The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา - EP.395 จังหวะของอารมณ์
EP.395 จังหวะของอารมณ์
กลางคืนเงียบสงัด เกิดฝนดาวตกในป่าฉีหลิน
แสงเทียนในกระโจมหลักของกองทัพจักรวรรดิส่องกระทบใบหน้างดงามที่สงบนิ่งของฉินอิน นางมองเหล่าข้าราชบริพารขณะถือม้วนหนังสือสีทองที่เตรียมไว้เขียนราชโองการอันใหม่พร้อมกล่าวออก “ขณะนี้ผู้บัญชาการเฟิงจี้สิง หลินมู่อวี่และเซี่ยงอวี้บาดเจ็บสาหัส อีกทั้งเรายังไม่รู้ว่าเผ่าปีศาจจะบุกโจมตีอย่างไรอีก มาหารือกันเถิดว่าควรทำต่อไปอย่างไรดี”
ซูมู่หยุนผู้เพิ่งมาถึงเมืองหลันเยี่ยนประสานหมัดพร้อมกล่าวด้วยใบหน้าเขรอะฝุ่นจากการเดินทาง “ฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่าเราควรทำตามวิธีของจักรวรรดิอี้เหอเพื่อต้านเหล่าปีศาจพ่ะย่ะค่ะ”
“วิธีอะไร?” ฉินอินถามกลับอย่างประหลาดใจ
“ขณะที่หลงเซียนหลินนำกองทหารสองแสนนายไปปกป้องเทือกเขาฉิน ฉินอี้ได้ออกคำสั่งให้เกณฑ์พลเรือนเพื่อสร้างกำแพงตามแนวเขตเมืองไป๋หลิง เรียกว่า ‘กำแพงเหล็ก’ ซึ่งทอดยาวหลายพันไมล์ อีกทั้งเราต่างรู้ดีว่าพวกปีศาจนั้นไม่ชำนาญในการโจมตีเมือง”
“กะ…กำแพงเหล็ก…”
ฉินอินพึมพำกับตนเองก่อนหันไปเอ่ยถามซูมู่หมุ่น “ท่านตา หมายถึงให้เราสร้างกำแพงเหล็กตามแนวแม่น้ำต้าวเจียงและรวมป้องปราการทั้งเจ็ดเพื่อต้านทัพเหล่าปีศาจงั้นหรือ?”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
ซูมู่หยุนพยักหน้าพลางกล่าวชม “องค์จักรพรรดินีช่างหลักแหลมนัก!”
ถังหลานกล่าวเสียงเครียด “ข้าแต่ฝ่าพระบาท จริงอยู่ที่เราจำเป็นต้องสร้างกำแพงเหล็ก หากแต่การที่เราต้องรับมือกับจักรวรรดิอี้เหอและศึกในเมืองตงฉวงตลอดสามปีที่ผ่านมานั้นทำให้กำลังของจักรวรรดิลดลงไปกว่าครึ่งจากตอนที่จักรพรรดิฉินจิ้นเป็นผู้ปกครอง ซึ่งการก่อสร้างกำแพงเหล็กอาจต้องใช้กองกำลังแทบทั้งหมดของจักรวรรดิพ่ะย่ะค่ะ”
ซูมู่หยุนเอ่ย “ฝ่าบาท กระหม่อมได้ถามงบประมาณที่ต้องใช้จากสำนักทหารและพลเรือนแล้วพ่ะย่ะค่ะ เหรียญทองราวห้าร้อยล้านจะสามารถสร้างกำแพงเหล็กได้แปดร้อยไมล์ จริงอยู่ที่เป็นจำนวนเงินมิน้อยเลย หากแต่ทุกคนก็ทราบดีว่ามณฑลชีไห่และอวิ้นจงนั้นไม่ได้ก่อสงครามมากว่าสิบปีแล้วซึ่งนั่นทำให้พวกเขาร่ำรวยเป็นอย่างมาก ทุนของกรมท้องถิ่นก็ยังเหลืออยู่ถมเถ กระหม่อมคิดว่าหากใช้เงินจากมณฑลชีไห่และอวิ้นจง มณฑลละสองร้อยล้าน รวมกับเงินของเมืองหลันเยี่ยนอีกหนึ่งร้อยล้านเหรียญทอง เราก็ไม่น่ามีปัญหาใดในการจ้างพลเรือนและสร้างกำแพงเหล็กพ่ะย่ะค่ะ”
ฉินอินพยักหน้าพร้อมเผยรอยยิ้มสดใส นางหันไปมองถังหลานก่อนเอ่ย “ท่านหลานกงอย่าได้วิตกไปเลย จักรวรรดิกำลังอยู่ในช่วงคอขาดบาดตายเช่นนี้ ท่านคงไม่คิดตระหนี่หรอกใช่หรือไม่? ”
ถังหลานประสานหมัดด้วยความเคารพ “หากฝ่าบาททรงตัดสินใจว่าจะสร้างกำแพงเหล็ก กระหม่อมย่อมมิคัดค้าน เงินสองร้อยล้านเหรียญทองจะถูกส่งมาเมืองหลวงทันทีหากมีรับสั่งจากพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”
“อืม!”
ฉินอินยิ้มพลางกล่าว
“เช่นนั้นข้าจะเขียนพระบรมราชโองการเพื่อเกณฑ์พลเรือนจักรวรรดิให้มาร่วมกันสร้างกำแพงเหล็กทันที ส่วนงบประมาณและข้อมูลอื่นๆ ข้าให้ท่านทั้งสองจัดการได้หรือไม่?”
กงทั้งสองโค้งคำนับและกล่าวออกพร้อมกัน “ตามพระราชกฤษฎีกาพ่ะย่ะค่ะ!”
“เยี่ยมมาก”
ฉินอินลุกขึ้นยืนพลางสวมใส่เสื้อคลุมของจักรพรรดินี “ตอนกลางคืนลมแรงนัก ท่านทั้งสองระวังอย่าให้เจ็บไข้ ข้าจะไปดูอาการพี่อาอวี่สักหน่อย”
“กราบบังคมลาพ่ะย่ะค่ะ!”
…
จางเหว่ย เว่ยโฉวและคนอื่นๆติดตามไปด้วยเพื่ออารักขาฉินอิน เมื่อเดินทางมาถึงกระโจมที่หลินมู่อวี่พักอยู่ นางหยุดเดินก่อนหันไปออกคำสั่ง “พวกเจ้ารออยู่ด้านนอก อย่าเข้าไปหากข้ามิได้สั่ง”
เว่ยโฉวประสานหมัดพร้อมกล่าวอย่างนอบน้อม “พ่ะย่ะค่ะ!”
จางเหว่ยเอ่ย “กลางคืนเช่นนี้ลมโกรกเสียงดังนัก ไม่ได้ยินเสียงในกระโจมแน่ ฝ่าบาทไม่ต้องกังวลพ่ะย่ะค่ะ!”
ใบหน้าเลอโฉมของฉินอินพลันขึ้นสีระเรื่อ นางกล่าวออก “จางเหว่ย เจ้าอยากยังอยากเป็นผู้บัญชาการอยู่หรือไม่?”
จางเหว่ยรีบตอบทันที “ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท กระหม่อมจะไม่พูดเช่นนี้อีก เดี๋ยวกระหม่อมก็จะไปลาดตระเวนแล้ว มีเพียงเว่ยโฉวที่จะเฝ้ารักษาการณ์อยู่ที่นี่พ่ะย่ะค่ะ ฮ่าๆ”
ฉินอินมองอีกฝ่ายอย่างเอือมระอา จางเหว่ยเป็นคนตรงไปตรงมาเช่นนี้ จนเสียบางทีก็เกือบตายตกเพราะคำพูดของตนเอง อย่างไรเสียตั้งแต่ศึกเมืองหลันเยี่ยนจนถึงตอนนี้ จางเหว่ยก็พิสูจน์ตนเองแล้วว่าเขาเป็นคนที่จงรักภักดีมากเพียงใด
ฉินอินเปิดประตูเข้าไปในกระโจมและปิดไว้ดังเดิมเพื่อไม่ให้ลมเย็นด้านนอกพัดเข้ามา
หลินมู่อวี่นอนนิ่งอยู่บนเตียงร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผล วิทยายุทธของเฉียนเฟิงนั้นแข็งแกร่งเกินไป โชคดีนักที่เขายังมีชีวิตรอดมาได้
คนของสมาพันธ์โอสถทำแผลให้หลินมู่อวี่แล้ว ขณะนี้เขายังคงหลับอยู่ ทว่าคิ้วทั้งสองข้างกลับขมวดซึ่งฉินอินก็ไม่อาจรู้ว่าอีกคนกำลังฝันถึงสิ่งใด
ฉินอินยิ้มพร้อมจับมือของหลินมู่อวี่อย่างอ่อนโยนเสมือนว่าอยากให้อีกคนรู้สึกผ่อนคลายเมื่อนางอยู่ใกล้ๆ
ไม่นานนักฉินอินก็เผลอหลับไป
เมื่อหลินมู่อวี่ตื่นขึ้น เขาเห็นฉินอินนอนหลับอยู่ข้างเตียงพร้อมขนตายาวที่ขยับเล็กน้อยยามเจ้าตัวผ่อนลมหายใจ เจ้าของใบหน้างดงามหลับพริ้มอีกทั้งยังเผยรอยยิ้มเล็กๆ ที่เขาก็ไม่อาจรู้ว่านางกำลังฝันถึงสิ่งใด
ก่อนนี้นางเป็นลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนขององค์จักรพรรดิฉินจิ้น อีกทั้งยังเป็นที่รักของผู้คนนับพัน ทว่าเวลานี้กลับต้องแบกรับภาระหนักอึ้งไว้บนบ่าของตน ไม่รู้ว่าสวรรค์นั้นโปรดปรานหรือเพียงจะกลั่นแกล้งที่ให้นางขึ้นครองบัลลังก์ยามจักรวรรดินั้นแตกเป็นเสี่ยงๆ ด้วยน้ำมือเหล่าปีศาจจากฟากฟ้า ทั้งที่บ้านเมืองเคยอยู่อย่างสงบมานับหมื่นปี
หลินมู่อวี่ลูบใบหน้าของฉินอินด้วยความโศก ไม่นานนักนางก็ตื่นขึ้น ดวงตาสดใสจ้องมองหลินมู่อวี่พร้อมรอยยิ้มเล็กที่ผุดขึ้นบนใบหน้า “เจ้าตื่นแล้วหรือ?”
“อืม”
หลินมู่อวี่ขำออกมาเบาๆ “เจ้ามานอนเช่นนี้ได้อย่างไร? หากง่วงก็กลับไปนอนเสีย”
“ไม่ ข้าอยากอยู่นี่ที่” ฉินอินเถียงอีกคนเสียงแผ่ว
“อืม เช่นนั้นก็อยู่นี่”
หลินมู่อวี่ว่าพลางยืดแขนบิดขี้เกียจ เขารู้สึกว่าบาดแผลทั่วร่างกายของตนแทบจะหายเป็นปลิดทิ้ง คงเป็นพลังการรักษาของแท่งโลหะไม่ผิดแน่ เพราะอย่างไรเสียก็ไม่มียารักษาใดที่ทำให้แผลหายเร็วได้เพียงนี้
“เสี่ยวอิน มีข่าวจากพวกอสูรบ้างหรือไม่?”
“ไม่เลย ข้าไม่รู้ว่าเฉียนเฟิงตายตกไปแล้วหรือยัง”
“เขาไม่ตายหรอก” หลินมู่อวี่ยิ้มพลางมองไปยังด้านบนสุดของกระโจม “แม้พลังเจ็ดประทีปของข้าจะไม่สามารถฆ่าเฉียนเฟิงได้ แต่คงพอทำให้เขานอนซมไปได้หลายวัน”
ก่อนหมดสติไป เขาเห็นดวงดาวนับไม่ถ้วนพุ่งใส่ตัวเฉียนเฟิงที่กำลังทุกข์ทรมานอย่างหนัก หากข้ามีพลังศักดิ์สิทธิ์เพียงสักหนึ่งในห้าของราชาเจ็ดประทีปคงสามารถใช้พลังเจ็ดประทีปพลิกดาราได้อย่างสมบูรณ์กว่าในตอนนี้ เช่นนั้นคงอาจทำให้เฉียนเฟิงตายตกไปแล้ว
ฉินอินเม้มริมฝีปากแดงก่อนกล่าวออก “ข้าไม่รู้เลยว่าเหตุร้ายนี้จะจบลงเมื่อใด…ท่านตาแนะนำให้ข้าสร้างกำแพงเหล็กตามแนวแม่น้ำต้าวเจียงเพื่อปกป้องเขตแดนจักรวรรดิซึ่งข้าก็เห็นด้วย งานนี้จะต้องใช้เงินราวห้าร้อยล้านเหรียญทอง”
“อืม ดีแล้วล่ะ”
สายตาของหลินมู่อวี่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นอันแรงกล้า
“อาอวี่ เจ้าคิดอะไรอยู่หรือ?” ฉินอินยิ้มพลางถาม
หลินมู่อวี่ตกอยู่ในความเงียบไปพักหนึ่งก่อนจ้องลึกไปในตาอีกฝ่ายพร้อมกล่าว “ข้าเพียงคิดว่าเมื่อใดกันที่เราจะสามารถตอบโต้พวกปีศาจได้มากกว่านี้ จะได้กลับไปชิงมณฑลหลิงตงและทงเทียนกลับมาเสียที”
“คงใช้เวลาไม่น้อย…”
“อืม” หลินมู่อวี่พยักหน้า “กองทัพปีศาจเกราะแข็งแกร่งนัก ไม่ว่าศึกใดเราก็ไม่อาจเอาชนะพวกมันได้ การชิงสองมณฑลทางตะวันออกกลับมาจึงเป็นเรื่องยากนัก ว่าแต่ได้ข่าวคราวของจักรวรรดิอี้เหอบ้างหรือไม่? ศึกของหลงเซียนหลินกับเหล่าปีศาจเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ยังตัดสินไม่ได้ สงครามเทือกเขาฉินยืดเยื้อนัก หลงเซียนหลินไม่สามารถตีทัพของเหล่าปีศาจให้แตกได้ในขณะที่พวกมันก็ไม่อาจข้ามเทือกเขามาโจมตีได้เช่นกัน หากแต่กล่าวกันว่าจักรวรรดิอี้เหอเสียกองกำลังไปจำนวนมาก ขณะนี้ฉินอี้จึงออกกฤษฎีกาคัดเลือกทหารจากทุกส่วนของมณฑลหลิงหนาน ดูเหมือนเขาจะแค้นเหล่าปีศาจยิ่ง”
“เป็นธรรมดา เหล่าปีศาจนั้นร้ายกาจส่วนคนของจักรวรรดิอี้เหอก็เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา”
หลินมู่อวี่จ้องมองไปยังจักรพรรดินีผู้เลอโฉมก่อนยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้ “มีผู้ใดรู้บ้างว่าเจ้ามาหาข้า?”
“รู้กันหมดแล้วกระมังเพราะเว่ยโฉวยืนคุ้มกันอยู่นอกกระโจมของเจ้า และข้าสั่งไว้แล้วว่าห้ามใครเข้ามาเด็ดขาดหากข้ามิได้สั่ง”
“เช่นนี้เอง…”
หลินมู่อวี่ยกยิ้ม “เสี่ยวอินถอดรองเท้าแล้วมานั่งใกล้ๆ ข้าสิ”
“อืม…”
ใบหน้าของฉินอินร้อนวูบ นางถอดรองเท้าคู่เล็กก่อนปลดเสื้อคลุมจักรพรรดินีออก เหลือเพียงชุดกระโปรงยาวและเดินมานั่งตรงหน้าหลินมู่อวี่ นางเอ่ยถามด้วยสีหน้าแดงระเรื่อ “แล้วอย่างไรต่อรึ?”
หัวใจของหลินมู่อวี่เต้นจนแทบทะลุออกจากอก เขาพึมพำออกมา “เหตุใดเจ้าถึงทำตัวราวกับหญิงสาวแอบมาเปิดห้องกับคู่รักกันเล่า? เดี๋ยวข้าก็ทนไม่ไหวหรอก…”
ฉินอินยิ้มพลางถาม “เปิดห้อง…หมายความว่าอย่างไร?”
“อืม…ว่าอย่างไรดี…” หลินมู่อวี่ใคร่ครวญอยู่ครู่ใหญ่กว่าจะนึกคำอธิบายเรื่องชวนเขินเช่นนี้ให้กับฉินอินได้ “มันคือการที่คู่รักอยู่ด้วยกันสองต่อสอง สัมผัสถึงลมหายใจและชีพจรของกันและกัน สอดประสานจังหวะของอารมณ์เร่งเร้าให้สุขสม กระทั่งดื่มด่ำกับความพิสมัยจนปลดปล่อยในที่สุด”
หลังจากอธิบายจบ เขารู้สึกภูมิใจกับตนเองขึ้นมา “จังหวะของอารมณ์งั้นหรือ เจ้าบทเจ้ากลอนเสียจริง ข้านี่ฉลาดนัก!”
ฉินอินยังคงสับสนทว่าตัดสินใจกล่าวออกพร้อมใบหน้าแดงก่ำ “เช่นนั้น…มาลองกันเถิด ต้องทำอย่างไรจึงจะรู้สึกถึงชีพจรและลมหายใจของเจ้า? แล้วจังหวะของอารมณ์เล่า? ข้าต้องใช้…วิญญาณยุทธ์หรือ? ”
“ไม่ใช่…”
หลินมู่อวี่รีบเอ่ยขัด “อย่าใช้วิญญาณยุทธ์ที่นี่เชียว เตียงราคาแพงส่งตรงจากเมืองชางหนานของข้าจะหักเอา…”
ฉินอินยิ้มกว้างก่อนโน้มตัวไปกอดหลินมู่หวี่ นางเกยหน้าไว้บนอกแกร่งพร้อมกล่าว “สัญญากับข้าสิ ว่าเจ้าจะไม่ทิ้งข้า…”
“ข้าต้องทำตามคำบัญชาอยู่แล้ว…” หลินมู่อวี่จ้องมองพร้อมรอยยิ้ม
เมื่อไม่อาจต้านทานความรู้สึกในหัวใจได้อีกต่อไป ใบหน้าอันงดงามของฉินอินที่แดงเรื่อราวกับกลีบกุหลาบก็ค่อยๆ ขยับไปใกล้หลินมู่อวี่อย่างเชื่องช้าก่อนประทับรอยจูบบนริมฝีปากของอีกฝ่าย
ไออุ่นและความอ่อนโยนที่สัมผัสได้จากฉินอินทำให้หลินมู่อวี่รู้สึกว่าราวกับตนเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลก
“ตึง ตึง ตึง”
เสียงกลองรบดังกังวานมาจากด้านนอก หลินมู่อวี่และฉินอินที่กำลังประสานจุมพิตกันอย่างดูดดื่มต้องหยุดชะงัก ทั้งสองผละออกจากกันทันใด ฉินอินถามขึ้นด้วยความงุนงง “เกิดเหตุอันใดขึ้น?”
“ข้าก็ไม่รู้…”
………………………………….