The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา - EP.365 เมืองตงฉวง
EP.365 เมืองตงฉวง
ใต้ธงรบ หมินยวี่หลินสวมชุดเกราะสีทองและถือดาบในมือ เงยหน้ามองหิมะที่โปรยปรายจากฟ้าด้วยแววตาดุดัน ไม่ไกลนักหลินมู่อวี่เดินเข้ามาพลางประสานหมัดพร้อมกล่าว “ท่านหมินยวี่หลิน ถนนเบื้องหน้าถูกตัดขาดขอรับ การเดินทางครั้งนี้คงยากลำบากเป็นแน่ ข้าเกรงว่าจะกระทบกับแผนที่เราวางไว้จึงมารายงานก่อน”
“ทราบแล้ว ขอบคุณแม่ทัพหลินที่ช่วยตรวจสอบ”
หมินยวี่หลินคลี่ยิ้ม “ไม่เป็นไร คงต้องใช้เวลาสามวันกว่าจะถึงเมืองตวงฉวงในมณฑลหลิงตง ข้าจะล่วงหน้าไปก่อนหนึ่งวัน เพราะตั้งใจจะให้กองทัพเร่งเข้าล้อมเมืองตงฉวงให้ไวที่สุด ส่วนแม่ทัพหลินค่อยตามไป”
“รับทราบขอรับ”
“ดีมาก”
…
กลางดึก ในที่สุดรถขนเสบียงสามพันคันก็ข้ามผ่านอุปสรรคแล้วเข้าสู่ทุ่งกว้างได้ ด้วยหิมะที่ตกอย่างหนัก หลังจากมันละลายแล้วจึงทำให้พื้นกลายเป็นโคลนหนา ส่งผลให้รถเสบียงติดหล่ม
“ตึก ตึก…”
เสียงฝีเท้าม้ายังคงดังอย่างต่อเนื่อง หลินมู่อวี่หันม้าไปทางรถขนเสบียงที่ติดหล่มก่อนจะพบว่าทั้งแกนล้อจมโคลนอยู่ แม้จะใช้ทหารถึงสิบคนก็ยกขึ้นไม่ได้
“ท่านแม่ทัพ…เรา…” ทหารคนหนึ่งมองหลินมู่อวี่ด้วยความสั่นกลัว
หลินมู่อวี่ไม่ตอบสิ่งใดนอกจากตวัดด้ามทวนหลีฮวาใส่โคลนที่ติดล้ออยู่ ก่อนจะเอื้อมมือไปจับส่วนท้ายของเกวียนไว้พลันกล่าว “ออกแรงพร้อมกัน”
“ขอรับ!”
หิมะยังคงตกหนักอย่างต่อเนื่อง ทว่าร่างหลินมู่อวี่ที่ห่อหุ้มด้วยปราณยุทธ์ทำให้เกล็ดหิมะไม่สามารถเกาะไปตัวเขาได้ พลังของผู้ที่อยู่ขอบเขตนภาช่างแสนวิเศษเมื่อเทียบกับคนธรรมดา ทันทีที่ได้ยินเสียงจากบ่อโคลน หลินมู่อวี่รีบฟันต้นไม้ด้านข้างให้ลงมาปิดหลุมพอดี
เฉินฮั่นครูฝึกดาวเงินที่อยู่ด้านข้างบ่นพึมพำ “ท่านผู้นำ ท่านเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในจักรวรรดิ มิสมควรลดตัวมาเช่นนี้นะขอรับ…”
หลินมู่อวี่ชะงักไปชั่วครู่ก่อนตบบ่าเฉินฮั่นพร้อมยิ้มกล่าว “มีสิ่งที่ข้าควรและไม่ควรด้วยหรือ? ไปเถิด คราวนี้ขบวนคงเคลื่อนได้ง่ายขึ้น รีบตามทัพหลักไปให้ไวที่สุด”
“ขอรับ!”
…
การเดินทางของหลินมู่อวี่ครั้งนี้มีแต่อุปสรรค ระหว่างทางไปมณฑลหลิงตงนั้นรกร้างว่างเปล่า ตลอดระยะร้อยไมล์ที่ผ่านมาไม่พบผู้คนเลยไม่ว่าจะเป็นบนถนนหรือบนสะพาน ทั้งนี้ต้องใช้เวลาถึงห้าวันกว่ากองเสบียงจะเข้าสู่อาณาเขตเมืองตงฉวง
เมื่อหิมะหยุดตก ท้องฟ้ากลับมาปลอดโปร่งอีกครั้ง
หัวหน้าหน่วยสอดแนมจากกองทัพหลักวิ่งมาด้วยท่าทีถมึงทึง “แม่ทัพหลิน หน่วยเสบียงของท่านมาชักช้านัก หากมาไม่ทันการพวกเราคงต้องแทะเปลือกไม้!”
“ขออภัย ระหว่างทางมาที่นี่ยากลำบากนัก”
“ตามข้ามา ท่านหมินยวี่หลินรอพบอยู่”
“อืม”
ไม่ถึงสิบไมล์เบื้องหน้าเป็นค่ายทหาร ตลอดทางหลินมู่อวี่เห็นทหารบาดเจ็บจำนวนมากราวกับเพิ่งผ่านพ้นสงครามไปได้ไม่นาน ไกลออกไปธงของจักรวรรดิอี้เหอยังคงโบกสะบัดอยู่ในเมืองตงฉวง
หมินยวี่หลิน หมินจ้าน ซูเหวินเทียน หวังซีและคนอื่นๆ ในกระโจมที่พักทำหน้าเคร่งขรึมไม่พูดจา
หลินมู่อวี่เข้าไปด้านใน ชูป้ายขึ้นพร้อมรายงาน “รถขนเสบียงทั้งสามพันคันมาถึงแล้วขอรับ”
หวังซีตอบด้วยแววตาเรียบเฉย “ผู้นำคงรู้แล้วว่าเลยเวลาที่นัดหมายไปถึงสองวัน! ตามกฎทหารต้องถูกตัดหัว!”
หลินมู่อวี่มองชายเบื้องหน้าด้วยสายตาหยิ่งผยองทว่าไม่โต้ตอบ
ทันใดนั้นแม่ทัพตู้ไห่ประสานหมัดพร้อมกล่าว “ท่านขุนนาง มณฑลหลิงตงนั้นต่างจากมณฑลอื่น ด้วยไม่มีถนนพามาให้ถึงที่หมาย จึงเป็นเรื่องเข้าใจได้หากต้องใช้เวลา โปรดอภัยให้ท่านหลินมู่อวี่เถิด”
“ข้าเข้าใจแล้ว เอาเถิด…” หมินยวี่หลินโบกมือพร้อมกล่าว “แม่ทัพหลินเชิญนั่งก่อน”
“ขอรับ”
ในกระโจมที่มีทหารมารวมตัวกันกว่ายี่สิบนาย ที่นั่งของหลินมู่อวี่ถูกจัดไว้ท้ายสุด
หมินยวี่หลินกล่าว “แม่เมืองตงฉวงจะเป็นเมืองเล็ก ทว่าก็แข็งแกร่งมาก หากพวกกบฏอี้เหอยังคงคุ้มกันเมืองอย่างหนาแน่นเช่นนี้ เราคงทำอะไรไม่ได้นอกจากเสียกำลังพลเปล่า พวกเจ้าคิดเห็นว่าอย่างไร?”
ซูเหวินเทียนประสานหมัดพร้อมกล่าว “ท่านขุนนาง หน่วยสอดแนมของเราได้รับรายงานที่แม่นยำมา ทหารอี้เหอที่คุ้มกันเมืองมีเพียงหนึ่งพันนายเท่านั้น พวกมันถูกทหารของเราเข้าล้อมและกำลังอยู่ในสภาพสิ้นหวัง ข้าคิดว่าเป็นการดีที่จะส่งราชทูตเข้าไปเพื่อเกลี้ยกล่อมให้พวกมันยอมแพ้เสีย ผู้บัญชาการพวกกบฏในเมืองคืออวี้ฉือหลิน ให้ราชทูตลองเสนอไปว่าหากยอมจำนน จักรวรรดิจะยอมรับและคืนตำแหน่งให้อีกครั้ง คิดว่าอย่างไร?”
หมินยวี่หลินหันมองซูเหวินเทียนพลางกล่าวเสียงเย็นชา “จักรวรรดิฉินของเราคงไม่ยอมหักหลังแน่ ให้พวกมันยอมแพ้และกลับจักรวรรดิอี้เหอไปเสีย พวกมันคงรู้อยู่แล้วว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น”
“ก็จริงขอรับ” ซูเหวินเทียนยิ้มพลันกล่าวต่อ “ข้าน้อยเพียงต้องการหลอกล่อให้พวกมันยอมแพ้ ส่วนเรื่องข้อตกลงนั้นให้ขึ้นอยู่กับองค์จักรพรรดินีเป็นผู้ตัดสินพระทัย ในเมืองคงเหลือเสบียงน้อยเต็มทีแล้ว พวกมันคงยื้ออยู่ได้อีกไม่นาน”
“ดีมาก!” หมินยวี่หลินพยักหน้าพลางกล่าว “ตามที่เจ้าว่า ส่งคนไปเจรจา!”
“ขอรับ!”
หลินมู่อวี่รู้สึกหวั่นใจ ถึงอย่างไรเสียทหารกว่าหมื่นนายในเมืองคงต้องถูกกำจัดแน่นอน
…
ตกดึกประตูเมืองตงฉวงถูกเปิด แม่ทัพอวี้ฉือหลินนำทัพทหารคุ้มกันออกมาจากเมือง ในมือถือตราผู้ว่าเมืองตงฉวงอยู่ เดิมทีเขาเป็นทหารของจักรวรรดิฉิน ทว่าแปรพักตร์ไปอยู่กับอี้เหอ กระทั่งได้กลับมาอีกครา สายตาของทุกคนมองเขาไม่ต่างจากกบฏคนหนึ่ง
หมินยวี่หลินลงจากม้าก่อนเดินเข้าไปรับตราผู้ว่ามาจากอวี้ฉือหลิน พลันกล่าวอย่างเย็นชา “แม่ทัพอวี้ฉือ ตระกูลของเจ้าได้พิทักษ์มณฑลเทียนชู่จากรุ่นสู่รุ่น เหตุใดเจ้าจึงยอมจำนนต่อพวกกบฏจักรวรรดิอี้เหอเช่นนี้?”
“ข้า…” อวี้ฉือหลินอึกอักหน้าซีด
หมินยวี่หลินสะบัดแขนออกคำสั่ง “ทหาร! ปลดอาวุธของพวกอี้เหอออกให้หมด!”
“ขอรับ!” กองทัพม้าวิ่งเข้าไปในเมืองตามคำสั่งทันที
หลินมู่อวี่เข้าไปในเมืองตงฉวงในฐานะผู้ติดตามพร้อมด้วยทัพเสบียง แม้เมืองตงฉวงจะเป็นเมืองเล็กทว่ามีสิ่งปลูกสร้างอยู่มากมาย ในขณะที่เมืองถูกยึดจากสงครามครั้งแล้วครั้งเล่า ถึงกระนั้นประชาชนกลับดูไม่ตกใจกับเหตุการณ์ที่เกินขึ้นราวกับคนไร้สติ
บริเวณจัตุรัสกลางเมือง คบเพลิงถูกจุดลุกโชติช่วง ทหารจักรวรรดิอี้เหอพากันทิ้งอาวุธก่อนจะยัดฝ่ามือเข้าไปในชุดเกราะขาดรุ่งริ่งเพื่อคลายหนาว ดูจากการแต่งกายหลายคนไม่มีเครื่องแบบ ในขณะที่บางคนสวมเกราะทหารอี้เหอ ทว่าด้านในยังเป็นชุดสีกรมท่าของจักรวรรดิฉินอยู่ พอเดาได้ว่าไม่มีเวลาเปลี่ยนชุดเมื่อกลับมาถึงเมืองนี้ น่าขันเสียจริง
“ดูเหมือนกองทัพอี้เหอจะไม่มีใครรักนะ” หลินมู่อวี่กล่าวพึมพำ
อดีตแม่ทัพฉือยิงหัวเราะพร้อมกล่าว “จักรพรรดิฉินอี้ต้องดูแลกี่คนหรือ? ขณะที่เอาแต่ป่าวประกาศถึงความเท่าเทียมและปฏิบัติต่อผู้คนด้วยความเมตตา ถึงกระนั้นก็เห็นได้ชัดว่าทหารแปรพักตร์พวกนี้หาได้รับการปฏิบัติเช่นนั้นไม่”
เมื่อได้ยินคำกล่าวของฉือยิง อวี้ฉือหลินทนไม่ได้จึงตอบกลับ “ที่แม่ทัพเฒ่าผู้นี้กล่าวไม่ใช่เรื่องผิด…ทว่าท่านเซินเว่ยโหว ตอนนี้พวกข้ายอมจำนนต่อจักรวรรดิฉินแล้ว ข้าอยากจะบอกว่าเราไม่ควรอยู่ที่นี้นานขอรับ”
“เพราะเหตุใด?” หมินยวี่หลินเอ่ยถาม
อวี้ฉือหลินประสานหมัดพร้อมกล่าว “หม่านฟางเจ็ดแม่ทัพอันดับแห่งอี้เหอตั้งกองทัพอยู่ในมณฑลทงเทียน เขามีทหารเจ็ดหมื่นนายและกำลังมุ่งหน้ามายังเมืองตงฉวงแห่งนี้ กองทัพเจ็ดหมื่นนั้นล้วนแต่เป็นทหารฝีมือดี เมืองตงฉวงนั้นรกร้างทั้งยังขาดแคลนอาหาร ต่อให้มีกำลังคนเพียงไหนก็คงมิอาจเป็นศัตรูของหม่านฟางได้ขอรับ”
“หม่านฟางหรือ?”
หมินยวี่หลินกล่าวด้วยสายตาเหยียดหยาม “คนไร้หัวคิดอย่างมันยังกล้านำทัพ หึ! ข้าจะไม่ไปไหนทั้งนั้น จะรอหม่านฟางอยู่เมืองตงฉวงแห่งนี้!”
“เซินเว่ยโหว…” อวี้ฉือหลินไม่กล่าวคำใดต่อ
หมินยวี่หลินกวาดตามองเชลยทั้งหมื่นคนจากจักรวรรดิอี้เหอที่อยู่จัตุรัสกลางเมือง ก่อนจะแผ่รังสีอำมหิตออกมาพร้อมกล่าว “แม่ทัพฉือ สั่งให้ทหารห้าพันคนเตรียมธนูคนละห้าสิบดอก”
ฉือยิงพยักหน้ารับ “ขอรับ!”
หมินจ้านชะงักก่อนกล่าว “ท่านพ่อ ไม่ใช่ว่าเพียงยึดเมืองหรือ? ท่านจะทำสิ่งใด…”
หมินยวี่หลินไม่ตอบทว่าออกคำสั่งต่อ “ผู้บัญชาการเถี่ยเฟิงฟังคำสั่ง! จงให้ทหารเข้าล้อมเชลยศึกและกันพวกมันด้วยโล่”
“ขอรับ ท่านเซินเว่ยโหว” เช่อเถี่ยเฟิงพยักหน้า
หมินยวี่หลินหันหลังก่อนกล่าวทิ้งท้าย “นับเวลาเพียงก้านธูปดับ ให้ยิงเชลยจากอี้เหอทันทีและตัดหัวพวกมันเสียบประจานบนกำแพงเมืองตงฉวงเพื่อข่มขวัญกองทัพหม่านฟาง”
อวี้ฉือหลินตัวสั่นเทิ้มรีบคุกเข่าลงกับพื้นพลางตะโกนลั่น “ท่านเซินเว่ยโหว…พวกเขาก็เป็นคนของจักรวรรดิฉินเหมือนกันนะขอรับ พวกเขาเพียงแค่ทำตามคำสั่ง ทั้งยังมีลูกเมียรออยู่ ท่านจะสังหารพวกเขาเช่นนี้ไม่ได้…”
“ในฐานะคนของจักรวรรดิยิ่งแล้ว เจ้าควรรู้ว่าความจงรักภักดีเป็นอย่างไร แม่ทัพอวี้ฉือหลินอย่าได้เอ่ยคำใดอีก มิเช่นนั้นเจ้าจะโดนด้วยเช่นกัน” หมินยวี่หลินพูดคำขาด
อวี้ฉือหลินทำได้เพียงนั่งตัวสั่นด้วยความอัปยศและขุ่นเคือง
…
ฉินเหยียนกำหมัดแน่นนัยน์ตาลุกโชนด้วยความโกรธพลันหันไปหาหลินมู่อวี่พร้อมกล่าว “ท่านพี่…เราจะมองหมินยวี่หลินสังหารเชลยทั้งหมื่นคนอยู่อย่างนี้หรือ? ไปเกลี้ยกล่อมเขาเถิด หากปล่อยให้ทุกคนถูกฆ่า ยังจะมีทหารจากจักรวรรดิอี้เหอใดกลับใจมาอีกเล่า?”
หลินมู่อวี่กำด้ามกระบี่ที่เอวแน่นก่อนจะกล่าว “อาเหยียน เจ้าเคยนึกถึงทหารของเราที่มีลูกเมียแล้วถูกพวกอี้เหอฆ่าล้างบางบ้างหรือไม่? ตอนที่พวกมันบุกเมืองหลันเยี่ยน พวกมันเคยคิดถึงความเมตตาเช่นเจ้าหรือเปล่า?”
“ท่านพี่…” ฉินเหยียนไร้คำกล่าว
หลินมู่อวี่ตบบ่าฉินเหยียนเบาๆ “ทหารทั้งหมื่นนายนี้ต้องใช้เสบียงทุกวัน เจ้าได้คำนวณหรือไม่ว่าพวกมันใช้ไปเท่าไร?”
“ข้า…” ฉินเหยียนพูดไม่ออก
ไม่นานนักเสียงโหยหวนร่ำร้องดังกระหึ่มไปทั่ว ทหารอี้เหอหนึ่งหมื่นนายถูกธนูกระหน่ำยิงจนตายอย่างสิ้นหวัง ใครที่พยายามฝ่าแนวโล่ของทหารราบเกราะหนักจะถูกหอกแทงตาย จัตุรัสเมืองตงฉวงถูกย้อมไปด้วยเลือดของเหล่าเชลยศึก
…………………………………