The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา - EP.318 เทือกเขาเขียว
EP.318 เทือกเขาเขียว
“มณฑลชางหนานถูกตีพ่ายแล้ว…”
ม้วนตำราในมือเฟิงจี้สิงตกลงพื้น เขาตกใจมาก “ระ…เร็วมาก…”
หลัวเลี่ยและจางเหว่ยด้านข้างเผยท่าทางประหลาดใจ หลัวเลี่ยเอ่ยถาม “เหตุใดจึงเร็วเช่นนี้? ผู้บัญชาการซีกงฝานเป็นผู้ว่าการคนใหม่ เหตุใดจึงถูกตีพ่ายอย่างรวดเร็ว?”
“ซีกงฝานถูกฆ่าแล้ว”
เฟิงจี้สิงกล่าวอย่างใจเย็น “ไม่รู้ว่ามณฑลหลิงหนานไปหาจอมยุทธ์ขอบเขตปราชญ์มาหลายคนได้อย่างไร นี่มันเรื่องใหญ่มาก ไปเถิด เข้าไปในโถงกับข้าเพื่อเข้าเฝ้าองค์หญิงอิน จักรวรรดิเกิดความโกลาหลขึ้นแล้ว”
“ขอรับ”
…
ณ ตำหนักเจ๋อเทียน เหล่าข้าราชบริพารต่างกังวล ขณะที่หลายคนกัดฟันแน่น แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เมื่อเฟิงจี้สิงพาจางเหว่ยและหลัวเลี่ยเข้ามาในโถง หลินมู่อวี่และฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนก็เข้ามาทักทาย ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนกล่าวว่า “เฟิงจี้สิงได้รับสารถึงการล่มสลายของมณฑลชางหนานแล้วเช่นกันรึ”
“อืม…องค์หญิงตรัสว่าอย่างไรบ้าง?”
“ยังมิได้ตรัสสิ่งใด”
หลินมู่อวี่กำกระบี่แน่นและเดินไปที่บัลลังก์พร้อมเฟิงจี้สิงและฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน เมื่อเงยหน้าขึ้นก็พบฉินอินเดินออกมา เสื้อคลุมและกระโปรงผ้าไหมสวยงามลากยาวกับพื้น สาวใช้ทั้งสองเดินตามอย่างเคารพ
“พี่อาอวี่ มณฑลชางหนานถูกตีพ่ายแล้วจริงหรือ?” ฉินอินรีบเอ่ยถาม
“ใช่”
หลินมู่อวี่ประสานหมัด “ข้าได้รับสารด่วนจากหน่วยสอดแนมที่จัดไว้ในมณฑลชางหนาน กองทัพเมืองชางหนานขยายใหญ่มากขึ้นโดยมีการใช้ม้ากว่าสามแสนตัว ราชาเจิ้นหนานฉินอี้แต่งตั้งจื่อเย่าเป็นผู้บัญชาการ ขณะที่หลินอี้และหลงเซียนหลินเป็นนายพล เพื่อให้ทั้งสามเข้ายึดครองเมืองห้าหุบเขา และพวกเขาจะเคลื่อนทัพมาถึงเมืองหลวงภายในห้าวัน”
ฉินอินทำอะไรไม่ถูก “สะ…เสด็จพ่อเดินทางไปมณฑลเทียนชู่…”
ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนประสานหมัด ใบหน้าเต็มไปด้วยความโศกเศร้า “องค์หญิงอินโปรดอภัยให้กระหม่อมที่ล่วงเกิน ทว่าฝ่าบาท…อาจประสบกับเหตุร้ายพ่ะย่ะค่ะ”
“เป็นไปไม่ได้!” ฉินอินส่ายหัวและพูดอย่างแน่วแน่ “เสด็จพ่อนำองครักษ์ฝีมือดีไปด้วยมากมาย อีกทั้งยังนำองครักษณ์ขอบเขตนภาชั้นที่สามไปมณฑลเทียนชู่ด้วยถึงสามคน รวมทั้งกองกำลังหนึ่งแสนนาย เป็นไม่ได้ที่จะเกิดเหตุร้ายขึ้น…”
ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนเงยหน้าขึ้นมองฉินอินและกล่าวเสียงแผ่วเบา “ตามสารที่เชื่อถือได้ ฉินอี้ได้เชิญลั่วหลานซึ่งอยู่ขอบเขตเทวะผู้อาศัยอยู่อย่างสันโดษบนยอดเขาศักดิ์สิทธิ์ มีบริวารขอบเขตปราชญ์ผู้แข็งแกร่งหลายคนใต้บัญชาลั่วหลาน หากเดาไม่ผิด ลั่วหลานคงแสร้งทำเป็นองครักษณ์ประจำตัวของฉินอี้ แม้ฝ่าบาทจะทรงมีทหารฝีมือดีมากมาย ทว่าจะเป็นคู่ต่อสู้กับขอบเขตเทวะได้หรือ…”
“ข…ข้า…”
น้ำตาเอ่อล้นจากดวงตาคู่งามทันที ฉินอินยืนนิ่งขณะที่พึมพำ “เสด็จพ่อจะต้องไม่เป็นอะไร…เสด็จพ่อจะต้องไม่เป็นอะไร…”
หลินมู่อวี่เดินไปด้านหน้าและกอดฉินอินอย่างแผ่วเบา ตอนนี้เขาเป็นเพียงผู้เดียวที่จะสนับสนุนฉินอินได้ หลินมู่อวี่กระซิบข้างหูฉินอิน “เสี่ยวอิน ราชาเจิ้นหนานเป็นผู้ทรยศ ทุกคนกำลังตื่นตระหนก และเจ้าเป็นเพียงผู้เดียวที่สามารถเป็นที่พึ่งให้พวกเขาได้ ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ เจ้าต้องเข้มแข็งขึ้น เสด็จพ่อจะต้องไม่เป็นอะไร ทว่าก่อนอื่น เจ้าต้องปกป้องเมืองหลันเยี่ยนไว้ให้ได้”
“อือ”
ฉินอินเช็ดน้ำตาอย่างเงียบงัน หลินมู่อวี่ถอยกลับไปยืนที่เดิม
ท่ามกลางข้าราชบริพาร หลัวซิ่งพลันประสานหมัด “องค์หญิงอิน ราชาเจิ้นหนานทรยศเป็นเรื่องที่โง่เขลา พระองค์เพียงต้องส่งทหารฝีมือดีไปยังมณฑลชางหนาน และทำลายฝูงชนไร้ฝีมือของพวกนั้นให้สิ้นซาก”
เฟิงจี้สิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “ทหารสองแสนนายในเมืองไป๋หลิงต่างเป็นคนไร้ความสามารถหรือ…ช่างน่าขันยิ่งนัก! หลินอี้เป็นหนึ่งในเจ็ดแม่ทัพเทพแห่งจักรวรรดิซึ่งเชี่ยวชาญด้านกลยุทธ์มาก อีกคนที่ห้ามประมาทก็คือหลงเซียนหลิน หากประเมินคู่ต่อสู้ต่ำเกินไป ข้าเกรงว่าประวัติศาสตร์อันยาวนานของจักรวรรดิอาจต้องสิ้นสุดลงวันนี้”
หลัวซิ่งเลิกคิ้ว “ผู้บัญชาการเฟิงนำกองทัพแห่งจักรวรรดิในเมืองหลวงมานานหลายปี และไม่ได้เข้าร่วมสงครามใด ไม่แปลกใจที่ท่านเป็นดั่งเสือซ่อนเล็บ”
“อย่างนั้นหรือ?” เฟิงจี้สิงยิ้มเยาะ
ฉินอินขมวดคิ้วและมองไปยังฝูงชน “อาวุโสฉู่ องค์จักรพรรดิให้ท่านช่วยเหลือเสี่ยวอินก่อนที่พระองค์จะไป ตอนนี้…ท่านคิดว่าข้าควรทำสิ่งใด?”
ชวีฉู่ขมวดคิ้วและกล่าวว่า “หากลั่วหลานมาร่วมสงครามจริง จักรวรรดิอาจไม่รอดพ้นจากหายนะครานี้ ทว่าเราไม่สามารถนั่งเฉยอยู่ได้ องค์หญิงต้องลงนามส่วนพระองค์ส่งไปยังเมืองชีไห่และเมืองหยาดสายัณห์เพื่อขอกำลังเสริม กองทัพของพวกเขาอาจสามารถพลิกสถานการณ์ได้ เพื่อป้องกันมิให้เกิดเหตุไม่คาดฝันระหว่างทาง เราควรส่งทหารม้าเร็วไปยังเมืองทั้งสอง แล้วจะสามารถรักษาเมืองหลันเยี่ยนไว้ได้หรือไม่นั้น…ขึ้นอยู่กับว่าเมืองชีไห่และเมืองหยาดสายัณห์จะส่งทหารและม้ามาให้ได้มากเพียงใด…”
“นำปากกาเหล็กและกระดาษมาให้ข้า”
ฉินอินจ้องมองไปยังเหล่าข้าราชบริพารและกล่าวว่า “ใครยินดีจะเดินทางไปยังเมืองหยาดสายัณห์เพื่อขอกำลังทหารจากท่านตาของข้า?”
ท่ามกลางฝูงชน บุตรชายอวี่เหวินเซี่ยประสานหมัดและกล่าวว่า “กระหม่อมยินดีไปพ่ะย่ะค่ะ”
ฉินอินพยักหน้า “เช่นนั้นแม่ทัพเหลาอวี่เหวินจะเป็นผู้ไป หากท่านสามารถนำกำลังเสริมมาได้ ข้าจะให้อภัยต่อพ่อของท่านในการพ่ายแพ้สงคราม และจะเลื่อนยศเป็นแม่ทัพพิทักษ์เมืองดังเดิม”
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” อวี่เหวินมีความสุขมาก
ฉินอินมองเสี่ยวซีที่อยู่ด้านข้างหลินมู่อวี่ “เสี่ยวซี สำหรับเมืองชีไห่…คงมีเพียงเจ้าเท่านั้นที่เหมาะสม ดังนั้น…โปรดเดินทางไปเพื่อข้าด้วยเถิด”
ดวงตาถังเสี่ยวซีแดงก่ำ “ให้ผู้อื่นไปเถิด…ข้าต้องการอยู่ที่เมืองหลวงกับเจ้าและมู่มู่”
“ไม่ได้”
น้ำเสียงฉินอินเต็มไปความุ่งมั่น “เกิดความบาดหมางเล็กน้อยระหว่างหลานกงและเสด็จพ่อ เจ้าจึงต้องไปด้วยตนเอง มิเช่นนั้นข้าเกรงว่าหลานกงจะไม่ส่งกองกำลังเสริมมายังเมืองหลันเยี่ยน เสี่ยวซี ข้าขอร้อง…ต้องเป็นเจ้าผู้เดียวเท่านั้น”
ถังเสี่ยวซียืนนิ่ง ไหล่ของนางสั่นเล็กน้อย “เสี่ยวอิน หากเมืองหลันเยี่ยนถูกล้อมจริง แม้ว่าจะไม่สามารถนำกองกำลังเสริมมา ข้าก็จะกลับมาให้ได้”
“อื้ม” ฉินอินพยักหน้ารับ
…
ไม่นานจดหมายสองฉบับก็เขียนเสร็จและถูกส่งไปยังเมืองหยาดสายัณห์และเมืองชีไห่ ถังเสี่ยวซีเตรียมม้าเสวี่ยหลีเพื่อออกเดินทาง หลินมู่อวี่ออกมาส่งด้านนอกโถง หัวใจของเขาสับสนวุ่นวาย ครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องตลก เมืองหลันเยี่ยนอาจถึงคราล่มสลาย เมื่อราชาเจิ้นหนานให้ขอบเขตเทวะเข้าร่วมสงคราม…นี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้เจอถังเสี่ยวซี
“มู่มู่…”
ถังเสี่ยวซีหันกลับมาด้วยดวงตาแดงก่ำ “เจ้า…กอดข้าอีกครั้งได้หรือไม่…”
หลินมู่อวี่ตะลึง ก่อนจะก้าวไปด้านหน้าและโอบกอดถังเสี่ยวซีไว้ในอ้อมแขนอย่างไม่ลังเล
ถังเสี่ยวซีตัวสั่นเทิ้มพร้อมน้ำตาที่ไหลรินอาบสองแก้ม นางร้องไห้เสียงดัง “ข้ากลัว…ข้ากลัวเหลือเกิน ข้ากลัวว่าจะไม่ได้พบเจ้าอีกแล้วเมื่อข้ากลับมา ข้ากลัว…”
หลินมู่อวี่ลูบผมยาวของนางแผ่วเบา “ไม่ต้องกลัวเสี่ยวซี ข้าสัญญาว่าจะรอเจ้ากลับมายังเมืองหลันเยี่ยน เสี่ยวอินและข้าจะรอความช่วยเหลือจากเจ้า เจ้าต้องรีบกลับมา…”
ถังเสี่ยวซีพยักหน้า “อื้ม ข้าจะรีบกลับมา”
พูดจบนางก็ผละออกจากอ้อมแขนของหลินมู่อวี่ และไม่หันกลับ ก่อนจะควบม้าหายไปบนถนนภายในพริบตา หลินมู่อวี่ยืนมองถังเสี่ยวซีจากไป ภายในใจของเขาช่างสับสน ครานี้เขาจะต้องสูญเสียมากมายเพียงใด…
…
เมื่อกลับไปยังโถงหลัก ก็พบเหล่าข้าราชบริพารกำลังโต้เถียงกันว่าจะส่งทหารออกไปหรืออยู่ภายในเมืองหลันเยี่ยน
ชางชู่และคนจากกระทรวงกลาโหมโต้เถียงกันจนหน้าแดง ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมแพ้ ขณะนี้หลัวซิ่ง ชางชู่ และหลิวฟางถูกผู้คนรุมล้อมเนื่องจากหาข้อตกลงกันไม่ได้ ราวกับทุกคนกำลังรอข้อสรุปในเรื่องที่ร้อยปีจะมีสักครั้งเช่นนี้
แม่ทัพอย่างเฟิงจี้สิง ฉินเหลย ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน และจางเหว่ยยืนอยู่ด้านข้างด้วยใบหน้าเคร่งขรึมและไม่ได้พูดสิ่งใด
ขณะที่เหล่าเสนาบดีทหารผ่านศึกอย่างชวีฉู่ เหล่ยหง ฉินห่าวผู้เป็นคณบดีวิทยาลัยเทพสงคราม และคนอื่นๆ ยืนนิ่งเงียบรอฟังฉินอิน ในเวลานี้ทุกคนต่างรู้สึกกระวนกระวายใจและสับสน
“โปรดเงียบ”
ฉินอินตบลงบนที่เท้าแขนของบัลลังก์แผ่วเบาและกล่าวว่า “ยังไม่ได้ข้อสรุปสุดท้ายว่าจะเคลื่อนทัพออกไปหรือเฝ้าระวังอยู่ในเมืองหลันเยี่ยน?”
หลิวฟางพร้อมชางชู่จากกระทรวงกลาโหมรีบประสานหมัดทันที “องค์หญิงอิน กระหม่อมคิดว่าเราควรอยู่ในเมืองหลันเยี่ยน กองทัพกำลังเคลื่อนพลมาอย่างบ้าคลั่ง และเป็นที่รู้จักกันดีในนามกองทหารอาสา เมื่อเวลาผ่านไปพวกมันจะยึดที่ดินของเหล่าข้าราชบริพารในท้องถิ่นและแบ่งปันดินแดนให้กับไพร่พลโดยใช้ระบบความเท่าเทียมกัน ดังนั้นคนเหล่านี้จะได้รับการสนับสนุนจากประชาชน แม้แต่ผู้ส่งสารก็รายงานมาว่าผู้คนในมณฑลชางหนานต่างเริ่มเฉลิมฉลองความดีความชอบของเหล่าทหารอาสาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“นั่นมันไร้สาระ” หลัวซิ่งเย้ยหยัน “ทหารอาสาก็เป็นเพียงกลุ่มคนไร้ฝีมือ เจ้าเกรงกลัวสิ่งใดหรือ? เรายังมีทหารมากฝีมือห้าหมื่นนายในเมืองหลันเยี่ยน และสี่หมื่นนายจากเมืองชีไห่ รวมเหล่ากองทหารมากมายในมณฑลหลิงเป่ย เราก็จะมีกองกำลังทหารกว่าแสนนายแล้ว ข้าเชื่อว่าเรามีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับสงครามครั้งก่อน อีกทั้งเรามีเฟิงจี้สิง ฉินเหลย หลินมู่อวี่ และแม่ทัพผู้เก่งกล้าทั้งหลาย รวมถึงแม่ทัพอันดับหนึ่งแห่งจักรวรรดิตู้ไห่ก็ถูกเรียกมา ทั้งหมดนี้เราแทบไม่ต้องเกรงกลัวสิ่งใดเลย”
“เจ้ามันไร้สาระ!”
ทั้งสองฝ่ายกำลังเริ่มทะเลาะกันอีกครั้ง ฉินอินรีบกระแอม ก่อนสายตาจะตกลงไปยังเฟิงจี้สิงและหลินมู่อวี่ “อาอวี่ ท่านผู้บัญชาการเฟิง มีความคิดเห็นอย่างไร?”
เฟิงจี้สิงประสานหมัดและกล่าวว่า “เมืองหลันเยี่ยน มีมณฑลหนึ่งทางใต้ และอีกมณฑลในชางหนานทางตะวันออก เราต้องทราบก่อนว่าขณะนี้สถานการณ์ในสองมณฑลเป็นอย่างไร สิ่งที่กระหม่อมต้องการทราบก็คือ หน่วยสอดแนมของเรายังไม่ได้รับข่าวสารว่ากองทหารหลิงหนานได้ข้ามเทือกเขาฉินมาแล้ว เช่นนั้นกองกำลังหลายแสนคนของพวกมันเข้ามายังเขตแดนของหลิงเป่ยได้อย่างไร?”
ท่ามกลางฝูงชนแม่ทัพหลิงหนานเทียนจากจวนเจิ้นกั๋วประสานหมัดกล่าว “องค์หญิงอิน กระหม่อมทราบเหตุผลนั้น หน่วยสอดแนมที่ข้าส่งไปที่หลิงหนานเพิ่งรายงานเข้ามา ราชาเจิ้นหนานได้ใช้กลยุทธ์ของแม่ทัพหลินอี้ ให้ทหารหลิงหนานทุกนายใส่ชุดพลางสีเขียวและใช้ประโยชน์จากเทือกเขาฉิน ขณะที่มีฝนตกหนักเจ็ดวันติดต่อกันในช่วงฤดูฝน พวกเขาก็ได้ข้ามเทือกเขาด้วยแผนการ ‘เขียวขจีเหนือเทือกเขา’ นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เราไม่รู้ตัว และปล่อยให้พวกมันยึดครองเมืองห้าหุบเขาได้พ่ะย่ะค่ะ”
เฟิงจี้สิงขมวดคิ้ว “เขียวขจีเหนือเทือกเขา…บัดซบ!”
ฉินอินกล่าว “ยังมีกองทหารสองหมื่นนายในมณฑลดารา บางทีเราอาจส่งกองกำลังนี้ไปได้…”
หลินมู่อวี่ประสานหมัด “องค์หญิงอิน มณฑลดาราปกป้องทางใต้ของเมืองหลวง ซึ่งอาจจะถูกศัตรูตีพ่ายแล้ว”
ขณะเดียวกันผู้ส่งสารก็วิ่งเข้ามาพูดเสียงดัง “องค์หญิงอิน รายงานด่วนพ่ะย่ะค่ะ”
“พูดมา” ดวงตาคู่งามเต็มไปด้วยความกังวล
ผู้ส่งสารหายใจลึกและกล่าวว่า “สารด่วนจากหน่วยสอดแนม แม่ทัพหลินอี้นำทหารหลิงหนานหนึ่งแสนนายเข้ายึดเมืองเหลิ่งซิง จนทำให้มณฑลดาราล่มสลายแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่น่าแปลกใจ…” เฟิงจี้สิงหนาวสะท้านในใจและกล่าวว่า “หลิงหนานกำลังยกทัพเข้ามา กระหม่อมคิดว่าคงถึงเวลาที่จะอยู่เฝ้าระวังที่นี่ หลังจากผ่านไปหลายพันปี เมืองหลันเยี่ยนได้รับการซ่อมแซมหลายครั้ง กำแพงเมืองจึงมีความแข็งแร่งมาก อีกทั้งในเมืองยังมีอาหารและหญ้าเพียงพอ แม้จะมีจำนวนประชาการที่มาก ทว่าก็ไม่มีผู้ที่ขาดแคลน เราคงสามารถยึดที่มั่นได้สองถึงสามเดือนอย่างไม่มีปัญหา และรอจนกว่าจะมีกำลังเสริมเพียงพอจากเมืองหยาดสายัณห์และเมืองชีไห่”
“อืม”
ฉินอินพยักหน้า “เช่นนั้นจงตั้งรับอยู่ในเมืองหลันเยี่ยน”