The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา - EP.431 กลับเทือกเขาฉิน
EP.431 กลับเทือกเขาฉิน
ฝนตกหนักกระจายไปทั่วผืนป่าไร้ซึ่งผู้คนอาศัย เหล่าทหารจักรวรรดิอี้เหอควบม้าผ่านเส้นทางราบ ทว่าไม่อาจเหยียบย่ำไปถึงภูเขาในป่าลึกได้
ณ ถ้ำอันเงียบสงบบนภูเขา ข้างกายของหลินมู่อวี่มีซากหมีดำอายุสามพันสองร้อยปีกองอยู่ กระบี่วิญญาณมังกรถูกใช้เสียบเนื้อและอุ้งเท้าหมีย่างบนกองไฟ ขณะที่มืออีกข้างของเขากำลังปรุงยาจากกองสมุนไพรอย่างต่อเนื่อง
หญ้ามังกรดินสามารถพบได้ทั่วไปในภูเขา ทว่าโสมโลหิตค่อนข้างหายาก ยารักษาถูกใช้ไปจนหมดแล้ว เขาจึงต้องรีบปรุงยาใหม่ทันที มิเช่นนั้นร่างกายของเขาจะสมานแผลได้ช้าลงอย่างมาก
ไม่นานนัก หลินมู่อวี่สามารถสกัดยารักษาได้ราวสองสามขวด เขาราดมันลงบนหน้าอกที่ถูกศรเศวตรมณีเจาะลึกจนปอดเป็นแผล หากไม่มียาคอยสมานบาดแผล ปานนี้เขาคงตายตกไปแล้ว ในช่วงเวลาเช่นนี้ของชีวิตคงมีเพียงยารักษาที่จะช่วยเขาได้ดีที่สุด
หลินมู่อวี่ถอนหายใจด้วยความโล่งอกหลังจากทายาบนบาดแผลเรียบร้อย เขาล้มตัวลงนอนบนขนของซากหมีดำ ฉับพลันความเจ็บปวดแล่นริ้วขึ้นตามหลัง ซึ่งถือเป็นผลงานชิ้นเอกของหลูจ๋านที่ฟาดฝ่ามือกลางหลังของเขาอย่างหนักหน่วง แม้อาการบาดเจ็บนี้อาจไม่รุนแรงเท่าศรเศวตรมณีทะลวงอก หากแต่ก็เพียงพอจะฆ่าคนธรรมดาให้ตายตกอย่างทรมานได้
กลิ่นหอมของเนื้อหมีที่ใกล้สุกคละคลุ้งไปทั่ว หลินมู่อวี่ผู้หิวโหยจึงหยิบมีดเสียงปีศาจออกมาหั่นเนื้อบางส่วนเพื่อลองชิม เนื้อมีรสชาติดีเกินคาดแม้จะไม่มีการปรุงรสใดๆ เขาเริ่มจัดการกับเนื้อหมีตรงหน้าอย่างไม่รอช้า เมื่ออิ่มแล้วจึงเติมฟืนลงในกองไฟก่อนนอนหลับไปบนขนหมีอย่างเหนื่อยล้า
…
เขาตื่นขึ้นมาในเวลารุ่งสาง
หลินมู่อวี่ลุกขึ้นนั่งบิดขี้เกียจข้างกองไฟที่มอดสนิท เขารู้สึกว่าร่างกายของเขาฟื้นตัวมากกว่าสองในสามแล้ว ทว่าเมื่อร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้ ก็เป็นธรรมดาที่พลังยุทธ์ของเขาจะหดหายไปกว่าครึ่ง แต่อย่างไรเขาไม่อาจอยู่ที่นี่ต่อไปได้ กองทัพจักรวรรดิอี้เหอกำลังบุกค้นหาตัวเขาทั่วภูเขาทุกหนทุกแห่ง หากถูกพบตัวเข้าคงลำบากมิน้อย
หลินมู่อวี่ก่อไฟอีกครั้งเพื่อย่างเนื้อจำนวนมาก หลังจากทานอาหารมื้อใหญ่ เขาเก็บเนื้อส่วนที่เหลือไว้ในถุงสรรพสิ่งก่อนเริ่มเดินทางออกจากถ้ำ เมื่อพบธารน้ำใสเขาจึงเติมน้ำให้เต็มสองถุงเพื่อดื่มระหว่างทาง
ฝนที่ตกหนักเมื่อครู่หยุดลง เขามุ่งขึ้นทางเหนือของภูเขาโดยใช้ดวงอาทิตย์นำทาง
หลังจากวิ่งอย่างดุเดือดด้วยฝีเท้าดาวตกเป็นเวลาหนึ่งวันเต็ม หลินมู่อวี่วิ่งเป็นระยะทางราวสองร้อยไมล์จนสามารถมองเห็นเทือกเขาฉินเลือนรางอยู่ไม่ไกล สุดท้ายเขาจึงตัดสินใจลงจากภูเขามาเดินบนพื้นราบ
หมู่บ้านทั้งหมดในละแวกนี้เหลือเพียงเศษซากหลังการปลุกปล้นสะดมของพวกปีศาจ ทั้งภูเขาและหมู่บ้านต่างไร้วี่แววของสิ่งมีชีวิต ทว่าระหว่างทางก็ยังมีนายพรานให้เห็นอยู่บ้างประปราย
“ฉับ!”
ทันใดนั้นบางสิ่งงับเข้าที่ปลายเท้าของเขา ดูเหมือนว่าหลินมู่อวี่จะเหยียบกับดักของนายพรานเข้า โชคดีที่เขาใส่ชุดเกราะอยู่จึงไม่ได้รับบาดเจ็บ ไม่นานนักปราณเพลิงวายุพลันหมุนวนบีบกับดักจนแตกออก
แต่ในขณะที่เขากำลังจะเดินต่อ เสียงของใครบางคนดังขึ้นจากทางด้านหลัง “เหตุใดเจ้าจึงต้องพังกับดักของข้าด้วย…”
หลินมู่อวี่หันกลับไปก่อนพบว่าต้นเสียงคือนายพรานอายุราวสามสิบปีซึ่งห้อยกระต่ายสองสามตัวไว้ที่หลัง เขายิ้มพร้อมกล่าวตอบ “เจ้าอยากให้ข้าชดใช้ให้หรือไม่?”
เมื่ออีกฝ่ายหันมา นายพรานสังเกตเห็นดาวสีทองสามดวงที่ปกเสื้อของหลินมู่อวี่อย่างรวดเร็ว แม้จะเป็นเพียงสามัญชนธรรมดา แต่เขารู้ว่ายิ่งมีดาวประดับยศมากเท่าใด ตำแหน่งของบุคคลนั้นก็จะยิ่งสูงขึ้น ฉับพลันสีหน้าของนายพรานแปรเปลี่ยนก่อนกล่าวออกอย่างนอบน้อม “ท่าน…เหตุใดท่านจึงเดินทางมาถิ่นทุรกันดารนี้เพียงลำพังขอรับ?…อีกทั้งพื้นที่แห่งนี้ยังถูกพวกปีศาจยึดครองอยู่”
หลินมู่อวี่ประสานหมัดก่อนกล่าวตอบ “ข้าเป็นทหารของจักรวรรดิที่บังเอิญผ่านมาแถวนี้”
“งั้นหรือ…” นายพรานเบิกตากว้าง ร่างกายของเขาสั่นเทาด้วยความกลัว “ท่านคือหลินมู่อวี่ ผู้บัญชาการกองทัพมังกรผงาดใช่หรือไม่?”
“เจ้ารู้จักข้างั้นรึ?”
“มะ…ไม่รู้จักขอรับ” นายพรานมองเขาด้วยสายตาหวาดหวั่นก่อนกล่าวต่อ “แต่กองทัพจักรวรรดิอี้เหอเพิ่งจะบุกค้นหมู่บ้านในละแวกใกล้เคียงทั่วทุกแห่งเพื่อตามหาผู้บัญชาการกองทัพจักรวรรดินามว่าหลินมู่อวี่ ข้าไม่คิดว่าจะเป็นท่าน...”
“พวกมันอยู่ที่นี่กี่คนหรือ?” หลินมู่อวี่ถาม
“ข้าน้อยไม่แน่ใจขอรับ แต่ไม่มากนัก ทั้งหมดเพิ่งจากไปเมื่อเช้านี้”
“เช่นนี้เอง ขอบใจเจ้ามาก”
“ด้วยความยินดีขอรับ”
หลินมู่อวี่เหลือบมองอีกฝ่ายก่อนกล่าวคำออก “ที่นี่ไม่ปลอดภัย เหล่าปีศาจอาจกลับมาเร็วๆนี้ เจ้าควรซ่อนตัวในภูเขาและรอจนกว่ากองทัพมนุษย์จะสามารถขับไล่พวกมันออกไปได้ เช่นนั้นเจ้าจะมีชีวิตรอด”
“ขอบคุณท่านมากขอรับ ข้าน้อยจะจำไว้” นายพรานมองเขาอย่างซาบซึ้งใจ
หลินมู่อวี่พยักหน้าก่อนมุ่งหน้าไปทางเหนือต่อทันที
…
กว่าชั่วโมงล่วงไป หลินมู่อวี่ตัดสินใจนั่งพักบนหินสีฟ้าในหุบเขาก่อนหยิบเนื้อหมีจากถุงสรรพสิ่งขึ้นมาเคี้ยวอย่างใจเย็น ทว่าขณะที่เขากำลังกินอย่างมีความสุข เสียงเกือกม้ากระทบพื้นดังมาจากระยะทางไกล ทักษะชีพจรวิญญาณผันผวนครั้งแล้วครั้งเล่า กลุ่มคนที่กำลังมาทางนี้ล้วนเป็นคนของจักรวรรดิอี้เหอ
หลินมู่อวี่รีบซ่อนตัวหลังหินก้อนใหญ่ ไม่ช้ากลุ่มคนจากจักรวรรดิอี้เหอก็เข้ามาในหุบเขา
ผู้บัญชาการกองทัพกระชับด้ามดาบในมือก่อนกล่าวกับทหารราวสองร้อยนายด้วยใบหน้าเย็นชา “จากที่นายพรานกล่าว หลินมู่อวี่น่าจะอยู่แถวนี้ มันบาดเจ็บอยู่คงไปได้ไม่ไกลนัก จงตามหามันให้พบ และเมื่อใดที่หลินมู่อวี่ถูกสังหาร พวกเจ้าจะได้รับเงินรางวัลอย่างน้อยหมื่นเหรียญทอง!”
ได้ยินดังนั้นเหล่าทหารม้าจึงตื่นเต้นเป็นอย่างมาก พวกเขาบังคับม้าตระเวนไปทั่วบริเวณเพื่อค้นหาหลินมู่อวี่
หลินมู่อวี่จับด้ามกระบี่ไว้แน่น หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง สุดท้ายนายพรานคนนั้นก็ขายเรื่องของเขาแลกเหรียญทอง เมื่อเป็นเช่นนี้เขาสามารถไว้ใจใครได้อีก?
พลังยุทธ์ของเขาฟื้นตัวมากพอที่จะต่อสู้ได้แล้ว อีกทั้งเขายังต้องการม้าเพื่อใช้ในการเดินทาง มิเช่นนั้นอาจต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าจะไปถึงเทือกเขาฉิน
“สวบ...”
ทันใดนั้นหลินมู่อวี่เหยียบย่ำบนพื้นหญ้าพุ่งตัวไปหาผู้บัญชาการ
“นั่นใคร?”
ผู้บัญชาการหันกลับมาอย่างฉุนเฉียวก่อนพบกับหลินมู่อวี่ที่วิ่งตรงมาหาเขาอย่างว่องไวและดุดัน…
“ชิ้ง!”
กระบี่วิญญาณมังกรส่องแสงพร้อมกับหัวของผู้บัญชาการที่หลุดออกจากบ่า หลินมู่อวี่เตะร่างไร้วิญญาณออกไป ก่อนคว้าสายบังเหียนพร้อมกระโดดขึ้นควบม้า ทหารหลายสิบนายรอบข้างชักดาบออกจากฝักพลางตะโกนพร้อมกันเสียงดังลั่น “ฆ่ามันซะ!”
แต่การฆ่าหลินมู่อวี่ไม่ได้ง่ายเช่นนั้น
“วิ้ง!”
ฉับพลันหมัดของเขาเต็มไปด้วยพลังเจ็ดประทีป หลินมู่อวี่ง้างมือก่อนปล่อยหมัดออกไปสุดกำลัง…
“ตู้ม!”
พลังเจ็ดประทีปฟาดเหล่าทหารแหลกเป็นชิ้นเนื้อจนเลือดสาดกระเซ็นราวกับเกลียวคลื่น หลินมู่อวี่รู้สึกดีใจอยู่ไม่น้อยที่ปราณยุทธ์ของเขาฟื้นตัวเกือบเต็มที่ อีกทั้งพลังเจ็ดประทีปก็กลับมาแล้ว
เขาขี่ม้ามุ่งไปทางเหนือต่อทันที
ขณะที่เหล่าทหารม้าจักรวรรดิอี้เหอยังคงตามมาอย่างไม่ลดละ
“ฆ่าไอ้ปีศาจนี่เสีย!” พวกเขาก่นด่าไล่หลังอย่างโกรธแค้น
ทันใดนั้น “ฉับ!” เสียงของอาวุธเหล็กขนาดยักษ์ก็ตัดผ่านกลุ่มทหารไป ทหารนายหนึ่งและม้าของเขาพลันขาดเป็นสองท่อน เสียงของขวานศึกดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง พลังศักดิ์สิทธิ์เยี่ยงนี้ใช่ว่ามนุษย์ธรรมดาทั่วไปจะครอบครองได้…
“พระเจ้า!”
ใบหน้าของเหล่าทหารม้าจักรวรรดิอี้เหอเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น
เสียงคำรามดังจากข้างเนินเขาอย่างต่อเนื่อง เงาสีดำพลันปกคลุม เหล่าอสูรเกราะปรากฏตัวอีกครั้งในดินแดนตะวันตกของจักรวรรดิอี้เหอ!
“โฮก!”
อสูรเกราะตนหนึ่งพุ่งเข้าโจมตีหลินมู่อวี่ด้วยหอก ส่วนเหล่าอสูรเกราะที่เหลือต่างพากันห้อมล้อมกองทหารม้าของจักรวรรดิอี้เหอที่แทบจะไม่เหลือเรี่ยวแรงต่อต้าน
แสงดวงดาราผสานพลังโซ่เทวะควบแน่นบนปลายกระบี่วิญญาณมังกรและระเบิดออกทันที!
“เปรี้ยง!” กระบี่วิญญาณมังกรขวางหอกของอสูรเกราะก่อนฟันร่างของมันขาดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ทว่าก่อนที่หลินมู่อวี่จะขี่ม้าออกไป อสูรเกราะสามตนก็วิ่งมาล้อมเขาไว้พร้อมใช้ขวานตัดขาม้าที่เขาเพิ่งได้มาในชั่วพริบตา
“ตุ้บ!”
หลินมู่อวี่ตกจากหลังม้า เขาหมายจะฟันหัวของอสูรเกราะให้ขาดสะบั้นในดาบเดียว ทว่าพวกกลับมันไหวตัวทันและพุ่งเข้าโจมตีอย่างบ้าคลั่ง
“ชิ้ง!”
กระบี่วิญญาณมังกรป้องปัดอาวุธของอสูรเกราะทั้งสาม บาดแผลของหลินมู่อวี่ปริแตก ร่างกายของเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสจนไม่อาจต้านทานความแข็งแกร่งของอสูรทั้งสามตนได้อีกต่อไป ฉับพลันแขนขาอ่อนแรงจนทรุดลงไปกองกับพื้น ขณะที่อสูรเกราะทั้งสามรุมโจมตีเขาครั้งแล้วครั้งเล่า
ทันใดนั้นด้านหลังศีรษะถูกแทงด้วยหอก แม้จะสวมชุดเกราะป้องกันร่างกาย ก็ยังรู้สึกความเจ็บปวดแสนสาหัส เขาตะโกนลั่น “เถาวัลย์น้ำเต้า!”
ฉับพลันเถาวัลย์น้ำเต้าทองพลันผุดขึ้นมัดร่างของเหล่าอสูรเกราะทีละตัว
หลินมู่อวี่รีบฉวยโอกาสนี้หนีไป หากต่อสู้กับเหล่าอสูรเกราะอีกนับพันตัวที่อยู่บริเวณนี้คงตายตกอยู่ที่นี่ไม่ช้าก็เร็ว และเขาไม่ได้โง่เขลาถึงเพียงนั้น
เขาใช้ฝีเท้าดาวตกหนีออกจากสนามรบด้วยความเร็วเต็มกำลังจนพวกอสูรเกราะไล่ตามไม่ทัน ชายผู้นี้มีความเร็วเหนือมนุษย์ทั่วไป!
…
อสูรเกราะกลับมายังจักรวรรดิอี้เหออีกครั้ง และมันคือการโจมตีครั้งใหญ่ที่ทำให้หลินมู่อวี่ต้องหนีออกมาโดยเร็วที่สุด ยิ่งเขากลับไปยังเทือกเขาฉินได้เร็วเท่าใด เขาก็ยิ่งปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงเร่งฝีเท้ามุ่งไปยังเทือกเขาฉินอย่างสุดกำลัง
เช้าวันต่อมา เขาอยู่ห่างจากเมืองหน้าด่านโม่ซงเพียงสิบไมล์ อีกทั้งยังไม่มีวี่แววว่าเหล่าปีศาจจะตามเขามาถึงที่นี่…
ขณะนั้นชายคนหนึ่งควบม้าผ่านมาในป่าอันรกร้างผู้คน ธงดอกจื่อยินของจักรวรรดิโบกสะบัดพลิ้วไหวท่ามกลางสายลมอย่างสวยงาม
กองทัพจักรวรรดิ…
หลินมู่อวี่ที่อ่อนแรงรีบวิ่งเข้าไปพร้อมกระบี่วิญญาณมังกรในมือด้วยความดีใจ “เจ้ามาจากกองทัพใด?”
ใบหน้าผู้บัญชาการกองร้อยเต็มไปด้วยความประหลาดใจ เขากล่าวตอบ “ข้าน้อยคือผู้บัญชาการกองร้อยของกองทัพชางหนานขอรับ พระเจ้าช่วย…ท่านคงไม่ใช่หลินมู่อวี่ หนึ่งในสี่วีรบุรุษแห่งเมืองหลันเยี่ยนใช่หรือไม่?”
“ใช่ ข้าเอง”
ก่อนที่หลินมู่อวี่จะได้กล่าวคำใดไปมากกว่านั้น “ฉึก!” ลูกศรเศวตรมณีพุ่งเจาะเกราะบริเวณช่องท้องจากระยะไกลจนเลือดสาดกระเซ็นไปทั่ว
…
ท่ามกลางฝูงชน ผู้บัญชากองพันมองเขาด้วยสายเยือกเย็น “หลินมู่อวี่ทรยศต่อจักรวรรดิ นำตัวไปประหาร!”