The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา - EP.409 เผ่าพันธุ์อสูรจำนน
EP.409 เผ่าพันธุ์อสูรจำนน
“ม้วนหนังสือจากหน่วยสรรพาวุธ?”
ฉินอินมองม้วนหนังสือสีแดงในมือที่หลินมู่อวี่นำมาให้ด้วยความประหลาดใจ
“อืม มันเป็นของหน่วยสรรพาวุธ” ภายในโถงตำหนักเจ๋อเทียนไม่มีใครอื่น หลินมู่อวี่จึงนั่งโต๊ะเดียวกับฉินอินพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “บางทีเราอาจต้องพึ่งพาการพัฒนาอาวุธของหน่วยสรรพาวุธในการเอาชนะเผ่าปีศาจในอนาคต”
“เจ้าสามารถเอาชนะเผ่าปีศาจได้จริงหรือ?” ฉินอินกะพริบดวงตาคู่งาม
“แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ…”
เฟิงจี้สิงกล่าวขึ้น เขากำลังนอนบนโต๊ะที่อยู่ด้านขวาพร้อมชื่นชมภาพจิตรกรรมฝาผนังและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ภาพวาดงดงามยิ่งนัก รูปร่างของเด็กสาวเหล่านี้ช่างอรชรเสียจริง เจ้าพวกจิตรกรคงคิดไม่ดีแน่ๆ”
ฉินอินยิ้มเยาะเย้ย เมื่อไม่มีใครอื่นภายในโถง ผู้บัญชาการแห่งจักรวรรดิทั้งสองทำตัวเสมือนคนเถื่อนที่กำลังรังแกองค์จักรพรรดินี
“แต่มันต้องใช้เงินจำนวนมาก...”
ฉินอินอ่านม้วนหนังสืออย่างรอบคอบพร้อมกล่าวว่า “สามสิบล้านเหรียญทองพอหรือไม่…”
“อื้ม เมื่อเทียบกับห้าร้อยล้านเหรียญทองที่ใช้สร้างกำแพงเหล็ก เงินเหล่านี้ไม่มากมายนัก หากสามารถพัฒนาอาวุธได้จริง พวกมันสามารถเทียบเท่าได้กับกำแพงเหล็กสิบชั้น…” หลินมู่อวี่กล่าว
“ก็ได้…” ฉินอินลงนามบนม้วนหนังสือพร้อมประทับตราจักรพรรดินี ก่อนจะส่งคืนให้หลินมู่อวี่และกล่าวว่า “จากนี้ขอให้พี่อาอวี่ดูแลการพัฒนาอาวุธอย่างเต็มที่”
“ยอดเยี่ยม…”
“อย่างไรก็ตามเสี่ยวซี หลิงหูเหยียน และถังเจิ้นจะเข้าเมืองหลันเยี่ยนคืนนี้ พี่อาอวี่และผู้บัญชาการเฟิงจะเข้ามาด้วยหรือไม่?” ฉินอินกล่าวต่อ
“โอ้? เสี่ยวซีกลับจากเมืองหน้าด่านอสูรหรือ? เกิดอะไรขึ้น?” หลินมู่อวี่เอ่ยถาม
“หลิงหูเหยียนและสิบแม่ทัพแห่งเผ่าพันธุ์อสูรจะเข้าพิธีสาบานว่าจะจงรักภักดีต่อจักรวรรดิ…”
“จริงหรือ?”
หลินมู่อวี่ดีใจ “เสี่ยวซีมีความสามารถอย่างแท้จริงที่สามารถเกลี้ยกล่อมเผ่าพันธุ์อสูรให้ภักดีต่อจักรวรรดิ ด้วยความแข็งแกร่งของพวกเขา เราจะมีกองกำลังมากขึ้นในการตอบโต้เผ่าปีศาจและจักรวรรดิอี้เหอ”
“อืม” ฉินอินพยักหน้าเล็กน้อย “เมื่อเร็ววันนี้เราได้ส่งกองกำลังแทรกทรึมเข้าไปยังมณฑลหลิงตง และได้รับข่าวมากมายว่าจอมพลเฉียนเฟิงกำลังรวบรวมกองกำลังที่เมืองตงฉวง มนุษย์ผู้เป็นช่างฝีมือถูกกดขี่ให้สร้างบันไดลอยฟ้า เกวียน และอุปกรณ์อื่นๆ อีกทั้งพวกมันส่งอสูรเกราะสามหมื่นตัวไปสร้างอู่ต่อเรือที่ปลายแม่น้ำต้าวเจียง ดูเหมือนว่าพวกมันกำลังพยายามสร้างเรือรบ”
“ข้าคาดการณ์ว่าเฉียนเฟิงเตรียมการสิ่งนี้นานแล้ว” หลินมู่อวี่กล่าว “เฉียนเฟิงเป็นคนฉลาดและเก่งกล้า ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่สำหรับเราเสมอ การคุกคามของเขารุนแรงกว่าหลงเซียนหลินมาก”
เฟิงจี้สิงกล่าว “เผ่าปีศาจแข็งแกร่งมาก กระนั้นควาสัมพันธ์ระหว่างเราและจักรวรรดิอี้เหอค่อยๆ เปลี่ยนไป เมื่อไม่กี่วันก่อนมีข่าวลือว่าจักรวรรดิอี้เหอต้องการเป็นพันธมิตรกับเราเพื่อต่อต้านเผ่าปีศาจ”
“โอ้?” ฉินอินขมวดคิ้วพร้อมกล่าวว่า “หากจักรวรรดิอี้เหอต้องการเป็นพันธมิตรกับเราจริง ท่านมีความคิดเห็นอย่างไร?”
เฟิงจี้สิงประสานหมัด “กระหม่อมคิดว่ามันเป็นเรื่องดีที่จะเป็นพันธมิตรกัน แต่เมื่อใดที่เผ่าปีศาจพ่ายแพ้ เราและจักรวรรดิอี้เหอจะเข้าสู่สงครามทันที…”
หลินมู่อวี่พยักหน้า “ความบาดหมางระหว่างเราและจักรวรรดิอี้เหอนั้นลึกมาก และจะจดจำไว้ว่าตราบใดที่ฉินอี้และหลงเซียนหลินยังไม่ตาย ข้าจะแก้แค้นให้กับวิญญาณของพี่ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน พี่ฉินเหลย และท่านปู่เหล่ยหงให้จงได้…”
“อืม” ฉินอินยิ้มเล็กน้อย “เสี่ยวอินรู้ว่าต้องทำอย่างไร”
…
ณ หอสดับพิรุณยามค่ำคืน
หลังสงครามเมื่อสามปีก่อน หอสดับพิรุณก็เปิดตัวใหม่ แต่ราคาอาหารถูกลงมาก กระนั้นรสชาติก็ด้อยลงเช่นกัน
เฟิงจี้สิง หลินมู่อวี่ จางเหว่ย เว่ยโฉว หลัวอวี่ พร้อมนายพลคนสำคัญอื่นๆ นั่งรอบโต๊ะและดื่มสุรากันอย่างสนุกสนาน หลังผ่านไปครู่หนึ่งพวกเขาก็เริ่มมึนเมา ทหารกองทัพมังกรผงาดเดินเข้ามาประสานหมัด “แม่ทัพหลิน ตำหนักเจ๋อเทียนส่งคนมาเชิญท่านเพื่อหารือเรื่องสำคัญ และบอกอีกว่า…องค์หญิงซีอยู่ที่นี่ด้วย”
“เสี่ยวซีมาแล้วหรือ?” หลินมู่อวี่วางจอกลง
เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าทานอาหารและดื่มมากพอแล้ว เช่นนั้นไปกันเถิด”
“ขอรับ”
หลังจากชำระค่าสุรา ทุกคนพลันขี่ม้าควบออกไปยังทิศทางตำหนักเจ๋อเทียน
ตำหนักเจ๋อเทียนจุดไฟสว่างไสว เมื่อหลินมู่อวี่และคนอื่นๆ มาถึง ถังหลาน ซูมู่หยุน ต้าซือเยว่ชวีฉู่ที่เพิ่งได้รับตำแหน่ง พร้อมคนอื่นๆ รออยู่ที่นั่นแล้ว
ถังเสี่ยวซีสวมชุดสีแดงเพลิงดูสง่างามเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม “มู่มู่ บอกข้าสิว่าเราไม่ได้เจอกันกี่วันแล้ว”
“ข้าลืมน่ะ…” หลินมู่อวี่ตอบอย่างตรงไปตรงมา
“คนบ้า…” ถังเสี่ยวซีจ้องมองที่เขาพร้อมเอ่ยเสียงเบา “ข้าได้ยินมาว่าเจ้าก้าวเข้าสู่ขอบเขตปราชญ์แล้วหรือ?”
“อื้ม…”
“ยอดเยี่ยม!” ถังเสี่ยวซีเบิกตากว้างมองหลินมู่อวี่อย่างลึกซึ้ง
แม้จะเป็นดั่งพรจากสรวงสวรรค์ที่ถูกสาวงามจ้องมอง แต่หลินมู่อวี่อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “เสี่ยวซี เหตุใดจึงมองข้าเช่นนั้น ข้าไม่ใช่ไก่ย่างสักหน่อย”
ถังเสี่ยวซีหัวเราะพร้อมกล่าวว่า “ข้ากำลังคิดว่า…เนื่องจากมู่มู่ก้าวเข้าสู่ขอบเขตปราชญ์และได้รับความสามารถในการไม่แก่เฒ่า ดังนั้นจึงเป็นขอบเขตปราชญ์ที่มีอายุเพียงยี่สิบหกปี ฮ่าๆ มู่มู่ของพวกเราเป็นขอบเขตปราชญ์ที่หล่อเหลาที่สุดในปฐพีอย่างแน่นอน...”
เฟิงจี้สิงด้านข้างกระแอม “องค์หญิงซี กระหม่อมก็ก้าวเข้าสู่ขอบเขตปราชญ์เช่นกัน”
“แต่ท่านไม่ได้รูปงามเท่ามู่มู่…” ถังเสี่ยวซีตอบความจริง
เฟิงจี้สิงแตะจมูก “คำพูดขององค์หญิงซีเป็นดั่งใบมีดเย็นยะเยือกในเดือนสิงหาคมที่เฉือนหัวใจเฟิงจี้สิง…”
ถังลู่ที่อยู่ด้านข้างไม่สบายใจกับความสนิทสนมระหว่างถังเสี่ยวซีและหลินมู่อวี่ เขากระแอมขึ้นพร้อมกล่าว “เริ่มหารือกันเถิด วันนี้เผ่าพันธุ์อสูรยอมจำนนต่อมนุษยชาติ เลิกพูดเรื่องไร้สาระได้แล้ว”
ถังเสี่ยวซีขมวดคิ้วและกล่าว “พี่สอง พวกเขาเป็นพันธมิตร ไม่ใช่การยอมจำนน”
“แล้วแตกต่างกันอย่างไร?” ถังลู่ยิ้มเย็นชา
ขณะเดียวกันนายพลจิ้งจอก งู และกิ้งก่าด้านหลังหลิงหูเหยียนไม่พอใจกับคำพูดของถังหลาน พวกเขาส่งเสียงขู่ แม้จะไม่ทราบความหมาย แต่จะต้องเป็นคำพูดไม่ดีอย่างแน่นอน
ฉินอินสวมเสื้อคลุมจักรพรรดินีจับด้ามกระบี่ค่อยๆ เดินลงจากบัลลังก์พร้อมกล่าวว่า “หลิงหู เริ่มกันเลยไหม?”
“พ่ะย่ะค่ะ”
หลิงหูเหยียนตอบกลับอย่างนุ่มนวล หางจิ้งจอกทั้งสามกวัดแกว่งไปมาด้านหลัง นางค่อยๆ คุกเข่าลงต่อหน้าฉินอินพร้อมกล่าวอย่างเคารพ “หลิงหูเหยียนขอสาบานในฐานะนักปราชญ์จิ้งจอก ต่อจากนี้อสูรและมนุษย์จะอยู่ร่วมกันอย่างสันสิสุขภายใต้พันธสัญญาและจะไม่ละเมิดกันและกัน หลิงหูเหยียนจะเป็นขุนนางขององค์จักรพรรดินีฉินอินและยินยอมจ่ายส่วยทุกปีด้วยม้าศึกพันธุ์ดีห้าพันตัว กวางหนึ่งหมื่นตัว สมุนไพรหายากหนึ่งพันกล่อง แกะหินผาสองพันตัว และหนังสัตว์สามพันชิ้น…”
“ดี”
ฉินอินก้าวไปด้านหน้าพร้อมวางมือลงบนไหล่หลิงหูเหยียน นางกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ในฐานะจักรวรรดิ เมืองหลันเยี่ยนจะจัดหาธัญพืชหนึ่งล้านชุดให้เผ่าพันธุ์อสูรทุกปีเพื่อเป็นการขอบคุณ”
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
“พันธสัญญาเสร็จสิ้นและจะไม่ทรยศ”
“พ่ะย่ะค่ะ พันธสัญญาเสร็จสิ้นและไม่ทรยศ…”
หลิงหูเหยียนค่อยๆ ลุกขึ้นพร้อมรอยยิ้มที่ประดับบนหน้า นางกวาดสายตัวรอบบริเวณ ทันใดนั้นสิบแม่ทัพอสูรคุกเข่าลงพื้นโดยไม่ได้กล่าวสิ่งใด ก่อนจะก้มหัวลงจรดพื้นต่อหน้าฉินอิน
ถังเทียนอดไม่ได้ที่จะเยาะเย้ย “สัตว์ร้ายก็เป็นได้เพียงสัตว์ร้าย สมควรแล้วที่จะอยู่ใต้อาณัติผู้อื่น”
“เจ้ากำลังพูดถึงสิ่งใด?” หลิงหูเหยียนกล่าวด้วยความโกรธเกรี้ยว
นายพลงูหลายคนชักดาบออกมาทันที ราวกับต้องการสับถังเทียนออกเป็นสองท่อน
ถังหลานรีบประสานหมัด “พวกเขาโง่เขลานัก ท่านหลิงหูเหยียนโปรดอย่าตำหนิพวกเขา และขออภัยที่ไม่สามารถสั่งสอนพวกเขาด้วยตนเอง”
จากนั้นถังหลานหันไปจ้องมองถังลู่และถังเทียนด้วยสายตาตำหนิ เจ้าหลานชายสองคนนี้ช่างไร้ประโยชน์อย่างแท้จริง เมื่อเทียบกับความสุขุมของถังเสี่ยวซี ทั้งสองเปรียบเสมือนลูกวัวที่ไร้ปัญญา…
ถังหลานรู้สึกผิดหวังมาก แต่เขาจะทำอะไรได้?
…
ฉินอินทำราวกับเหตุการณ์เมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้น นางจับมือหลิงหูเหยียนพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หลิงหู ในเมื่อไม่มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นในเผ่าพันธุ์อสูร เช่นนั้นพำนักในเมืองหลันเยี่ยนสักสองสามวันเถิด แล้วให้เสี่ยวซีพาชมเมืองหลวงของจักรวรรดิ”
หลิงหูเหยียนหัวเราะคิกคัก “ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
“อื้ม คืนนี้โปรดพักในตำหนักเจ๋อเทียน”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
ขณะเดียวกันถังเสี่ยวซีจูงมือหลินมู่อวี่เข้ามาพร้อมทำหน้าบึ้งตึง “มู่มู่ พวกเจ้าเมากันหมด คงไปดื่มมาอีกแล้วใช่หรือไม่?”
“ไม่ ข้าดื่มเพียงจอกเดียวเท่านั้น” หลินมู่อวี่อธิบาย
ก่อนที่ถังเสี่ยวซีจะพูดต่อ ถังหลานที่อยู่ไม่ไกลพลันกล่าวแทรก “เสี่ยวซี เจ้ายังต้องการอยู่ในตำหนักเจ๋อเทียนหรือ…ไม่ต้องการกลับจวนเจ้าเมืองชีไห่ ที่ซึ่ง…เป็นบ้านของเราอย่างนั้นเหรอ?”
“ท่านปู่…”
ถังเสี่ยวซีเดินเข้าไปหาถังหลายพร้อมกล่าวว่า “เสี่ยวซีควรอยู่ในตำหนักเจ๋อเทียน ท่านปู่ต้องดูแลตัวเองให้ดี อีกทั้งท่านยังดูชราขึ้นมากเพียงผ่านไปไม่กี่ปี”
ถังหลานเผยความเจ็บปวดและตอบกลับ “ไม่เป็นไร…ไม่เป็นไรหากเสี่ยวซีต้องการอยู่กับจักรพรรดินีฉินอิน เช่นนั้น…ชายชราผู้นี้ขอตัวกลับบ้าน”
“เสี่ยวซีจะออกไปส่งเจ้าค่ะ”
“อืม”
ถังเสี่ยวซีเข้าไปประคองถังหลาน เขาร่างกายสั่นเทาเล็กน้อยขณะที่เงยหน้ามองดวงดาวพร้อมพึมพำ “หากย้อนเวลากลับไปได้ ข้าจะเชื่อเจ้าและส่งกองกำลังเสริมให้เมืองหลันเยี่ยนทันที ไม่ว่าจะต้องสูญเสียสิ่งใดก็ตาม…”
“ท่านปู่…” ถังเสี่ยวซีหันมองเขา
ถังหลานยิ้มพร้อมปัดผมออกจากหน้าผากของเสี่ยวซีด้วยมือที่สั่นเทา “ปู่ได้รับแผ่นดินกว่าครึ่ง แต่กลับสูญเสียผู้เป็นที่รักไป แผนการทั้งหมดทำให้ทุกอย่างแย่ลง…”
ถังเสี่ยวซีน้ำตาคลอ “ท่านปู่ ข้า…”
“ไม่จำเป็นต้องกล่าวสิ่งใด” ถังหลานยิ้มอ่อนโยน “เจ้าทำทุกอย่างถูกต้องแล้ว ปู่ภูมิใจในตัวเจ้ามาก อย่ามองย้อนกลับไปหรือสงสัยในการตัดสินใจของตนเองเลย”
“แล้วท่านปู่ล่ะ?”
“ปู่…ถอยกลับไม่ได้อีกแล้ว” ถังหลานขึ้นไปบนม้าด้วยความช่วยเหลือจากคนรับใช้ เขาหันมองถังเสี่ยวซีพร้อมกล่าวว่า “เสี่ยวซีไม่ต้องไปส่งข้าหรอก กลับเข้าไปเถิด”
ถังเสี่ยวซียืนมองแผ่นหลังถังหลานจากไปท่ามกลางสายลมหนาว ขณะที่เสื้อคลุมพลิ้วไหวอย่างสง่างาม
ไม่รู้ว่าหลินมู่อวี่เข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาจับมือนางพร้อมกระซิบถาม “เสี่ยวซีเป็นอะไร?”
ถังเสี่ยวซีเพียงเงียบงันไม่ได้กล่าวคำใดตอบ
………………………………….