The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา - EP.454 พลังดวงดารา
EP.454 พลังดวงดารา
ณ วันที่สี่เมษายนปีเจ็ดพันเจ็ดร้อยสามสิบห้า หลินมู่อวี่นำกองทหารมังกรผงาดและนักรบคนป่าห้าพันนายเดินทางออกจากป่านิรันดร์เพื่อกลับไปยังเมืองหลันเยี่ยนและประจำการอยู่ที่ค่ายกองทัพมังกรผงาดด้านนอกเมือง
แสงดาวส่องสว่างห้อมล้อมเมืองหลันเยี่ยน หลินมู่อวี่ทอดสายตามองเมืองหลวงอันยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิจากระยะไกลแม้จะทราบดีว่าฉินอินและฉู่เหยาไม่ได้อยู่ที่นั่น ยามเหล่าปีศาจบุกโจมตีเช่นนี้ ฉินอินย่อมต้องออกไปทำหน้าที่ขององค์จักรพรรดินี และในฐานะผู้นำสมาพันธ์โอสถ ฉู่เหยาก็ต้องช่วยดูแลเรื่องการขนส่งโอสถแก่กองทัพ
ขบวนรถม้าทอดยาวนำโดยเหล่าสมาชิกวิหารศักดิ์สิทธิ์ทยอยเคลื่อนเข้ามาในค่ายภายใต้แสงดาวยามค่ำคืน จินเสี่ยวถังกระโดดลงจากหลังม้าของตนก่อนเข้ามาทักทายผู้ที่ยืนรออยู่ด้วยรอยยิ้ม “พี่อาอวี่ ชุดเกราะยักษ์ห้าพันชุด หอกห้าพันเล่มและโล่ทรงกรวยเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราใช้ร้านเครื่องเหล็กกว่าสี่สิบแห่งในเมืองหลันเยี่ยนเพื่อให้งานนี้เสร็จโดยด่วนที่สุด”
“เสร็จแล้วรึ?”
หลินมู่อวี่ถามด้วยความตื่นเต้นก่อนก้าวเข้าไปดึงผ้าคลุมสีดำออกจากรถม้า หอกและโล่มากมายปรากฏแก่สายตาสะท้อนประกายระยิบระยับภายใต้แสงจันทร์
“เสี่ยวถัง เจ้าช่วยข้าได้มากจริงๆ” หลินมู่อวี่กล่าวจากใจ
จินเสี่ยวถังกัดปากของตนก่อนกล่าวออก “พี่ชาย ข้าต้องหยุดกิจการทั้งหมดเพื่อช่วยพี่ทำอาวุธเหล่านี้ อีกทั้งยังจัดหาเสบียงและหญ้าให้พี่อีกมากมาย หลังจากนี้ข้าคงช่วยพี่เช่นนี้ไม่ได้ไปอีกสองสามเดือน ข้าจำเป็นต้องเปิดกิจการต่อเพื่อให้ร้านค้าจื่อยินทำกำไรเสียบ้าง”
“อืม”
หลินมู่อวี่พยักหน้าก่อนออกคำสั่ง “หวงซี ให้นักรบคนป่ามาขนอาวุธและโล่ไปเก็บเสีย”
“ขอรับ”
หวงซีตื่นเต้นเป็นอย่างมาก แม้ว่านักรบเผ่าคนป่าจะแกร่งกล้าเพียงใด พวกเขาก็เคยใช้เพียงอาวุธหินซึ่งทำให้ความสามารถในการสังหารศัตรูมีขีดจำกัด นับประสาอะไรกับการสวมชุดเกราะป้องกัน รถม้าด้านหน้าที่บรรทุกหอก โล่และชุดเกราะสำหรับพวกเขาจึงถือเป็นสมบัติล้ำค่ายิ่งกว่าสิ่งอื่นใด
หลินมู่อวี่หยิบหอกเล่มหนึ่งขึ้นมาก่อนสัมผัสใบหอกโดยไม่ได้กล่าวคำใด
จินเสี่ยวถังกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ใบหอกนี้ถูกลับอย่างดี มันแข็งแรงและคมกว่าอาวุธทั่วไปของทหารจักรวรรดิ ข้าว่า…”
เขามองไปยังกลุ่มนักรบคนป่าก่อนกล่าวต่อ “พละกำลังของนักรบยักษ์เหล่านี้คงสามารถใช้หอกนี้เจาะเกราะของพวกปีศาจได้แน่”
“เยี่ยมยอด ขอบใจเจ้ามากเสี่ยวถัง อยู่กินอาหารค่ำกับข้าก่อนเถิด พรุ่งนี้กองทัพมังกรผงาดเดินทางไปยังกำแพงเหล็ก ข้าไม่รู้เลยว่าสถานการณ์ที่นั่นเป็นอย่างไรบ้าง”
จินเสี่ยวถังขมวดคิ้วก่อนกล่าวออก “สถานการณ์ไม่ดีนัก เมื่อสองวันก่อนเราได้รับแจ้งจากสารขนนกว่าพวกปีศาจข้ามแม่น้ำต้าวเจียงมาได้สำเร็จและบุกโจมตีกำแพงเหล็กจนกองทัพจักรวรรดิได้รับความเสียหายอย่างหนัก และเมื่อใดที่กำแพงเหล็กต้านทานพวกปีศาจบ้าคลั่งเหล่านี้ไว้ไม่ได้ ข้าเกรงว่าเมืองหลวงของมณฑลชางหนานคงต้องแตกพ่ายในไม่ช้า”
“อืม”
หลินมู่อวี่คร่ำครวญก่อนกล่าวออก “ไปกินอาหารค่ำกันเถิด”
“เยี่ยม”
เมื่อก้าวเข้ามาในค่ายทหารมังกรผงาด จินเสี่ยวถังมองดูทุกอย่างรอบกายด้วยความรู้สึกแปลกใหม่ ไม่ไกลนักมีหญิงรูปงามในชุดเสื้อคลุมสง่าผ่าเผยกำลังย่างเนื้อกวางอยู่ข้างกองไฟ เขารู้ในทันทีว่านางเป็นใคร จินเสี่ยวถังประสานหมัดอย่างนอบน้อมพร้อมกล่าวออกด้วยรอยยิ้ม “ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงซี”
ถังเสี่ยวซีหันมายิ้มให้เขา “เสี่ยวถัง ไม่ต้องมากพิธีหรอก มากินด้วยกันเถิด”
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”
ขณะนั้นเหล่าผู้บัญชาการกองหมื่นรวมถึงเว่ยโฉว ซือตู่เซินและซือตู่เฉว่ต่างเข้ามานั่งล้อมรอบกองไฟ เว่ยโฉวขมวดคิ้วพร้อมกล่าว “ท่านผู้บัญชาการหลิน กำแพงเหล็กกำลังตกอยู่ในอันตราย…หรือเราควรเคลื่อนทัพเสียตอนนี้เลยขอรับ?”
“ไม่”
หลินมู่อวี่ส่ายศีรษะแผ่วเบา “ทุกคนต่างเหน็ดเหนื่อยกับการเร่งรีบเดินทางมายังเมืองหลันเยี่ยน ทั้งม้าศึกและทหารควรได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่ในค่ำคืนนี้ มิเช่นนั้นแม้ว่ากองทัพมังกรผงาดจะเดินทางไปถึงกำแพงเหล็ก เราก็ไม่มีพละกำลังที่จะต่อสู้ ข้าไม่สามารถให้ทุกคนไปเสี่ยงตายอย่างไร้ประโยชน์เช่นนั้นได้ รีบกินแล้วไปพักผ่อนเสีย”
“ขอรับ ท่านผู้บัญชาการ”
ครานี้หลินมู่อวี่รวบรวมกองกำลังทหารได้ราวหนึ่งแสนหนึ่งหมื่นนาย ประกอบไปด้วยนักรบเผ่าอสูรห้าหมื่นตน นักรบเผ่าคนป่าห้าพันนายและทหารมังกรผงาดอีกห้าหมื่นนาย ซึ่งถือว่าเป็นกองกำลังที่แข็งแกร่งมิน้อยหากเทียบกับบรรดากองทัพในจักรวรรดิ และเขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่ากองทัพนี้จะสามารถนำอนาคตอันรุ่งโรจน์มาสู่จักรวรรดิได้
จินเสี่ยวถังเดินทางกลับเมืองหลังจากมื้ออาหารจบลง หลินมู่อวี่ยืนอยู่นอกกระโจมหลักของกองทัพ เขาสูดหายใจรับพลังจากแสงสลัวของดวงดาวยามค่ำคืน
หลินมู่อวี่หลับตาลงและปล่อยให้แสงดาวค่อยๆ ซึมเข้าไปในร่างกายอย่างเชื่องช้า ขณะที่จดจ่อกับความคิดมากมายที่วนเวียนอยู่ในหัว ตั้งแต่เหยียบดินแดนแห่งนี้เขาก็ถูกทหารรับจ้างในเมืองหยินซานไล่ล่า ไม่พอยังถูกเจิ้งอี้ฝานไล่สังหารในเมืองหลันเยี่ยน จากนั้นจักรวรรดิอี้เหอก็ตีตัวเป็นกบฏต่อจักรวรรดิแถมเขายังถูกลั่วหลานฆ่าตายตก หลังจากฟื้นคืนชีพด้วยความช่วยเหลือจากราชาปีศาจเจ็ดประทีป เขายังต้องประสบกับความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่หลวงในเมืองตงฉวง ช่างเป็นเส้นทางที่ยากลำบากนัก
และหากไม่หนักแน่นพอ ไม่ว่าจะทำสิ่งใดคงไม่มีทางเป็นดั่งที่หวัง
ทว่าตอนนี้เขาได้ทะลวงสู่ขอบเขตปราชญ์และมีกองกำลังทหารกว่าหนึ่งแสนหนึ่งหมื่นนายอยู่ใต้บัญชา ซึ่งแสดงให้เห็นว่าที่ผ่านมาเขาเพียรพยายามมากเพียงใด หลังจากสัมผัสถึงพลังดวงดาราอันเปี่ยมล้นในร่างกาย หลินมู่อวี่รู้สึกถึงปราณยุทธ์ที่เอ่อล้นออกจากทะเลจิต ฉับพลันวิญญาณยุทธ์น้ำเต้าอมตะเจ็ดประทีปเปล่งแสงสีฟ้าอ่อนพร้อมดวงดาวปรากฏหมุนวนรอบกาย ขณะนี้เขาได้ก้าวสู่ระดับกลางของขอบเขตปราชญ์ขั้นแรกแล้ว ต่อไปเขาจะต้องฝึกฝนวิทยายุทธ์และทำให้พลังดาราบรรลุถึงขั้นสูงสุด เมื่อถึงเวลานั้นการทะลวงสู่ขอบเขตปราชญ์ขั้นที่สองคงไม่ยากเกินเอื้อม
หลินมู่อวี่อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาด้วยความพึงพอใจ เขาเดินกลับเข้าไปในกระโจมหลักและเห็นถังเสี่ยวซีหลับอยู่ ร่างบางในชุดคลุมเจ้าหญิงผ่อนลมหายใจอย่างสม่ำเสมอ แสงดาวตกกระทบลงบนใบหน้ายามนิทราแลดูงดงามอย่างหาที่เปรียบมิได้
หลินมู่อวี่ดึงเสื้อคลุมเพื่อห่มตัวอีกฝ่ายแผ่วเบาก่อนกลับไปนอนที่เตียงของตนและผล็อยหลับไปในที่สุด
เหล่าผู้บัญชาการในกองทัพมังกรผงาดต่างรู้ดีกว่าถังเสี่ยวซีและหลินมู่อวี่สนิทสนมกันมากเพียงใด การที่ทั้งสองนอนในกระโจมเดียวกันจึงไม่ใช่เรื่องแปลก อย่างไรเสียยามนี้ที่จักรวรรดิตกอยู่ในอันตราย ศัตรูมากมายต่างรายล้อมไม่ว่าจะจักรวรรดิอี้เหอหรือเผ่าปีศาจ ซึ่งพวกเขาอาจถูกลอบสังหารได้ทุกเมื่อ ชีวิตของหลินมู่อวี่และถังเสี่ยวซีสำคัญกว่าสิ่งใด จึงเป็นการดีแล้วที่ทั้งสองอยู่ดูแลกันและกันเช่นนี้
หลินมู่อวี่ฝันถึงเหตุการณ์ในอดีตนับไม่ถ้วนตลอดทั้งคืน เขาตื่นขึ้นพร้อมกับหยดน้ำใสปริ่มจากดวงตา
ถังเสี่ยวซีตื่นขึ้นมาอย่างสดใส ดวงตาคู่สวยจับจ้องหลินมู่อวี่ก่อนมองไปที่ศีรษะของตนพร้อมหัวเราะออกมา “ข้าคงต้องหวีผมสักหน่อย มู่มู่ช่วยข้าที”
“อืม”
ผมของถังเสี่ยวซีนุ่มลื่นราวกับเส้นไหมชวนให้หลงใหล ทำให้หลินมู่อวี่หวนนึกถึงตอนที่ตนช่วยฉินอินหวีผมซึ่งเขายังจำสัมผัสนั้นได้ดีเสมอ
ไม่นานหลังจากนั้น เสียงกลองศึกดังกึกก้องจากด้านนอกและกองทัพทั้งสามก็เริ่มเคลื่อนพล
…
ณ มณฑลชางหนาน สงครามยังคงดำเนินต่อไปและไม่มีท่าทีว่าจะสิ้นสุด เหล่าปีศาจบุกโจมตีกำแพงเหล็กอย่างบ้าคลั่ง กองทัพจักรวรรดิต้องอาศัยกำแพงเหล็กเพื่อต่อสู้กับพวกมันอย่างไม่ได้หยุดพักถึงเจ็ดวันเจ็ดคืน
กำแพงเหล็กเต็มไปด้วยรอยมีด ขวานและอาวุธนานาชนิด และแม้เครื่องยิงของเหล่าปีศาจจะปวกเปียกเพียงใด พวกมันก็เลือกใช้หินก้อนใหญ่เพื่อโจมตีกำแพง
เฟิงจี้สิงกระชับดาบสะบั้นวาโยที่เปื้อนเลือดในมือขณะก้าวเท้าข้ามกองศพ เขากล่าวออกเสียงเครียด “ดูแลผู้บาดเจ็บโดยเร็วที่สุด”
จางเหว่ยกล่าวตอบเสียงสั่นเครือ “ท่านผู้บัญชาการ กองทหารองครักษ์ได้รับบาดเจ็บกว่าหมื่นนาย อีกทั้งยาที่ท่านผู้นำฉู่เหยานำมาก็หมดแล้วขอรับ เมื่อคืนทหารหลายสิบนายต้องตายทั้งเป็น”
เฟิงจี้สิงอิดโรยเต็มทน คราบเขม่าควันจากสงครามเปรอะเปื้อนไปทั่วใบหน้ารูปงามขณะที่เสื้อคลุมสีขาวของเขาเต็มไปด้วยรอยขีดข่วนจากคมดาบ เขาพึมพำ “อย่างไรก็ต้องสู้ต่อไป…เราไม่อาจละทิ้งกำแพงเหล็กได้ มิเช่นนั้นมณฑลชงหนานคงจบสิ้น ยังเหลือลูกศรอีกกี่ลูก?”
หลัวอวี่ประสานหมัดพร้อมกล่าวออก “ยังเหลือพอใช้สำหรับหนึ่งวันขอรับ พวกปีศาจน่ารังเกียจเก็บลูกศรใต้กำแพงเหล็กไปจนหมดแล้ว”
เฟิงจี้สิงจ้องมองไปยังกำแพงดินของเหล่าปีศาจก่อนกล่าว “เฉียนเฟิงคิดจะทำสิ่งใดกันแน่ ข้าไม่เข้าใจว่าเหตุใดพวกปีศาจจึงสร้างกำแพงนี้ขึ้น”
จางเหว่ยกล่าวตอบ “เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องหาคำตอบหรอกขอรับ”
ขณะนั้นเซี้ยโหวซางประสานหมัดก่อนกล่าว “ท่านผู้บัญชาการ ข้าเพิ่งได้รับสารจากหน่วยสอดแนมว่ากองทัพปีศาจของเฉียนเฟิงมีกองกำลังทั้งหมดราวหนึ่งแสนเจ็ดหมื่น ซึ่งมีอสูรเกราะเก้าหมื่นตน อสูรปีกสี่หมื่นตนและอสูรระดับสูงอีกราวสี่หมื่นขอรับ นอกจากนี้เฉียนเฟิงยังมาควบคุมทัพด้วยตนเองและตั้งกองทัพหลักอยู่ใกล้แม่น้ำ ว่ากันว่ามีมนุษย์ถูกจับไปเป็นทาสเป็นจำนวนมาก อีกทั้งปีศาจระดับสูงทั้งหมดยังเป็นเพศหญิงด้วยขอรับ”
“ปีศาจเพศหญิงงั้นรึ?” เฟิงจี้สิงตกตะลึง “มาจากไหนกัน?”
“พวกมันเป็นราชวงศ์ของเผ่าปีศาจขอรับ หน่วยสอดแนมได้ข้อมูลจากทาสมนุษย์มาว่าปีศาจระดับสูงเดินทางมายังสนามรบเพื่อหวังดูฉากน่าตื่นตาตื่นใจที่เผ่าของพวกมันบุกล้อมเมืองขอรับ”
“บัดซบ”
เฟิงจี้สิงหน้าซีดเผือด เขากวาดสายตามองเหล่าแม่ทัพรอบกายขณะกำหมัดแน่น
“ดูเหมือนครานี้เราคงต้องเสี่ยง”
“ท่านผู้บัญชาการ โปรดออกคำสั่งเถิดขอรับ” เหล่าแม่ทัพประสานหมัดอย่างพร้อมเพรียง
เฟิงจี้สิงมองทุกคนขณะกล่าวคำออก “หลัวอวี่เป็นผู้ที่รอบคอบและฉลาดหลักแหลมที่สุดในบรรดาแม่ทัพของกองทัพองครักษ์ เช่นนั้นคืนนี้เจ้าจงนำกองทหารม้ายอดฝีมือของกองทัพไปยังท่าเรือของกองทัพเรือ จากนั้นให้แล่นเรือรบบุกไปยังฝั่งตะวันตกของแม่น้ำต้าวเจียงและจงจำไว้ว่าสามารถเดินเรือเฉพาะยามกลางคืนหรือยามที่หมอกหนาเท่านั้น เมื่อไปถึงอีกฝั่งแม่น้ำได้ จงบุกเผาเสบียงของพวกปีศาจโดยหลีกเลี่ยงการปะทะและกลับมาในทันที และหากจับปีศาจทั้งเป็นกลับมาได้สักสองสามตนจะดียิ่ง”
“ขอรับท่านผู้บัญชาการ”
ใบหน้าเปื้อนเลือดของหลัวอวี่มองไปยังเฟิงจี้สิงด้วยสายตาอันแน่วแน่ “แม้สุดท้ายจะถูกฆ่าตายตก ข้าก็จะไม่ทำให้ท่านผู้บัญชาการผิดหวังเป็นแน่ขอรับ”
“ไม่”
เฟิงจี้สิงจับไหล่อีกฝ่ายพร้อมกล่าว “ข้าฝากชีวิตทหารม้าทั้งหมดของกองทัพองครักษ์ไว้กับเจ้าและทุกคนจะต้องรอดกลับมา อย่ากล่าวถึงความล้มเหลวกับข้าอีก การต่อสู้ครานี้เราต้องชนะเท่านั้น”
“ขอรับ!”