The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา - EP.332 มีชีวิตต่อไปเฟิงจี้สิง
EP.332 มีชีวิตต่อไปเฟิงจี้สิง
วันรุ่งขึ้น ข่าวการเสียชีวิตของหลินมู่อวี่แพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลันเยี่ยน ทหารของจักรวรรดิอี้เหอต่างเฉลิมฉลอง เนื่องจากหลินมู่อวี่เป็นดั่งยมทูตแห่งความตาย เขาสังหารทหารแห่งจักรวรรดิอี้เหอหนึ่งหมื่นห้าพันนาย และทหารฝีมือดีไปกว่าเจ็ดหมื่นนาย จึงไม่แปลกที่จะถูกเรียกเช่นนั้น เมื่อหลินมู่อวี่ตายและทหารรับจ้างมังกรผงาดหายไป ฝันร้ายของจักรวรรดิอี้เหอจึงหายไปด้วยเช่นกัน
ปฏิทินจักรวรรดิ ปีเจ็ดพันเจ็ดร้อยสามสิบเอ็ด วันที่สิบห้าเมษายน หลินมู่อวี่หนึ่งในสี่วีรบุรุษแห่งเมืองหลันเยี่ยนเสียชีวิตในสนามรบ…
ประชาชนเมืองหลันเยี่ยนไม่กล้าต่อต้านจักรวรรดิอี้เหออีกต่อไป ดังนั้นจักรวรรดิฉินจึงล่มสลายอย่างเป็นทางการ
ในวันเดียวกัน ทั้งสิบสองมณฑลตกอยู่ในมือจักรวรรดิอี้เหอ ยกเว้นมณฑลชีไห่และมณฑลอวิ้นจง
จักรวรรดิอี้เหอถูกสถาปนาขึ้นอย่างเป็นทางการ มีเมืองหลวงอยู่ที่เมืองไป๋หลิง ณ มณฑลหลิงหนาน
ประชาชนเลือกราชาเจิ้นหนานฉินอี้ เป็น ‘ผู้พิชิต’ และมีอำนาจทั่วทั้งแผ่นดิน
สามวันถัดมาเมืองชีไห่และเมืองหยาดสายัณห์ส่งสาส์นยอมจำนนในเวลาเดียวกัน ถังหลานและซูมู่หยุนยอมรับสถานะของฉินอี้ว่าเป็นผู้พิชิตที่เกรียงไกร ด้วยเหตุนี้ทั้งแผ่นดินจึงรวมเป็นหนึ่งและเป็นของจักรวรรดิอี้เหอทั้งหมด
…
ห่างออกไปหลายสิบไมล์จากทางตะวันตกของภูเขาเทียนชู่ มีธงปลิวไสวตามสายลม นี่เป็นสถานที่แห่งเดียวที่ยังมีธงดอกจื่นยินประจำตระกูลฉิน และเป็นที่ตั้งของกองทัพองครักษ์!
ภายในกระโจมใหญ่ของกองทัพองครักษ์ เฟิงจี้สิงนะ่งนิ่งพร้อมสีหน้าเศร้าหมอง…
กระนั้นการมีกองกำลังทหารแห่งจักรวรรดิสามหมื่นนายก็ไม่สามารถต้านทานการล่มสลายของจักรวรรดิได้
หลัวเลี่ยเปิดประตูกระโจมเดินเข้ามา “ผู้บัญชาการ พะ…พวกมันตั้งค่ายห่างออกไปสิบไมล์ หลงเซียนหลินเป็นผู้นำทัพด้วยตนเองและเป็นกองทหารที่แข็งแกร่งมาก…”
“มีจำนวนเท่าใด?” เฟิงจี้สิงเงยหน้ามอง
หลัวเลี่ยประสานหมัดและกล่าวว่า “กองกำลังทั้งสิ้นสามแสนนายขอรับ”
หัวใจเฟิงจี้สิงเย็นยะเยือกและพึมพำ “มีข่าวอื่นอีกหรือไม่?”
หลัวเลี่ยกล่าว “ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนและฉินเหล่ยเสียชีวิตในสนามรบ อีกทั้ง…เช้าวันนี้ได้รับข่าวว่าท่านหลินมู่อวี่…”
“เกิดอะไรขึ้นกับอาอวี่?” ร่างกายเฟิงจี้สิงสั่นสะท้าน
“ท่านหลินมู่อวี่ถูกลั่วหลานฆ่าเมื่อสามวันก่อน และทำลายตัวเองที่ประตูทิศใต้ของเมืองหลันเยี่ยน มีหลายคนเห็นว่าร่างของเขาถูกแช่ในผลึกน้ำแข็งสีแดง”
“อาอวี่…” เฟิงจี้สิงพึมพำพร้อมทุบกำปั้นลงบนโต๊ะ หยาดน้ำตาร่วงหล่นลงบนกองเอกสาร เขาไม่กล้าที่จะเงยหน้าขึ้น
หลัวเลี่ยกล่าวต่อ “และหลงเซียนหลินต้องการพบท่านขอรับ”
“ไม่” เฟิงจี้สิงยังคงก้มศีรษะ “ส่งกองทัพทั้งหมดออกไปตายให้สมเกียรติ ดีกว่าอยู่อย่างเสียศักดิ์ศรี จงเตรียมพร้อมต่อสู้!”
“ขอรับ!”
หลัวเลี่ยต้องการพูดบางสิ่ง แต่ก็หยุดไป หลังจากครุ่นคิดไม่นานก็พูดว่า “ท่านผู้บัญชาการ จักรวรรดิล่มสลายไปแล้ว…ไม่มีข่าวคราวขององค์หญิงอิน ท่านผู้ดูแลเหล่ยหงและผู้อาวุโสฉู่ถูกลั่วหลานฆ่า พวกเรา…ยังมีที่ให้อยู่อีกหรือ? เหตุใดจึงไม่ปล่อยให้หลงเซียนหลินมายังกระโจมและฟังสิ่งที่เขาพูด?”
“หลงเซียนหลินฆ่าฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน แล้วยังมีหน้ามาขอพบข้าอีกรึ?” เฟิงจี้สิงพูดด้วยความโกรธ “คงไม่กลัวคมดาบข้าสินะ”
“ท่านผู้บัญชาการ ข้า…”
เฟิงจี้สิงสูดหายใจลึก ขณะนี้เขาดูแก่ขึ้นมาก ก่อนจะกล่าวว่า “ให้เขามา”
“ขอรับ!”
…
ไม่นาน หลงเซียนหลินอดีตแม่ทัพกองทหารเขาเหินก็เข้ามายังกระโจม
“หยุด!”
หลัวเลี่ยกระซิบ
หลงเซียนหลินยกมือขึ้นและยิ้มบางๆ “ข้าไม่มีอาวุธ โปรดอย่ากังวลไป”
เมื่อเข้ามายังกระโจมหลักของกองทัพองครักษ์ หลงเซียนหลินยังคงดูสงบนิ่ง กระทั่งได้เห็นดวงตาแดงก่ำของเฟิงจี้สิง เขาก็เริ่มรู้สึกหนาวสะท้านในหัวใจ
“รนหาที่ตายเหรอ?” เฟิงจี้สิงกล่าวเสียงแผ่วเบาขณะที่เช็ดดาบ
หลงเซียนหลินมองไปรอบบริเวณ ก่อนจะนั่งลงด้านข้าง “ผู้บัญชาการเฟิงจี้สิง จักรวรรดิพ่ายแพ้ไปแล้ว ท่านยังไม่เต็มใจยอมรับความจริงอีกหรือ?”
“ยอมรับ?”
เฟิงจี้สิงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “เจ้าทำลายทุกสิ่งที่ข้ามี แล้วจะให้ข้ายอมรับอย่างนั้นหรือ? เจ้าฆ่าพี่น้องของเฟิงจี้สิง ฆ่าจักรพรรดิของเฟิงจี้สิง เจ้าบอกให้ข้ายอมรับสิ่งนี้ หลงเซียนหลิน! ไอ้สัตว์เดรัจฉาน! เจ้าจะให้ข้ายอมรับมันได้อย่างไร? เจ้าเคยเป็นดั่งขุนศึกของจักรวรรดิ แต่กลับหันเขี้ยวเล็บเข่นฆ่าคนบริสุทธิ์ในเมืองหลันเยี่ยน เจ้าไม่เกรงกลัวการแก้แค้นเหรอ?”
หลงเซียนหลินมีสีหน้าบึ้งตึง “หากท่านพูดเช่นนี้ แล้วเหตุใดจึงไม่คิดถึงความเจ็บปวดของหลงเซียนหลินที่พ่อแม่และพี่น้องถูกฉินจิ้นฆ่าบ้าง? ฉินจิ้นฆ่าครอบครัวของข้าทั้งหมด เหตุใดข้าจะฆ่าครอบครัวของเขาบ้างไม่ได้? การที่เมืองหลันเยี่ยนถูกกวาดล้างนั้น ไม่ใช่ฝีมือของข้า ข้าเป็นเพียงนายพลธรรมดา ไม่ใช่แม่ทัพ!”
“เจ้าเป็นคนของจักรวรรดิอี้เหอ…” เฟิงจี้กล่าวต่อ “จักรวรรดิอี้เหอเรียกพวกเราว่าหมาล่าเนื้อ ทว่า…เจ้าเองก็เป็นหมาล่าเนื้อของจักรวรรดิอี้เหอ”
หลงเซียนหลินผงะ “ผู้บัญชาการเฟิงจี้สิง ท่านมุ่งมั่นที่จะต่อสู้อย่างนั้นหรือ?”
“ใช่”
“ทว่ากองทัพจักรวรรดิสามหมื่นนายจะสามารถสู้กับกองทัพแห่งจักรวรรดิอี้เหอสามแสนนายได้หรือ?” ดวงตาหลงเซียนหลินเต็มไปด้วยความเย็นชา “ท่านควรรับรู้ไว้ว่าข้าเตรียมน้ำมันจากต้นบีชสีดำห้าพันถังซึ่งเพียงพอที่จะเผาทุกสิ่งให้วอดวาย เมื่อสงครามเริ่มขึ้น ข้าจะใช้เครื่องยิงหินยิงน้ำมันต้นบีชสีดำลงมายังค่ายกองทัพองครักษ์ ข้าสามารถกำจัดทหารแห่งจักรวรรดิทั้งสามหมื่นนายโดยไม่ต้องสูญเสียแม้แต่น้อย”
เฟิงจี้สิงสั่นสะท้านในหัวใจและพูดอย่างโกรธเกรี้ยวว่า “หลงเซียนหลิน เจ้าต้องการสิ่งใด!?”
หลงเซียนหลินยืนขึ้นพร้อมประสานหมัด “ข้ารู้ว่าแม่ทัพเฟิงจี้สิงจิตใจดี ข้าจะไม่ปล่อยให้พี่น้องทั้งสามหมื่นคนของกองทัพองครักษ์ต้องตายเปล่า หลงเซียนหลินจะใช้หัวเป็นประกัน ตราบใดที่ผู้บัญชาการเฟิงจี้สิงยอมจำนนและให้กองทัพสามหมื่นนายปลดอาวุธ ข้ารับรองว่าท่านจะปลอดภัย และทหารในกองทัพจะไม่มีผู้ใดต้องตาย ทว่าหากผู้บัญชาการไม่เกรงกลัวความตาย และไม่สนใจทั้งสามหมื่นชีวิตนั้นละก็…”
เฟิงจี้สิงนั่งนิ่งอย่างเจ็บปวดขณะที่ใบหน้าเผยความหดหู่ ไม่นานเขาก็เงยหน้าขึ้นมองหลัวเลี่ยและกล่าวว่า “เรียกนายพลทั้งหมดมา และให้ทุกคนลงคะแนนเลือก หากมากกว่าครึ่งเราจะยอมจำนน”
หลัวเลี่ยพยักหน้า “ขอรับ!”
เฟิงจี้สิงมองไปยังหลงเซียนหลินและกล่าวอย่างเย็นชา “หากนี่คือการหลอกลวง สาบานว่าข้าจะตัดหัวของเจ้าด้วยตนเอง จำไว้ซะ!”
หลงเซียนหลินประสานหมัดรับ “ขอรับ!”
…
เวลาพลบค่ำ กองทัพองครักษ์ยอมจำนน ศาสตราวุธและม้าศึกถูกส่งไปยังจักรวรรดิอี้เหอ ทุกคนตั้งค่ายใน ‘หมู่บ้านแบดเจอร์ไฟ’ ซึ่งอยู่ไม่ไกล ขณะที่เฟิงจี้สิงถูกเชิญให้ไปในกระโจมหลักของค่ายทหารแห่งจักรวรรดิอี้เหอเพื่อสนทนากับฉินอี้เป็นการส่วนตัว
ภายในกระโจมมีไฟส่องสว่างพร้อมอุดมไปด้วยสุราและเนื้อ ซึ่งแตกต่างจากกองทัพองครักษ์มาก
ฉินอี้มองเฟิงจี้สิงหนึ่งในเจ็ดแม่ทัพเทพแห่งจักรวรรดิ ก่อนจะประสานหมัด “ผู้บัญชาการเฟิงจี้สิง”
เฟิงจี้สิงพยักหน้า “ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะราชาเจิ้นหนาน กระหม่อมมีสิ่งหนึ่งที่ต้องการถาม”
“ถามมา” ฉินอี้กล่าวด้วยรอยยิ้ม
ดวงตาเฟิงจี้สิงเป็นประกาย “ฝ่าบาทสิ้นพระชนม์อย่างไร?”
“เจ้าหมายถึงฉินจิ้นหรือ?” ฉินอี้ยิ้มเล็กน้อยและพูดเสียงทุ้มต่ำ “ถูกกดหัวจนสำลักน้ำตายในแอ่งน้ำตื้นด้วยน้ำมือข้าเอง”
“…”
ใบหน้าเฟิงจี้สิงพลันบิดเบี้ยวขณะที่หมาป่าเพลิงสายฟ้าม่วงลอยวนอยู่รอบกำปั้น ทันใดนั้นก็มีเสียงเย็นยะเยือกดังขึ้นด้านหลัง “เฟิงจี้สิง หากเจ้าลงมือ ข้าจะฝังกองทัพองครักษ์ทั้งสามหมื่นคนของเจ้าด้วยตัวข้าเอง”
ผู้พูดคือลั่วหลาน เทพเจ้าองค์เดียวที่ยังหลงเหลืออยู่
เฟิงจี้สิงคลายหมัดอย่างเชื่องช้า ก่อนจะประสานหมัดกล่าว “กระหม่อมรู้สึกไม่ค่อยสบาย จึงต้องการกลับไปยังกระโจม ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ”
ฉินอี้พยักหน้าและยิ้ม “ไปเถิด ข้าไม่ส่งล่ะ”
…
เมื่อเฟิงจี้สิงขี่ม้ากลับมายังหมู่บ้านแบดเจอร์ไฟก็พบว่าทั่วทุกหย่อมหญ้าเต็มไปด้วยเปลวเพลิง ค่ายกองทัพองครักษ์ได้กลายเป็นนรกโลกันตร์ เหล่าทหารของกองทัพองครักษ์ส่งเสียงร้องโหยหวนอย่างน่าเวทนา ส่วนคนที่พยายามหนีออกมาก็โดนพลธนูของจักรวรรดิอี้เหอที่ซ่อนอยู่จัดการจนหมด
ดวงตาเฟิงจี้สิงเปลี่ยนเป็นสีแดงเลือดทันทีพร้อมชักดาบสะบั้นวาโยออกมา!
“ไอ้สารเลว!”
ใบดาบตวัดออกไปอย่างรวดเร็วตัดหัวพลธนูหลายคนกระเด็น! เฟิงจี้สิงมองไปยังกองทัพองครักษ์ที่ร้องโหยหวนในกองไฟ เขาพลันคำรามก้องราวกับสัตว์ร้ายและร้องไห้อย่างเคียดแค้นทหารอาสาเหล่านี้ เฟิงจี้สิงพุ่งไปสังหารคนแล้วคนเล่า และไม่สนใจบาดแผลที่ตนได้รับ กระนั้นมันก็ไม่ได้ช่วยอะไรมาก เขาจะสามารถฆ่าได้สักกี่คนด้วยตัวคนเดียว? ขณะที่ทหารแห่งจักรวรรดิสามหมื่นนายต้องกลายเป็นซากศพในค่ำคืนนี้…
ในป่าลาดชันไกลออกไป หลงเซียนหลินถูกมัดไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่ ภายใต้แสงคบเพลิงเผยให้เห็นใบหน้าซีดขาว เขาตะโกนทั้งน้ำตา “จื่อเย่า! เหตุใดจึงโกหกข้า? เหตุใดจึงโกหกข้า!?”
ดวงตาจื่อเย่าเย็นชา “นายพลหลง เจ้าเป็นทหารแห่งจักรวรรดิอี้เหอ จงจดจำเหตุการณ์นี้ไว้ หากกองทัพจักรวรรดิทั้งสามหมื่นนายของเฟิงจี้สิงไม่ตาย จักรวรรดิอี้เหอก็จะไม่มีทางมั่นคง!”
“บัดซบ! ไอ้สารเลว!”
หลงเซียนหลินตะโกนดังลั่น “ปล่อยข้าไป รีบไปช่วยคน…รีบไป…เร็วเข้า!”
ทว่าไม่มีทหารคนใดกล้าเคลื่อนไหว จื่อเย่ากล่าวอย่างเย็นชา “หลงเซียนหลิน ในการนำทัพและต่อสู้ ข้าไม่เก่งเท่าเจ้า ทว่าเจ้าก็เป็นเพียงเด็กหนุ่มเลือดร้อน เมื่อถึงเวลาต้องใช้อำนาจในการตัดสินใจ เจ้ายังต้องเรียนรู้อีกมาก ทหารอาสาเหล่านี้ข้าเป็นผู้นำมาจากหลิงหนาน เช่นนั้นพวกเขาจะกล้าขัดขืนคำสั่งข้าแล้วไปฟังเจ้าผู้เป็นเพียงนายพลชั่วคราวอย่างนั้นหรือ?”
หลงเซียนหลินมองไปยังกองไฟที่อยู่ห่างออกไปอย่างไร้เรี่ยวแรง ที่แห่งนั้นมีแต่ความโกลาหลและเสียงร้องโหยหวนดังลอยมากับสายลม เขาหลั่งน้ำตาและตะโกนขึ้นฟ้า “เฟิงจี้สิง! จงอยู่ต่อไปเฟิงจี้สิง! แม้จะชดใช้ทั้งชีวิตของหลงเซียนหลินก็ไม่สามารถชำระหนี้เลือดครั้งนี้ได้!”
…
เมื่อไฟมอดดับลง ก็ไม่มีเสียงร้องโหยหวนของทหารอีกต่อไป
ชุดเกราะเฟิงจี้สิงถูกเผาไหม้เป็นชิ้นๆ เขานั่งอย่างหมดอาลัยตายอยากท่ามกลางซากศพ ดาบสะบั้นวาโยในมือกระเด็นหายไป เฟิงจี้สิงได้แต่เหม่อมองออกไปไกลอย่างว่างเปล่าพร้อมพึมพำ “สัตว์ร้าย…สารเลว…ไอ้เดรัจฉาน…”
เขาค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพบดาบสะบั้นวาโย เขาพลันใช้มันขุดดินและลากศพทหารลงไปฝัง เฟิงจี้สิงทำเช่นนี้ครั้งแล้วครั้งเล่าราวกับเครื่องจักรไม่มีวันเหนื่อย กระทั่งมือของเขาพุพองและมีเลือดไหลอาบดาบ
…
ภายใต้หมอกควัน หลงเซียนหลินทนดูไม่ได้อีกต่อไป เขาจึงหันไปหาทหารด้านข้าง “ข้าจะนำอาหารไปให้เขาทุกวัน ข้าเกรงว่า…หากไม่ฝังกระดูกทหารทั้งสามหมื่นนายของกองทัพองครักษ์ เฟิงจี้สิงคงไม่มีวันอ้าปากคุยกับใครเป็นแน่…”
“ขอรับท่านนายพล!”
ขณะเดียวกันผู้ส่งสารก็วิ่งเข้ามาพร้อมใบหน้าตื่นตระหนก “ท่านนายพล! เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว!”
“เกิดเหตุอันใด?”
“กองทัพจำนวนหนึ่งแสนห้าหมื่นนายของเมืองชีไห่และเผ่าพันธุ์อสูรปรากฏตัวนอกเมืองหลันเยี่ยนทางทิศใต้ ซึ่งนำทัพโดยถังเสี่ยวซีและถังเจิ้นจากเมืองชีไห่ จักรวรรดิอี้เหอสั่งให้ข้ามาเรียกท่านกลับไปเพื่อนำทัพทหารอาสาต่อต้านศัตรู!”
“ต่อต้านศัตรู?”
หลงเซียนหลินกล่าวอย่างเย็นชา “จักรวรรดิอี้เหอคงต้องการใช้งานข้าอีกครั้ง..”