้อม ทยอยทำความเคารพในแบบทหารจักรวรรดิ
หลินมู่อวี่กับจางเหว่ยตรวจอาการบาดเจ็บของทหารจากวิหาร ล้วนแต่บาดเจ็บเล็กน้อย นับว่าคนของค่ายเสินเวยยังยั้งมืออยู่บ้าง ไม่ได้ใช้อาวุธที่ทำให้เกิดการบาดเจ็บสาหัสอย่างธนู มิเช่นนั้นเกรงว่าคงมิใช่แค่การบาดเจ็บเล็กน้อยแล้ว
“อาอวี่ เจ้าเพิ่งล่วงเกินคนของจวนเสินโหว ต้องระวังตัวด้วย!” ฉินเหลยถือดาบอสนีทลาย ยืนอยู่เคียงข้างหลินมู่อวี่
“อืม ครั้งนี้ต้องขอบคุณพี่ฉินเหลยเป็นอย่างมาก” หลินมู่อวี่ยิ้มเล็กน้อย “แต่คนของจวนเสินโหวคิดจะทำร้ายข้า เกรงว่าหากข้าหลบก็คงหลบไม่พ้น คงได้แต่จัดการไปตามสถานการณ์”
“จริงสิ น้องชายข้าฉินเหยียนเข้าไปฝึกที่วิหารแล้ว เจ้าคงเจอเขาแล้วกระมัง”
“ฮ่ะ เจอแล้วขอรับ ฉินเหยียนฝีมือไม่เลวทีเดียว คนก็นิสัยดี”
“ฮ่ะ ฮ่ะ เจ้านั่นเอาแต่ลุ่มหลงวิทยายุทธ์ ไม่สนใจเข้าสังคม เจ้าต้องชี้แนะเขาให้มาก อีกอย่าง ค่ายเสินเวยสะสมอำนาจในเมืองหลวงมาเป็นเวลานาน หากเจ้าเลี่ยงได้ก็เลี่ยงเสีย คนกลุ่มนี้อาศัยว่ามีใบบุญของเสินโหวหนุนหลัง ไม่เห็นใครอยู่ในสายตา หากเสด็จพ่อข้ามิใช่จี้หนิงอ๋อง เกรงว่าวันนี้คงได้เปิดศึกกันแล้ว”
“อืม”
จากนั้นไม่นาน ก็มีการลำเลียงอาวุธและอาหารส่วนหนึ่งออกมาจากคลังเสบียง ทยอยนำขึ้นรถ และฉินเหลยก็ทำหน้าที่คุ้มกันขบวนเดินทางกลับวิหารศักดิ์สิทธิ์
……
ช่วงดึกสงัด หลินมู่อวี่ จางเหว่ย และคนอื่นๆ ได้เข้าร่วมการฝึกกลางคืนของวิหาร ที่หนึ่งสัปดาห์จะมีขึ้นหนึ่งครั้ง จนกระทั่งถึงช่วงยามไฮ่
“ก๊อก ก๊อก ก๊อก…”
มีเสียงเคาะประตูรุนแรงที่ด้านนอก ท่าทางร้อนใจอย่างยิ่ง
“นั่นใคร”
ทหารรักษาการณ์ของวิหารผู้หนึ่งเดินขึ้นไป เมื่อเปิดประตูออกก็เห็นกลุ่มคบเพลิงกับเสียงฝีเท้าม้าที่ดุดัน ภายใต้แสงไฟ หัวหน้ากองพันผู้หนึ่งถือกระบี่พุ่งตัวเข้ามา เขาแบมือออก ปราณยุทธ์ก็เปลี่ยนเป็นพลังฝ่ามือที่แผ่ไพศาล พุ่งตรงเข้าใส่ทหารรักษาการณ์ของวิหารผู้นั้นจนหมดสติ เขาชูม้วนกระดาษม้วนหนึ่งในมือขึ้นสูง พลางตะโกนเสียงดังว่า “ซือคงหนานได้รับคำสั่งให้จับกุมนักโทษสำคัญแห่งจักรวรรดิหลินมู่อวี่!”
“ใคร?”
จางเหว่ยถือกระบี่ออกมาจากในวิหาร ด้านหลังตามติดมาด้วยครูฝึกกับทหารรักษาการณ์จำนวนหนึ่ง
“ซือคงหนาน เจ้าคิดจะทำอะไร!?”
เมื่อเห็นใบหน้าใต้คบเพลิงของซือคงหนาน จางเหว่ยก็เกิดความโกรธจนยั้งอารมณ์ไว้ไม่อยู่
ซือคงหนานสะบัดม้วนกระดาษในมือ “ค่ายเสินเวยได้ทำการสืบสวน ยืนยันได้ว่าหลินจื้อผู้ช่วยฝึกระดับดาวสีทองของวิหาร คือหลินมู่อวี่ผู้ที่สังหารเจ้าเมืองหยินซาน หลักฐานแน่นหนา จึงได้รับคำสั่งให้มาจับกุมตัว!”
“เจ้ากล้ารึ!”
จางเหว่ยคำราม วิญญาณยุทธ์ปรากฏออกมา
“ทหาร!”
ซือคงหนานหน้าคล้ำเขียว กล่าวเสียงเรียบ “มือธนู!”
ด้านหลัง มือธนูกว่าร้อยนายดึงสายธนูอย่างพร้อมเพรียง ลูกธนูที่แหลมคมส่องประกายเย็นเยียบภายใต้แสงจากเปลวไฟ