The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา - EP.425 สหายเก่า
EP.425 สหายเก่า
หลังจากผ่านมาครึ่งวัน ขบวนรถมาถึงเมืองสายัณห์ซึ่งเป็นเมืองหลวงของมณฑลชุนไป๋ เมื่อมองจากระยะไกลจะพบว่าเมืองนี้มีความสง่างามอย่างยิ่งและอยู่ภายใต้การคุ้มกันจากกำแพงเหล็ก ธงรบปักเรียงรายบนกำแพงขณะที่มีทหารรักษาการณ์คอยดูแล อีกทั้งมีเครื่องยิงหินพร้อมอุปกรณ์ต่างๆ
ล้อรถม้าส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด ร่างของผู้สัญจรบนรถม้าโยกไหว หลินมู่อวี่เอนกายพิงพร้อมหลับตาลงอย่างโกรธเกรี้ยว เขาไม่รู้ว่ามีสิ่งใดกำลังรออยู่ แต่คงไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน อีกทั้งยังรู้สึกว่าหลูจ๋านผู้อยู่ขอบเขตปราชญ์ชั้นที่สามมีความแค้นเคืองกับตน อาจเป็นเพราะหลินมู่อวี่คือผู้สังหารปู้ไห่ หนึ่งในศิษย์ของลั่วหลาน
“ท่านหลิน พวกเราจะถึงเมืองสายัณห์ในไม่ช้านี้” ติงซี่ยิ้มเล็กน้อย
“อืม” หลินมู่อวี่ยังคงนิ่งเงียบ
“ท่านแม่ทัพหลินคิดสิ่งใดอยู่?” ติงซี่เอ่ยถาม
“ข้าคิดว่า…” หลินมู่อวี่คร่ำครวญ “หากข้ายอมจำนน มอบอำนาจทางทหาร และปลดอาวุธกองทัพมังกรผงาดทั้งหมด แม่ทัพติงซี่อาจสั่งให้ข้าสังหารเหล่าพี่น้องทั้งห้าพันของข้า”
“ฮ่าๆๆ”
ติงซี่อดไม่ได้ที่จะหัวเราะพร้อมกล่าวว่า “สิ่งที่ผู้บัญชาการหลินกล่าวนั้น…ติงซี่ไม่ใช่หลงเซียนหลิน เช่นเดียวกับที่ผู้บัญชาการหลินไม่ใช่เฟิงจี้สิง”
“อืม” หลินมู่อวี่ยิ้มรับและไม่กล่าวสิ่งใดอีก
…
ไม่นานขบวนรถเคลื่อนมาใกล้กำแพงเหล็ก ประตูเหล็กหนาค่อยๆ เปิดออกพร้อมมีขบวนทหารออกมาต้อนรับ ชายร่างท้วมและดูหัวโบราณยืนอยู่ใต้ชายคารถม้า เขาคือเจ้าเมืองสายัณห์…ซีหยางโหวหม่านหนิง บิดาของหม่านฟางหนึ่งในเจ็ดแม่ทัพเทพแห่งจักรวรรดิอี้เหอในตำนาน แต่น่าเศร้าที่หม่านฟางพ่ายแพ้ต่อกองทหารหยางเว่ยในเมืองตงฉวง ก่อนชีวิตจะหาไม่ด้วยเงื้อมมือของเผ่าปีศาจ
ขบวนรถหยุดอย่างเชื่องช้า ก่อนที่หม่านหนิงจะลงจากรถม้าเข้ามาประสานหมัด “ทหารผ่านศึกหม่านหนิงคารวะผู้บัญชาการหลิน”
หลินมู่อวี่รู้จักหม่านหนิงอยู่แล้ว เมื่อลงจากม้าเขาจึงประสานหมัดรับ “คารวะท่านซีหยางโหว”
ใบหน้าอ้วนท้วมของหม่านหนิงกระเพื่อมเมื่อเผยยิ้ม “อย่าถ่อมตนไป หม่านหนิงได้ยินมาว่าผู้บัญชาการหลินยินดีกลับมาจักรวรรดิอี้เหอและเต็มใจทำลายล้างมณฑลหลิงเป่ย นี่คงเป็นดั่งสวรรค์ประทานพรมาให้จักรวรรดิอี้เหอในการปกครองแผ่นดิน”
หลินมู่อวี่หายใจเข้าก่อนจะกล่าวอย่างแน่วแน่ “เกรงว่าท่านซีหยางโหวจะเข้าใจผิด ข้าเป็นพระราชบุตรบุญธรรมและเป็นพระเชษฐาขององค์จักรพรรดินี แม้ว่าข้าจะมายังจักรวรรดิอี้เหอ แต่ข้าไม่มีทางสนับสนุนหรือนำทัพของจักรวรรดิอี้เหอไปโจมตีจักรวรรดิฉินอย่างแน่นอน”
“ฮ่าๆๆ” หม่านหนิงหัวเราะอย่างน่ารังเกียจ “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ตราบใดที่ท่านกลับมายังจักรวรรดิอี้เหอก็เป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่งแล้ว ไปกันเถิด ข้าได้ตระเตรียมงานเฉลิมฉลองในตำหนักซีหยางและทุกคนกำลังรอดื่มต้อนรับท่านผู้บัญชาการหลินอยู่”
“อืม”
หลินมู่อวี่ตอบตกลงเข้าร่วมพิธีของจักรวรรดิอี้เหอโดยไม่รู้ตัว ขณะที่ดวงตาติงซี่ หม่านหนิง หลูจ๋านเปล่งประกายราวกับยินดี
ขบวนทัพเคลื่อนตัวไปอย่างเชื่องช้าพร้อมทหารม้าเหล็กหลายพันนายของเมืองสายัณห์เข้ามารายล้อมพาทุกคนข้ามกำแพงเหล็ก หม่านหนิงมีชายร่างกายกำยำอายุราวสี่สิบปีคอยอารักขาอย่างใกล้ชิด ด้วยทักษะชีพจรวิญญาณของหลินมู่อวี่ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงปราณเพลิงวายุภายในกายของชายผู้นั้น ซึ่งบ่งบอกได้ว่าเขาเป็นจอมยุทธ์ขอบเขตปราชญ์ชั้นที่หนึ่งและทำหน้าที่เสมือนทหารประจำตัวของหม่านหนิง ดูเหมือนว่าฉินอี้จะพึ่งพาซีหยางโหวผู้นี้อย่างมาก
แท้จริงแล้ว แม้ว่ามณฑลชุนไป๋จะครอบครองดินแดนหนึ่งส่วนสี่ของหลิงหนาน แต่ที่ดินมีความอุดมสมบูรณ์และสามารถสร้างผลผลิตได้มากกว่าครึ่งแก่จักรวรรดิอี้เหอ นั่นเป็นเพราะความร่วมมือของประชาชนในมณฑลและความเจริญรุ่งเรืองอย่างรวดเร็วของจักรวรรดิ
หลินมู่อวี่นั่งเงียบงันภายในรถม้าและพอใจมากที่หม่านหนิงไม่ได้ออกคำสั่งปลดอาวุธของตน กระนั้นเขาค่อนข้างเป็นกังวล เนื่องจากมีศัตรูที่ทรงพลังปรากฏตัวมากขึ้นเรื่อยๆ หลูจ๋านเป็นจอมยุทธ์ขอบเขตปราชญ์ชั้นที่สาม เมื่อรวมพลังกับจอมยุทธ์ขอบเขตปราชญ์ชั้นที่หนึ่งของหม่านหนิง แม้หลินมู่อวี่จะเก่งกล้า แต่เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่เหมาะสมกับคนเหล่านี้แน่นอน
หลินมู่อวี่ถอนหายใจและนั่งเงียบภายในรถม้าต่อไป ขณะที่เฝ้ามองดูการจราจรที่พลุกพล่านและความรุ่งเรืองของเมืองสายัณห์
เมืองหลันเยี่ยนมีความเจริญรุ่งเรืองยิ่งกว่าที่แห่งนี้ก่อนจะล่มสลาย แม้ว่าจะได้รับการฟื้นฟูแล้ว แต่การสังหารหมู่ในอดีตเป็นดั่งฝันร้ายที่ฝังรากลึกในจิตใจ ซึ่งเห็นได้ชัดเจนจากสีหน้าผู้คน
ติงซี่กล่าว “หลังทานอาหารค่ำ ท่านหลินจะอาศัยในจวนของข้า และจะสามารถย้ายเข้าไปในตำหนักได้หลังจากมีคำสั่งจากราชาผู้พิชิตในมณฑลหลิงเป่ยแล้ว”
“ขอบคุณมากแม่ทัพติงซี่”
หลินมู่อวี่พยักหน้า ก่อนจะกล่าวว่า “ข้าไม่ได้รบเพื่อจักรวรรดิอี้เหอ เหตุใดจึงปฏิบัติต่อข้าด้วยความเมตตาเช่นนี้?”
“อืม…”
ติงซี่แตะจมูกพร้อมมองไปรอบบริเวณ หลูจ๋านออกจากรถม้าแล้ว เขาจึงลดเสียงและกล่าวว่า “แม้ว่าจักรวรรดิอี้เหอจะยึดครองแผ่นดินส่วนใหญ่ได้อย่างต่อเนื่องตลอดสามปีที่ผ่านมา กระนั้นก็สูญเสียไปมากโขเช่นกัน ต่อมาเมืองชีไห่และเมืองหยาดสายัณห์ส่งกองกำลังเข้าปราบปรามจักรวรรดิอี้เหอทั้งหมด ทำให้ขณะนี้อำนาจทางทหารไม่ได้อยู่ภายใต้จักรวรรดิอี้เหออีกแล้ว และกำเนิดขั้วอำนาจใหม่อีกมากมาย ดังนั้น…จักรวรรดิอี้เหอจึงต้องการบุคคลสำคัญของจักรวรรดิฉินมาร่วมสาบานรับใช้แผ่นดิน มิเช่นนั้น…ที่ท่านสังหารแม่ทัพหม่านฟางในเมืองตงฉวง ท่านซีหยางโหวจะปล่อยท่านไว้หรือ?”
“เป็นเช่นนี้เอง…” หลินมู่อวี่ยิ้มอย่างขมขื่น “ข้าเป็นเพียงเบี้ยที่มีอิทธิพลต่อขวัญกำลังใจผู้คน”
“ใช่ ราชาผู้พิชิตและซีหยางโหวต้องการตัวท่าน เพียงเพราะว่าท่านเป็นพระเชษฐาของจักรพรรดินีแห่งจักรวรรดิฉิน การอุทิศตนให้จักรวรรดิอี้เหอจะเป็นการสร้างขวัญกำลังใจให้ผู้คน ท่านซีหยางโหวเคยกล่าวไว้ว่า ความจริงใจของท่านหลินมู่อวี่มีค่ายิ่งกว่าทหารนับแสนนาย”
“อืม…”
หลินมู่อวี่เอนกายลงบนผนังไม้ของรถม้าขณะที่ร่างกายโยกไหว
ติงซี่ยิ้ม “แต่ผู้บัญชาการหลินไม่ต้องกังวล ท่านเคยกล่าวไว้ว่าจะไม่มีทางโจมตีจักรวรรดิฉิน เช่นนั้นท่านฉินอี้จะไม่มีวันผิดสัญญา แต่จักรวรรดิอี้เหออาจใช้ท่านเพื่อต่อกรกับเผ่าปีศาจ”
“ต่อกรกับเผ่าปีศาจ”
“ใช่ ท่านเคยนำกองทัพมังกรผงาดชนะศึกบนเทือกเขาฉินและสังหารกองทัพอสูรเกราะได้อย่างต่อเนื่องจนพวกมันล่าถอย ท่านรู้หรือไม่ว่าข่าวนี้แพร่สะพัดไปทั่วแผ่นดิน?”
“ไม่…” หลินมู่อวี่ส่ายหัวและกล่าวว่า “ข้าเหนื่อยล้ากับสงครามมาตลอดหลายวันจนไม่มีเวลาพัก”
เขาหันมองติ่งซี่พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “แม่ทัพติงซี่ไม่เบื่อหน่ายกับสงครามเลยหรือ?”
“เรื่องนั้น…” ติงซี่ตกตะลึง ก่อนจะตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “ใครบ้างจะอยากใช้ชีวิตอยู่บนคมดาบ? ติงซี่ไม่ได้มีพรสวรรค์ แต่กลับได้รับการแต่งตั้งจากซีหยางโหวให้เป็นหนึ่งในเจ็ดแม่ทัพเทพแห่งจักรวรรดิอี้เหอ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจ กระนั้นข้าก็ไม่เคยได้หยุดพัก และหวังว่าแผ่นดินจะสามารถรวมเป็นหนึ่งโดยเร็วที่สุด หลังจากการรวมแผ่นดิน…ข้าจะปลดยศและอาวุธของตนเพื่อเดินทางไปในหมู่บ้านบนภูเขา ปลูกผัก เลี้ยงปลา แต่งงาน และให้กำเนิดลูกสักสามสี่คน จากนั้นก็ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข”
หลินมู่อวี่อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “ไม่คาดคิดเลยว่าท่านแม่ทัพติงซี่จะเป็นคนน่าเบื่อเช่นนี้”
ติงซี่ไม่โกรธ เขาแตะจมูกพร้อมกล่าว “มีสิ่งดีๆ มากมายที่อยากทำในชีวิตแสนสั้นนี้ ติงซี่ไม่ใช่คนทะเยอทะยานอย่างท่านหลินมู่อวี่ แท้จริงแล้วข้าค่อนข้างเห็นแก่ตัว และไม่มีวันเป็นเช่นท่าน ข้าไม่สามารถแสดงความกล้าหาญโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของตน”
หลินมู่อวี่ประหลาดใจ ดูเหมือนอีกฝ่ายมีบางสิ่งที่ต้องการจะพูด
ติงซี่เพียงยิ้มจางๆ แต่ดวงตากลับดูเหมือนจะมองทะลุทุกสิ่งอย่าง ซึ่งเป็นลักษณะเดียวกับคราที่เกิดความโกลาหลในเมืองหลันเยี่ยน
“ขอบคุณท่านแม่ทัพติงซี่” หลินมู่อวี่กล่าวงึมงำ
“ไม่เป็นไรขอรับ”
ติงซี่ประสานหมัดพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เมื่อได้ยินว่าผู้บัญชาการหลินไม่ถูกสังหาร มีนายพลหลายคนในจักรวรรดิอี้เหอเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว แม้แต่ท่านเซียนลั่วหลานก็ตื่นตระหนก มีเพียงข้าเท่านั้นที่รู้สึกดีใจเมื่อรู้ว่าท่านไม่ตาย”
“เพราะเหตุใด?”
“เพราะแผ่นดินตกอยู่ในความโกลาหล เหล่าปีศาจจากฟากฟ้าลงมายังมณฑลทงเทียนและรุกล้ำแผ่นดินอื่นอย่างต่อเนื่อง หากวีรบุรุษอย่างผู้บัญชาการหลินสิ้นชีพคงเป็นเรื่องน่าเสียดายยิ่ง”
“ฮ่าๆ ท่านแม่ทัพยกย่องข้าเกินไป”
หลินมู่อวี่ยกมือปราม ขณะที่ร่างกายสั่นไหวตามแรงโยกของรถม้า ดวงตาของเขาจับจ้องไปยังทิวทัศน์นอกหน้าต่าง ผู้คนเมืองสายัณห์รวมตัวกันสองข้างทาง ดูเหมือนว่าพวกเขาไม่เคยเห็นซีหยางโหวหม่านหนิง จึงพากันชี้และแสดงความเคารพ แต่กลับไม่มีใครจำหลินมู่อวี่บนรถม้าได้ อาจเป็นเพราะในสายตาคนทั่วไป ตำแหน่งเจ้าเมืองนั้นสูงส่งกว่าผู้บังคับบัญชากองทัพมาก
…
กระทั่งพระอาทิตย์ตกดิน พวกเขามาถึงตำหนักที่โออ่าสง่างาม ซึ่งเป็นตำหนักส่วนตัวที่หม่านหนิงใช้เงินอย่างฟุ่มเฟือยในการสร้างกว่าสิบปี ทันทีที่หลินมู่อวี่ลงจากรถม้า ก็พบว่าทั่วทั้งตำหนักซีหยางถูกสร้างขึ้นด้วยทองคำ รวมถึงบันไดโถงด้านนอก ทำให้สามารถคาดเดาได้ว่าภายในตำหนักจะหรูหรามากเพียงใด
ซีหยางโหวหม่านหนิงก้าวไปด้านหน้าเพื่อจับข้อมือหลินมู่อวี่พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ท่านผู้บัญชาการหลินโปรดตามข้ามา งานเฉลิมฉลองถูกจัดขึ้นแล้ว เหล่านายพลและทหารคนสำคัญในเมืองสายัณห์ต่างมาเข้าร่วม มีแม้กระทั่งสหายเก่าที่ท่านเคยบัญชาการมาก่อน”
“สหายเก่า…” หลินมู่อวี่ผงะ “ใครรึ?”
“กองทัพเทียนฉงแห่งจักรวรรดิฉิน…เฉินหยาง ท่านจำได้หรือไม่?”
“จำได้…”
“เขาอยู่ในเมืองหลันเยี่ยนท่ามกลางความโกลาหลและยอมจำนนต่อจักรวรรดิอี้เหอ รวมทั้งเหล่าขุนนางอาวุโสอีกกว่าสามสิบคน ชื่อของพวกเขาหลายคนคงอยู่ในอนุสรณ์สถานแห่งจักรวรรดิฉิน ช่างน่าขันยิ่งนัก”
ใบหน้าหม่านหนิงไม่ปิดบังความเกลียดชังที่มีต่อจักรวรรดิฉินแม้แต่น้อย