The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา - EP.444 เผ่าคนเถื่อน
EP.444 เผ่าคนเถื่อน
สองเดือนล่วงไปในพริบตาหลังจากที่ถังเสี่ยวซียืมเสบียง ฤดูใบไม้ผลิมาเยือนเมืองหลันเยี่ยนอีกครั้ง ชุดเกราะและอาวุธถูกส่งมาแล้วทำให้การฝึกฝนของกองทัพมังกรผงาดเป็นไปได้ด้วยดีกว่าวันแรก ขณะที่กองทหารเกณฑ์ของซือตู่เซินยังคงฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้พวกเขาเริ่มดูเหมือนทหารแห่งจักรวรรดิมากยิ่งขึ้น
ทั้งจักรวรรดิฉิน จักรรวรรดิอี้เหอและเผ่าปีศาจต่างไม่เคลื่อนไหว หลังจากเหล่ยฉงนำกองทัพอสูรเกราะตีกองทหารม้ามังกรของหลงเซียนหลินแตกพ่ายในเทือกเขาฉิน จักรวรรดิอี้เหอทำได้เพียงตั้งรับเพื่อป้องกันเมืองซึ่งทำให้พวกปีศาจกวาดล้างดินแดนไปเกือบหนึ่งในห้า ทว่าการมาเยือนของฤดูหนาวทำให้พวกมันขาดแคลนอาหารและไม่สามารถต่อสู้ได้อีกต่อไป ดูเหมือนว่าเผ่าปีศาจกำลังรอโอกาสที่เหมาะสมเพื่อโจมตีอีกครั้ง
…
ยามเช้าตรู่ วิหารศักดิ์สิทธิ์อยู่ในความเงียบสงบ มีเพียงเสียงนกกาที่กู่ร้องอย่างสุขสันต์และดอกไม้ที่เบ่งบานส่งกลิ่นหอมหวน
หลินมู่อวี่ตื่นขึ้นจากกองมวลหนังสือเบื้องหน้า เสียงทหารรักษาการณ์ดังขึ้นจากด้านนอกขณะที่เขากำลังขยี้ตา “ท่านผู้นำ มีคนจากตำหนักเจ๋อเทียนมาแจ้งให้ท่านไปเข้าพบฝ่าบาทประเดี๋ยวนี้เลยขอรับ”
“อืม”
เขาล้างหน้าล้างตาก่อนรีบสวมเสื้อคลุมองครักษ์ชุดขาวและขึ้นควบท่าเฉว่ออกจากวิหารศักดิ์สิทธิ์ไปเพียงลำพัง ด้วยความแข็งแกร่งของเขาในยามนี้ หลินมู่อวี่ไม่กังวลว่าจะมีผู้ใดตามมาลอบสังหารตนอีกต่อไป ใครที่คิดทำเช่นนั้นคงเป็นการรนหาที่ตาย
เมื่อเดินทางถึงตำหนักเจ๋อเทียน เขาเห็นเฟิงจี้สิงกำลังขยี้ตาขณะเดินสะลึมสะลือขึ้นบันไดหินจากระยะไกล
“พี่เฟิง!”
หลินมู่อวี่กล่าวออกขณะส่งท่าเฉว่ให้คนรับใช้ “เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เหตุใดเสี่ยวอินส่งคนมาเรียกแต่เช้าตรู่เยี่ยงนี้?”
“ข้าก็ไม่รู้ อาจเกิดสงครามขึ้น เข้าไปกันเถิด ”
“อื้ม!”
ไม่นานนักซูมู่หยุน ถังหลานและคนอื่นๆ เข้ามาในโถงหลัก
“เสี่ยวอิน เกิดเหตุอันใดขึ้น?” หลินมู่อวี่เอ่ยถามอย่างร้อนใจ
เมื่อเห็นว่าทุกคนอยู่ที่นี่อย่างพร้อมหน้า ฉินอินจึงกล่าวตอบ “ข้าได้รับสารขนนกจากเมืองหน้าด่านอสูรเมื่อเช้านี้ว่าเกิดสงครามขึ้นในพรมแดนตะวันตกของจักรวรรดิ”
“ตะวันตก…ป่านิรันดร์หรือพ่ะย่ะค่ะ?” เฟิงจี้สิงถามกลับ
ฉินอินพยักหน้าพร้อมกล่าว “ในฤดูใบไม้ผลิที่ขาดสีเขียวของต้นไม้ใบหญ้าเช่นนี้ หลายพื้นที่ต่างต้องเผชิญกับความอดอยาก ทว่าก็ไม่อาจเทียบได้กับความแห้งแล้งในป่านิรันดร์ กระนั้นกลับได้รับรายงานว่าทางทิศตะวันตกของป่ามีบางเผ่าพันธุ์อาศัยอยู่”
“หือ?”
เฟิงจี้สิงตกตะลึง “ไม่ใช่ว่าทางตะวันตกของป่านิรันดร์เป็นพื้นที่แห้งแล้งทอดยาวไม่มีที่สิ้นสุดหรือ ผู้ใดจะอาศัยอยู่ที่นั่นได้?”
“เป็นความเข้าใจผิดทั้งหมด”
ฉินอินกล่าวอย่างเคร่งเครียด “มีเผ่าคนเถื่อนอาศัยอยู่ที่ชายแดนป่านิรันดร์ ซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์ที่อยู่ในดินแดนแห้งแล้งโดยกำเนิด มนุษย์ที่นั่นค่อนข้างสูง ตามที่สารขนนกกล่าวทหารของเผ่าคนเถื่อนสูงถึงสามเมตร อีกทั้งยังมีพละกำลังมาก พวกเขาเดินทางมายังดินแดนตะวันตกของป่านิรันดร์และแย่งแหล่งอาหารของเหล่าอสูร ขณะนี้เสี่ยวซีได้นำทัพออกไปต่อสู้กับเผ่าคนเถื่อน ทว่าก็ไม่อาจรู้ว่าผลจะเป็นเช่นไร…”
ถังหลานเอ่ยถามกลับทันที “แล้วการต่อสู้เป็นอย่างไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ?”
ฉินอินส่งสารขนนกให้แก่หญิงรับใช้ก่อนกล่าวออก “ทุกคนลองอ่านดู”
ในสารขนนกไม่มีการกล่าวถึงสถานการณ์การต่อสู้แต่อย่างใด แต่มีการอ้างว่าพละกำลังของเผ่าคนเถื่อนสามหมื่นคนนั้นน่าทึ่งเป็นอย่างมาก แม้กองทัพอสูรครึ่งอสรพิษจะแข็งแกร่งเพียงใด ทว่าก็ไม่สามารถต้านทานพวกเขาได้ ถังเสี่ยวซีจึงขอให้เมืองหลันเยี่ยนส่งกองทหารไปเสริมกำลังทัพในศึกครั้งนี้
…
ถังหลานกระชับสารในมือแน่นก่อนกล่าวคำออก “เสี่ยวซีเป็นเด็กที่แข็งแกร่ง นางไม่มีทางขอความช่วยเหลือหากยังไม่หมดหนทาง…พวกคนเถื่อนน่ารังเกียจ ข้าแต่ฝ่าพระบาท โปรดส่งกองกำลังไปเสริมทัพเถิดพ่ะย่ะค่ะ มิเช่นนั้นกระหม่อมเกรงว่าเราอาจสูญเสียพรมแดนทางตะวันตกไป อีกทั้งเผ่าอสูรคงถูกฆ่าตายตกจนหมดสิ้น หากเผ่าคนเถื่อน เผ่าปีศาจและจักรวรรดิอี้เหอโจมตีเราทั้งสามทิศ จักรวรรดิคงลำบากแน่พ่ะย่ะค่ะ!”
“อืม”
ฉินอินกล่าวตอบ “การเสริมทัพเป็นเรื่องที่ต้องทำอยู่แล้ว หากแต่ข้ายังไม่ได้ตัดสินใจว่าควรส่งกองทหารใดไปจึงจะดีที่สุด”
ทันใดนั้นซูหลงประสานหมัดก่อนกล่าวออก “กระหม่อมเต็มใจที่นำกองทัพเขี้ยวกระบี่ไปเสริมทัพองค์หญิงซีพ่ะย่ะค่ะ!”
ถังหลานขมวดคิ้วก่อนกล่าว “ไม่ได้ กองทัพเขี้ยวกระบี่มีหน้าที่ดูแลแนวป้องกันแม่น้ำต้าวเจียงจึงไม่อาจออกไปตามใจอยากได้ กระหม่อมคิดว่าคงเป็นการดีหากให้ผิงหนานโหวนำกองทหารห้าหมื่นนายของมลฑลชางหนานไปเสริมกำลังทัพ ความสามารถของผู้บัญชาการเซี่ยงอวี้เพียงพอที่จะเอาชนะเผ่าคนเถื่อนได้แน่พ่ะย่ะค่ะ”
ฉินอินพยักหน้า “เช่นนั้นก็ดี…หากแต่เผ่าคนเถื่อนแข็งแกร่งนักและผู้บัญชาการเซี่ยงอวี้ก็เพิ่งแต่งงานได้ไม่นาน ข้าเกรงว่าคงไม่ดีกับองค์หญิงเว่ยนัก”
เซี่ยงอวี้ประสานหมัดก่อนกล่าวคำออก “ในฐานะผู้บัญชาการ กระหม่อมสามารถหลั่งเลือดเพื่อปกป้องจักรวรรดิได้ ขอเพียงพระองค์ทรงรับสั่ง กระหม่อมจะนำกองทหารมุ่งสู่ดินแดนตะวันตกทันทีพ่ะย่ะค่ะ”
เฟิงจี้สิงขมวดคิ้ว “ฝ่าบาท กระหม่อมบางสิ่งจะกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ”
“ว่าอย่างไร ผู้บัญชาการเฟิง” ฉินอินยิ้ม
เฟิงจี้สิงกล่าวคำออก “อย่างที่ทุกคนทราบ เฉียนเฟิงได้รวบรวมกองกำลังปีศาจกว่าสองแสนอยู่ที่ชายแดนตะวันออกของมณฑลชางหนาน พวกเขาอาจบุกโจมตีเมืองได้ทุกเมื่อ อีกทั้งมณฑลชางหนานยังเป็นแนวป้องกันหลักของแม่น้ำต้าวเจียง หากเหล่าปีศาจบุกทะลวงเมืองแล้วไม่มีกองทัพคอยตั้งรับจะทำอย่างไร ดังนั้นกระหม่อมคิดว่ากองทัพมังกรผงาดของผู้บัญชาการหลินเหมาะสมที่จะไปสู้กับเผ่าคนเถื่อนที่สุดพ่ะย่ะค่ะ!”
ฉินอินยกยิ้มพลางพยักหน้า “ท่านผู้บัญชาการเฟิงพูดมีเหตุผล ท่านตาคิดว่าอย่างไร?”
ซูมู่หยุนพึมพำ “เซี่ยงอวี้และหลินมู่อวี่ต่างเป็นผู้บัญชาการที่มีชื่อเสียงและเก่งกาจ อันที่จริงพวกเขาทั้งสองสามารถไปได้ เหตุใดจึงไม่จับฉลากดูล่ะ?”
“เยี่ยม!”
ฉินอินหยิบกระดาษสองแผ่นออกมาก่อนใช้ปากกาเหล็กเขียนคำว่า “ไป” และ “ไม่ไป” ลงไปและยื่นให้หญิงรับใช้ นางก้าวไปข้างหน้าก่อนกล่าวออก “ท่านผู้บัญชาการหลิน โปรดหยิบกระดาษไปหนึ่งแผ่นเจ้าค่ะ”
หลินมู่อวี่และเซี่ยงอวี้ต่างออกมาหยิบม้วนกระดาษไปคนละหนึ่งแผ่น
บนกระดาษของเซี่ยงอวี้มีคำว่า ‘ไป’ ปรากฏอยู่ อย่างไรเสียเซี่ยงอวี้ก็ไม่ใช่เตียวหุยและฉินอินก็ไม่ใช่จูกัดเหลียงในเรื่องสามก๊ก
“เยี่ยมยอด!”
ถังหลานหัวเราะก่อนกล่าวออกด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นผิงหนานโหวจะผู้นำกองทหารไปเสริมทัพ ฝ่าบาทโปรดทรงรับสั่งเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม”
ฉินอินพยักหน้า “ร่างพระราชโองการให้กระทรวงกลาโหมจัดเตรียมเสบียงอาหาร หญ้า อาวุธทุกอย่างที่จำเป็นแก่กองทัพโดยด่วนที่สุด ผิงหนานโหวจะนำทหารม้าห้าหมื่นนายไปยังทิศตะวันตกของป่านิรันดร์เพื่อเสริมกำลังทัพขององค์หญิงซีในทันที”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
เซี่ยงอวี้ยกยิ้ม
ขณะนั้นเสียงเกือกม้ากระทบพื้นดังมาด้านนอก คนส่งสารวิ่งเข้ามาให้ห้องโถงด้วยท่าทีตื่นตระหนก “แย่แล้ว แย่แล้วพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท!”
“เกิดเหตุอันใดขึ้น?”
“ทางกำแพงเหล็กส่งสารขนนกมาแจ้งว่าเหล่าปีศาจเคลื่อนไหวแล้ว ขณะนี้เฉียนเฟิงนำกองทัพปีศาจกว่าแสนห้าหมื่นตนเข้าใกล้แม่น้ำต้าวเจียงและกำลังจะเปิดฉากโจมตีพ่ะย่ะค่ะ!”
“ส่งสารมาให้ข้า”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ฉินอินกวาดสายตาอ่านสารขนนก ฉับพลันใบหน้าสวยซีดเผือด “เหล่าปีศาจ…โจมตีแล้ว”
ทุกคนต่างตกตะลึง ผู้บัญชาการหลายนายเผยสีหน้าหวาดกลัวโดยเฉพาะผู้ที่เคยต่อสู้กับพวกปีศาจมาก่อน เฉียนเฟิงคงนำทัพอสูรกว่าแสนห้าตนมาในครานี้เพียงเพื่อทำลายล้างจักรวรรดิ หากพวกมันข้ามแม่น้ำต้าวเจียงและบุกทะลวงกำแพงเหล็กเข้ามาได้ จักรวรรดิคงแตกพ่าย
ในเวลานี้ทุกคนทำได้เพียงฝากความหวังไว้ที่กำแพงเหล็กมูลค่าห้าร้อยล้านเหรียญทองเท่านั้น
…
ฉินอินนั่งลงบนบัลลังก์อย่างอ่อนแรงก่อนกล่าวออก “เฉียนเฟิงโจมตีจักรวรรดิอีกครั้ง มาหารือกันเถิดว่าจะทำอย่างไรดี…”
ซูมู่หยุนประสานหมัด “ข้าแต่ฝ่าพระบาท เราต้องต้านพวกปีศาจให้ได้พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมคิดว่ากองทหารของมณฑลชางหนานไม่เหมาะสมที่จะไปเสริมทัพองค์หญิงซีอีกต่อไป ทว่าควรให้ผู้บัญชาการหลินนำกองทหารมังกรผงาดทั้งห้าหมื่นนายที่ประจำการอยู่ใกล้เมืองหลันเยี่ยนไปเสริมทัพเผ่าอสูรแทน และระดมกองกำลังทั้งจักรวรรดิมุ่งหน้าสู่แม่น้ำต้าวเจียงเพื่อต่อสู้กับพวกปีศาจพ่ะย่ะค่ะ!”
ฉินอินพยักหน้าก่อนลุกขึ้นยืนหยันพร้อมกล่าวออกอย่างสง่าผ่าเผย “ทำตามที่ท่านหยุนกงกล่าว ส่งค่ายกองทัพมังกรผงาดไปเมืองหน้าด่านอสูรและรวบรวมกองทหารทั้งจักรวรรดิเพื่อต่อสู้ชี้เป็นชี้ตายกับเหล่าปีศาจ ข้าจะไปคุ้มกันกำแพงเหล็กด้วยตนเอง หากเราพ่ายแพ้ในศึกครานี้ จักรวรรดิจะล่มสลาย!”
ทุกคนประสานหมัดพร้อมกล่าวออก “กระหม่อมยินดีสู้กับเหล่าปีศาจจนตัวตายพ่ะย่ะค่ะ!”
มีเพียงหลินมู่อวี่ที่ยืนอยู่ในโถงหลักด้วยความสิ้นหวัง เขารู้ดีว่าเผ่าปีศาจนั้นแข็งแกร่งเพียงใด เขาต้องการต่อสู้กับเฉียนเฟิงด้วยตนเอง ทว่าสถานการณ์ในตอนนี้อยู่เหนือการควบคุมของเขาไปมาก
…
เสียงเกือกม้าดังก้องในช่วงกลางดึก กองทหารมังกรผงาดจำนวนมากควบม้าผ่านถนนทงเทียนมุ่งหน้าสู่ประตูเมือง ตามด้วยเกวียนหลายหมื่นเล่มที่บรรทุกเสบียงอาหาร หญ้าและอาวุธมากมาย ศึกสงครามเป็นเรื่องที่ไม่อาจล่าช้าได้
ด้านนอกเมือง ฉินอินในชุดคลุมสีกรมท่ายืนอยู่ข้างรถม้าและทอดสายตามองใบหน้าของหลินมู่อวี่ท่ามกลางแสงจันทร์อย่างอาลัยอาวรณ์ ด้วยกลัวว่าจะไม่มีโอกาสได้เห็นมันอีก
เฟิงจี้สิงที่ควบม้าอยู่ด้านข้างเกาจมูกก่อนกล่าวออก “กว่าจะได้พบกันก็แสนลำบาก ยามต้องจากกันก็เจ็บปวดนัก เก็บเกี่ยวช่วงเวลานี้ไว้เถิด”
หลินมู่อวี่กระชับด้ามกระบี่ของตนก่อนกล่าวออกด้วยรอยยิ้ม “เสี่ยวอินเจ้าไม่ต้องเป็นห่วงข้า อย่างไรเสียเผ่าคนเถื่อนก็เป็นคนป่าที่มีเพียงพละกำลัง ข้าสามารถเอาชนะได้แน่ หลังจากพวกคนเถื่อนยอมจำนน ข้าจะนำกองทัพมังกรผงาดกลับมาหาเจ้าที่กำแพงเหล็กทันที”
“อื้ม ท่านต้องมานะ” ดวงตาคู่สวยของฉินอินอึมครึมราวกับมีเมฆหมอกปกคลุมทว่าไม่มีน้ำตาสักหยด ดูเหมือนว่าเหตุการณ์มากมายในสามปีนี้จะหล่อหลอมให้นางเป็นจักรพรรดินีมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่หญิงสาวที่เอาแต่ใจคนเดิมอีกต่อไป
หลินมู่อวี่มองไปยังเฟิงจี้สิงก่อนกล่าวออก “พี่เฟิง เกราะของพวกปีศาจแข็งมากซึ่งยากที่อาวุธธรรมดาจะเจาะทะลุได้ ข้าจะแบ่งศรเศวตรมณีสามแสนดอกที่ข้ามีให้พี่ครึ่งหนึ่ง ยามที่ข้าไม่อยู่ฝากดูแลเสี่ยวอินด้วย”
เฟิงจี้สิงหัวเราะเสียงดัง “วางใจเถิดอาอวี่ ข้าจะดูแลองค์จักรพรรดินีให้เจ้าเอง!”
แก้มของฉินอินขึ้นสีทันที “ผู้บัญชาการเฟิง ท่านหมายความว่าอย่างไร!”
“ฝ่าบาท กระหม่อมสมควรตายพ่ะย่ะค่ะ!”
“เอาล่ะ” หลินมู่อวี่เอื้อมไปจับมือของฉินอินไว้ครู่หนึ่งก่อนปล่อยอย่างอ้อยอิ่ง “แม้จะถูกกีดกั้นด้วยแม่น้ำและภูเขานับหมื่นลี้ ข้าอยากให้เจ้าอดทนรอจนกว่าข้าจะกลับมายังเมืองหลันเยี่ยน โปรดมีชีวิตอยู่เพื่อรอข้า!”
ไหล่ของฉินอินสั่นไหว นางจ้องมองแววตามุ่งมั่นของหลินมู่อวี่ภายใต้แสงจันทร์ด้วยหัวใจที่ปวดร้าวดั่งถูกใบมีดทิ่มแทง
คงเป็นการเห็นแก่ตัวหากรั้งอีกฝ่ายให้อยู่ด้วยกันในยามนี้
…
เมื่อหลินมู่อวี่นำเว่ยโฉวและคนอื่นๆ เคลื่อนทัพหายไปในความมืดมิดยามค่ำคืน ฉินอินห้ามน้ำตาของตนไม่ได้อีกต่อไป นางสะอื้นไห้เสียจนตัวโยน เฟิงจี้สิงทำได้เพียงยืนเคียงข้างโดยไม่รู้จะช่วยปลอบอีกฝ่ายอย่างไร เขากล่าวคำออก “ฝ่าบาท เราต้องไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”