The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา - EP.307 ผนึกเทพอัคคี
EP.307 ผนึกเทพอัคคี
“เหตุใดจึงออกมาข้างนอกดึกดื่นเช่นนี้?” หลินมู่อวี่ถามคำถามอื่นทันทีที่หันกลับ
หญิงสาวนามว่า ‘หงหลัว’ มีน้ำตาไหลอาบหน้า นางกะพริบตามองไปยังหลินมู่อวี่และเอ่ยถาม “เจ้าเป็นใคร เหตุใดข้าต้องบอกเจ้าด้วย?”
“ข้า?”
หลินมู่อวี่ยิ้มอย่างสดใส “โอ้ ข้ามาล่าสัตว์ในภูเขาน่ะ…”
หงหลัวตาแดงก่ำ “เจ้าโกหก ตราบนปกเสื้อบ่งบอกว่าเจ้าเป็นนายพลแห่งจักรพรรดิฉิน อีกทั้งมีดาวหลายดวง เจ้าต้องเป็นขุนนางชั้นสูง จ…เจ้าเป็นใครกันแน่?”
“ข้ากำลังถามเจ้า มิใช่ให้เจ้ามาถามข้า” ดวงตาหลินมู่อวี่เย็นชา “ตอบมา เจ้าออกจากค่ายและวิ่งเข้ามาภูเขานี้เพื่อการใด?”
หงหลัวนิ่งเงียบ น้ำตาไหลอาบแก้มสองข้าม ทว่านางขยับมือไปด้านหลังอย่างเงียบงันราวกับซ่อนบางสิ่ง
หลินมู่อวี่ขยับมือ ทันใดนั้นเถาวัลย์โผล่พ้นดินตวัดขึ้นทำให้สิ่งที่หงหลัวพยายามซ่อนไว้ใต้แขนเสื้อก็ตกลงบนพื้น ‘ปึก’ หลินมู่อวี่หยิบขึ้นมาและพบว่ามีม้วนหนังสือสองม้วนซึ่งมีตัวหนังขนาดใหญ่เขียนอยู่ ‘ผนึกดวงดารา’ ส่วนข้อความที่เหลือหลินมู่อวี่ไม่สามารถอ่านได้ เขาผงะและพูดว่า “นี่คืออะไร?”
หงหลัวน้ำตาไหล “เอาคืนมานะ!”
เสียงของนางดังเกินไป ทันใดนั้นก็มีเสียงเผ่าพันธุ์อสูรดังจากระยะไกล “มีคนอยู่ในป่า! เข้าไปดูเร็ว!”
‘พลั่ก!’ หลินมู่อวี่ใช้ฝ่ามือกระแทกต้นคอทำให้หงหลัวสลบ เขาเก็บม้วนหนังสือนั้นใส่ถุงสรรพสิ่ง ก่อนจะยกร่างหงหลัวขึ้นและใช้ฝีเท้าดาวตกตรงไปยังประตูเมือง ไม่ถึงสิบนาทีหลินมู่อวี่ก็มาถึง จากนั้นเถาวัลย์น้ำเต้าพลันเลื้อยขึ้นตามกำแพง หลินมู่อวี่จึงกระโดดขึ้นไปอย่างรวดเร็ว
ทหารรักาการณ์หลายคนผงะ ภายใต้แสงจากคบเพลิง เมื่อพวกเขาเห็นหลินมู่อวี่อุ้มจิ้งจอกสาวกลับมาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้ม “ท่านแม่ทัพหลวง กลับมาจากล่าสัตว์แล้วหรือขอรับ?”
หลินมู่รู้สึกรู้สึกอายเล็กน้อยและไม่รู้ว่าควรจะอธิบายอย่างไร เขาจึงพูดว่า “เฝ้าระวังความเคลื่อนไหวด้านนอกซะ”
“ขอรับท่านแม่ทัพหลวง!”
…
เมื่อหลินมู่อวี่กลับมายังกระโจมพร้อมหงหลัวในอ้อมแขน เว่ยโฉว เซี้ยโหวซาง และคนอื่นๆ ต่างก็มารุมดูหงหลัวที่นอนอยู่บนฟูกด้วยสายตาเย็นชา
ฉือยิงประสานหมัด “แม่ทัพหลวง นอกจากหญิงรับใช้แล้วก็ไม่มีผู้หญิงอยู่ในค่ายทหารแห่งจักรวรรดิ จะ…จิ้งจอกนี้งดงามยิ่ง ทว่า…แม่ทัพหลวงมิควรทำผิดกฎเช่นนี้”
หลินมู่อวี่อธิบายด้วยความเขินอายเล็กน้อย “นายพลเฒ่าฉือมิได้เป็นเช่นนั้น ข้าเพิ่งแวะไปเยี่ยมค่ายเผ่าพันธุ์อสูรตอนกลางคืน และจับจิ้งจอกสาวผู้นี้กลับมา มิได้มีเหตุผลอื่นใดนอกจากต้องการข้อมูลที่มีประโยชน์จากปากนาง”
“เป็นเช่นนี้เอง…” ฉือยิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ชายเฒ่าผู้นี้กังวลมากเกินไป โปรดอภัยให้ข้าด้วยท่านแม่ทัพหลวง”
“ไม่เป็นไร ปลุกนางซะ”
“ขอรับ!”
เว่ยโฉวก้าวไปด้านหน้า เขาใช้ปลายนิ้วกดหน้าผากนางแผ่วเบา จากนั้นหงหลัวก็ตื่นขึ้นทันทีและจ้องมองผู้คนรอบบริเวณอย่างตื่นตระหนกพร้อมใบหน้าขาวซีด “จะ…เจ้าคนโหดเหี้ยม คืนม้วนหนังสือของข้ามานะ!”
“ม้วนหนังสืออะไร?” เว่ยโฉวตะลึง
หลินมู่อวี่หยิบม้วนหนังสือทั้งสองออกมาและยิ้ม “ข้าไม่ทราบว่ามันเขียนว่าอะไร มาดูสิว่าจะมีวิธีซักถามนางได้อย่างไรบ้าง เนื่องจากนางไม่ยอมบอกข้าถึงวัตถุประสงค์ในการโจมตีเมืองอสูร”
“ง่ายมาก!”
เซี้ยโหวซางเดินไปด้านหน้าด้วยรอยยิ้มมีเลศนัย “ข้าไม่เคยเล่นสนุกกับเผ่าจิ้งจอกมาก่อน…”
หงหลัวตื่นตะหนกพร้อมน้ำตาไหลอาบแก้มอีกครั้ง นางมองไปยังหลินมู่อวี่ “เจ้ามนุษย์ เจ้าพาข้ามาที่นี่ เจ้าต้องปกป้องข้า จะ…เจ้าห้าม…”
หลินมู่อวี่ถือกระบี่ยาวในมือและกล่าวว่า “ทว่าเจ้าไม่บอกข้าว่าเหตุใดเผ่าอสูรจึงโจมตีเมือง ตราบใดที่เจ้าบอก ข้าจะรับรองความปลอดภัยให้ ตกลงไหม?”
น้ำตาไหลรินบนใบหน้างามของหงหลัว นางหลับตาและขยับมือปลดเสื้อผ้า ลูกบอลสีขาวราวกับหิมะสองลูกถูกห่อหุ้มอยู่ด้วยชุดชั้นในถูกเปิดออกเพียงเสี้ยววิและปิดลง “วีรสตรีกำลังตาย” นางพูดด้วยตาแดงก่ำ “หงหลัวจะไม่มีวันทรยศต่อท่านนักปราชญ์ หากเจ้ามนุษย์ชั่วร้ายต้องการความบริสุทธิ์ของหงหลัว ก็รีบเข้ามาซะ! ข้าไม่กลัวเจ้า!”
เว่ยโฉวตะลึง “ร…เราควรทำอย่างไรดี?”
เซี้ยโหวซางยิ้ม “ดูสิว่า ข้าจะทำอะไรกับเจ้าได้บ้าง…”
หลินมู่อวี่กระแอม “เซี้ยโหวหยุด ช่างเถิด ในเมื่อนางต้องการที่จะตาย ก็ถือว่าเจ้าได้ครอบครองนางแล้ว มิจำเป็นต้องลงมืออีก”
เซี้ยโหวซางพูดอย่างไม่เต็มใจ “ทว่ามันสามารถสร้างขวัญกำลังใจได้ขอรับ!”
“แล้วจะมีประโยชน์อะไรกับการสร้างขวัญกำลังใจให้เจ้าผู้เดียว? จำไว้ว่าเจ้าเป็นทหารแห่งจักรวรรดิ ไม่มีผู้ใดในใต้บังคับบัญชาของข้าสามารถขัดขืนคำสั่ง เข้าใจหรือไม่?”
“ขอรับท่านแม่ทัพ!”
หลินมู่อวี่เหลือบมองหงหลัวด้วยสายตาเย็นชาและกล่าวว่า “เจ้าถูกกักตัวไว้ที่ค่ายนี้ชั่วคราว ข้าจะตัดสินใจเรื่องการจัดการเจ้าภายหลังเมื่อสงครามสิ้นสุด”
หงหลัวมองหลินมู่อวี่ด้วยสายตาว่างเปล่าและมิได้พูดสิ่งใด
…
ในวันรุ่งขึ้นตามดังคาด เผ่าพันธุ์งูเกือบสี่หมื่นตัวเข้าโจมตีเมือง ทุกคนต่อสู้กันอย่างดุเดือดตลอดช่วงเช้า และได้รับความเสียหายทั้งสองฝ่าย ทว่าหลินมู่อวี่มองอีกฝ่ายอย่างทะลุปรุโปร่ง ตราบใดที่ทหารแห่งจักรวรรดิไม่ออกจากเมือง เผ่าพันธุ์อสูรก็ไม่สามารถทำอะไรพวกเขาได้ ในแง่ของความสามารถในการล้อมเมือง…เผ่าพันธุ์อสูรนั้นด้อยกว่ามาก พวกมันไม่มีแม้แต่บันได และต้องอาศัยสัญชาตญาณสัตว์ร้ายในการโจมตีเมืองเท่านั้น เมื่อหลินมู่อวี่โจมตีด้วยไฟ พวกมันก็แตกกระเจิงและเต็มไปด้วยหวาดกลัวทันที กองทัพเช่นนี้สามารถทำลายได้อย่างง่ายดาย เป็นเรื่องแปลกที่เมืองหน้าด่านกลับพ่ายแพ้…
ในช่วงบ่ายมีเสียงแตรสงครามดังขึ้น จากนั้นกองทัพเผ่างูก็ถอยกลับราวกับกระแสน้ำ
ประมาณครึ่งชั่วโมงถัดมา มีชายถือธงขาวขี่ม้าเข้ามาจากระยะไกล ชายผู้นั้นมาจากเผ่าพันธุ์จิ้งจอก เขามีหูและหางจิ้งจอก ทว่ามีเพียงสองหางเท่านั้น จิ้งจอกสวมชุดเกราะตนนั้นตะโกนดัง “ข้าเป็นทูตจิ้งจอกและมาเพื่อเจรจา!”
หลินมู่อวี่ยืนขึ้นพร้อมผ้าคลุมปลิวไสวอย่างสง่างาม “ข้าเป็นองครักษ์หลินมู่อวี่ ว่ามา!”
จิ้งจอกหนุ่มเงยหน้ามองหลินมู่อวี่และพูดว่า “เมื่อคืนท่านลักพาตัวจิ้งจอกสาวจากเผ่าพันธุ์ของเราใช่หรือไม่?”
“ใช่…แล้วทำไม?”
จิ้งจอกหนุ่มกัดฟัน “หลินมู่อวี่ กองทัพของพวกเราตัดสินใจสงบศึก ท่านยินดีหรือไม่?”
“หากท่านต้องการ ท่านก็สงบศึกไปฝ่ายเดียว? เช่นนั้นเกี่ยวอะไรกับจักรวรรดิฉิน?” หลินมู่อวี่เลิกคิ้วถาม
“แล้วเจ้าต้องการสิ่งใด?!”
“ข้าต้องการพบปราชญ์จิ้งจอกของท่านเพื่อเจรจาการสงบศึกด้วยตนเอง”
“ตกลง!” จิ้งจอกหนุ่มตอบโดยไม่คิด “หลังจากนี้หนึ่งชั่วโมง จงออกไปนอกประตูเมืองระยะหนึ่งไมล์ ท่านนักปราชญ์จะรออยู่ที่นั่น อยู่ที่เจ้าแล้วว่าจะกล้ามาหรือไม่ และจงพาหงหลัวมาด้วย”
“อืม ข้าจะไป”
หลินมู่อวี่หันกลับและกระโดดลงจากป้อมปราการ ก่อนจะปัดเศษดินออกจากหัวเข่า
เว่ยโฉวกล่าวเสียงนิ่ง “ท่านแม่ทัพ มิใช่ว่ามันอันตรายเกินไปที่จะออกไปเจรจาสงบศึกคนเดียวหรือขอรับ?”
“ไม่เป็นไร เจ้าเพียงนำทหารหนึ่งร้อยนายตามข้าไกลๆ”
“ขอรับ!”
…
หลินมู่อวี่ขี่ม้าออกจากประตูเมืองอย่างเชื่องช้าพร้อมถือกระบี่วิญญาณมังกร ขณะเดียวกันก็จูงม้าที่มัดหงหลัวไว้บนนั้น ทันทีที่หลินมู่อวี่ออกมา เขาก็ได้กลิ่นเหม็นคาวตลบอบอวล การต่อสู้ผ่านมาสิบวันแล้ว ศพที่นอนตายเกลื่อนกลาดด้านใต้ของเมืองเป็นจุดสะสมของแมลงวันที่มาตอมและวางไข่ในฤดูใบไม้ผลิ จึงทำให้ศพเหล่านี้เน่าเหม็นเร็วขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หากไม่สามารถฝังพวกเขาได้ทันเวลาอาจส่งผลให้เกิดโรคระบาดตามมา
เว่ยโฉว เซี้ยโหวซาง และคนอื่นๆ นำทหารม้าหนักอวี้หลินจำนวนหนึ่งร้อยนายตามหลังไป ขณะเดียวกันก็ให้ทหารผ่านศึกฉือยิงอยู่เฝ้าเมือง เมื่อมองไปยังเด็กหนุ่มเหล่านี้ เขาก็ลูบเคราขาวและกล่าวว่า “เด็กหนุ่มพวกนี้กล้าหาญยิ่งนัก! ไม่ธรรมดาอย่างแท้จริง”
…
ห่างออกไปหนึ่งไมล์นอกตัวเมือง เมื่อหลินมู่อวี่นำหงหลัวลงจากม้า ก็มีกลุ่มคนเดินมาจากระยะไกล จากนั้นหญิงสาวในชุดคลุมสีแดงเพลิงก็ลงจากม้าแล้วเดินมาด้วยตนเอง รูปลักษณ์ภายนอกนั้นงดงามและบริสุทธิ์ นางเป็นคนจากเผ่าพันธุ์จิ้งจอกที่มีหางเพลิงสามหางกวัดแกว่งอยู่ด้านหลัง ซึ่งทำให้หลินมู่อวี่อดไม่ได้ที่จะคิดถึงถังเสี่ยวซี ทว่าถังเสี่ยวซีเป็นอสูรจิ้งจอกเก้าหางที่ดูสง่างามและทรงพลังมากกว่าปราชญ์ตนนี้
“ท่านนักปราชญ์ โปรดลงโทษหงหลัวที่ทำให้ทุกสิ่งแย่ลง!” หงหลัวร้องไห้ฟูมฟายจากระยะไกล
“เจ้าเป็นอะไรหรือไม่หงหลัว?” นักปราชญ์เอ่ยถามอย่างกังวล
“ข้าไม่เป็นไร ทว่าม้วนหนังสือ…ถูกมนุษย์ผู้นี้ขโมยไป”
“อะไรนะ?! ม้วนหนังสือถูกขโมยไป?” นักปราชญสาวกัดฟันแน่น
หลินมู่อวี่ปล่อยหงหลัวไป ก่อนจะวางกระบี่วิญญาณมังกรลงพื้น และยกมือทั้งสองขึ้น “ท่านคือนักปราชญ์แห่งเผ่าเทพอัคคีสินะ เช่นนั้นบอกข้ามา เหตุใดเผ่าพันธุ์อสูรจึงโจมตีเมือง ทั้งสองเผ่าพันธุ์อาศัยอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขมาตลอดมิใช่หรือ?”
“หือ?”
ดวงตานักปราชญ์ฉายแววอาฆาต “เจ้าส่งกองทัพมาตามล่าท่านเทพธิดาจิ้งจอกเก้าหาง เช่นนี้เรียกว่าสงบสุขหรือ?”
“เทพธิดาจิ้งจอกเก้าหาง?”
หลินมู่อวี่กล่าว “มันเป็นจิ้งจอกเก้าหาง แม้พวกเราเหล่ามนุษย์จะไล่ล่ามัน แล้วสิ่งนั้นเกี่ยวอะไรกับเจ้า?”
นักปราชญ์พลันสะบัดแขนเสื้อของนาง ทันใดนั้นเปลวเพลิงก็ลุกโชนทั่วร่างกาย พร้อมหางทั้งสามชูขึ้นอย่างรวดเร็ว ท่าทางของนางช่างน่าเกรงขาม ปราชญ์จิ้งจอกกล่าวเสียงดัง “เทพธิดาจิ้งจอกเก้าหางเป็นท่านเทพที่พวกเราเผ่าพันธุ์อสูรนับถือ เจ้าพูดเช่นนั้นออกมาได้อย่างไร?!”
“ช้าก่อน”
หลินมู่อวี่ยกมือขึ้น “อย่ารีบร้อนไป ข้าไม่ใช่ผู้ที่ไล่ล่าและสังหารเทพธิดาจิ้งจอกเก้าหาง ตรงกันข้าม…ข้าเป็นผู้ที่ปกป้องนาง อีกทั้งถังเสี่ยวซีเป็นสหายรักของข้า เช่นนั้นข้าจะสังหารนางได้อย่างไร?”
“จ…เจ้ารู้จักกับท่านเทพธิดาจิ้งจอกเก้าหางหรือ?”
“ไร้สาระ นางชื่อถังเสี่ยวซี เป็นหนึ่งในผู้สืบทอดตระกูลถังแห่งเมืองชีไห่…ช่างหุนหันพลันแล่นยิ่งนักที่โจมตีเมืองอสูรโดยไม่รู้ความจริงแม้แต่น้อย!”
“ร…เรา…”
นักปราชญ์แสดงท่าทีละอายใจและกล่าวว่า “ท่านทหาร…หากท่านรู้จักท่านเทพธิดาจิ้งจอกเก้าหางจริง ให้ข้าได้พบนางได้หรือไม่?”
“หมายความว่าอย่างไร?” หลินมู่อวี่เอ่ยถาม
“นั่นเพราะ…” นักปราชญ์อธิบาย “เผ่าพันธุ์อสูรรอคอยท่านเทพธิดาจิ้งจอกเก้าหางลงมาจุติกว่าหมื่นปี ภารกิจเดียวของพวกเราคือช่วยท่านเทพธิดาจิ้งจอกเก้าหางขึ้นสู่สรวงสวรรค์ หากท่านรู้จักนางจริง ได้โปรดช่วยให้ข้าได้พบนางด้วยเถิด แล้วข้าจะมอบม้วนตำราผนึกเทพอัคคี”
“ม้วนตำราผนึกเทพอัคคี?” หลินมู่อวี่ผงะ
“ใช่ สิ่งที่ท่านนำไปคือผนึกดวงดาราชั้นที่สิบ ข้ามีอีกสองชิ้นซึ่งเป็นผนึกแห่งเทพชั้นที่สิบเอ็ด และผนึกเทพจิ้งจอกชั้นที่สิบสอง ท่านทหารรู้จักผนึกเทพอัคคีใช่หรือไม่?”
หลินมู่อวี่ตะลึงงันไปสามวินาทีและกล่าวว่า “ในแผ่นดินมนุษย์ ผนึกเทพอัคคีมีอีกชื่อเรียกว่าผนึกจิ้งจอกอัคนี…มันเป็นความเชี่ยวชาญเฉพาะตัวของตระกูลถังแห่งเมืองชีไห่…”
นักปราชญ์นิ่งเงียบ “…”
ทุกคนต่างคิดว่าผนึกจิ้งจอกอัคนีมีเพียงเก้าชั้น ไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะยังมีอีกสามชั้น ซึ่งรวมทั้งสิ้นเป็นสิบสองชั้น! แทบจินตนาการไม่ได้เลยว่าถังเสี่ยวซีจะแข็งแกร่งมากเพียงใดหากได้เรียนรู้ผนึกเทพอัคคีทั้งสิบสองชั้น?
เมื่อคิดได้เช่นนี้หลินมู่อวี่ก็รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย จิ้งจอกเก้าหางไม่ใช่อสูร ทว่าเป็นเทพเจ้า โชคดีที่ถังเสี่ยวซีมิได้ถูกเปลี่ยนให้เป็นอสูร ทว่าถูกเปลี่ยนให้เป็นอมตะ!