The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา - EP.102 ร่ำเมรัยประลองกระบี่
“เฮ้อ! เอาแต่ดื่มสุราแบบนี้น่าเบื่อจะตาย…”
จู่ๆ ฉินเหลยก็ลุกขึ้นยืน ประสานมือแล้วเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ถ้าไงเรายกโต๊ะตรงกลางออก แล้วประลองยุทธ์กระชับมิตรกันดีกว่า ว่าอย่างไร พี่เฟิง นานแค่ไหนแล้วที่พวกเราไม่ได้ประลองฝีมือกัน”
“ให้ประลองที่นี่น่ะหรือ” เฟิงจี้สิงชะงัก แล้วยิ้มเอ่ย “ไม่ค่อยดีกระมัง วันนี้เป็นวันเทศกาลซั่งซีด้วย ต้องปรองดองหน่อยสิ…”
ฉินเหลยเป็นคนใจร้อน “เราต่างเป็นผู้ฝึกยุทธ์ มีอะไรที่ไม่ปรองดอง เสี่ยวอินเจ้าเห็นด้วยใช่ไหม”
ฉินอินยกมุมปาก แย้มรอยยิ้มอันแสนงดงาม “ในเมื่อต้องการประลอง เช่นนั้นก็อย่าให้อึกทึกนัก ข้ามีข้อเสนอ ห้ามทุกคนใช้วิญญาณยุทธ์ หากใครอัญเชิญวิญญาณยุทธ์ถือว่าแพ้ อีกอย่าง ประลองยุทธ์อันตรายเกินไป แค่ประลองกระบี่ก็พอ”
“ประลองกระบี่?” หลินมู่อวี่รู้สึกประหลาดใจ
ฉินเหลยพยักหน้ายิ้ม “อืม ประลองแค่กระบี่เฉยๆ เป็นอย่างไร”
เฟิงจี้สิงเอ่ย “ก็ดีเหมือนกัน ศิลปะฝึกยุทธ์ทั้งหกรูปแบบ กระบี่จัดเป็นอันดับหนึ่ง ประลองกระบี่ก็ดี ไม่ทำลายบรรยากาศปรองดอง! เฮอะๆ ยิ่งไปกว่านั้นทักษะกระบี่ของข้าเป็นแค่ระดับสามเท่านั้น หวังว่าท่านทั้งหลายจะช่วยชี้แนะ”
ฉินเหลย เฟิงจี้สิง ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนและคนอื่นๆ ล้วนเป็นทหารระดับสูง อาวุธหลักส่วนใหญ่จึงเป็นอาวุธด้ามยาวที่ใช้บนหลังม้า อย่างพวกหอกยาว ดาบยาว แต่ทุกคนต่างจำเป็นที่จะต้องมีกระบี่ประจำตัว
เหล่าคนรับใช้จึงรีบขนย้ายโต๊ะที่อยู่ตรงกลางออกไป จนเหลือเป็นพื้นที่ว่าง
เฟิงจี้สิงพุ่งตัวออกมา พร้อมชักกระบี่ที่ส่องเป็นประกายออกจากเอว สะบัดกระบี่ร่ายรำหนึ่งกระบวน แล้วยิ้มกล่าวขึ้น “เข้ามาได้เลย ใครจะรับคำชี้แนะจากเพลงกระบี่กระจอกของผู้แซ่เฟิงก่อนดี”
ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนหัวเราะเสียงดัง แล้วลุกออกไป ค่อยๆ ชักดาบออกมา ประสานหมัดคำนับ “พี่เฟิง โปรดชี้แนะด้วย!”
“ฮึ!”
เฟิงจี้สิงชิงบุกก่อน ปราณยุทธ์แผ่ขึ้นมาบนกระบี่ วาดกระบี่ออกไปสามกระบวนท่าต่อเนื่อง เพลงกระบี่ของฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนค่อนข้างไปทางสายนุ่มนวล เขารับการชิงจู่โจมของเฟิงจี้สิงเบาๆ จากนั้นโจมตีกลับ เฟิงจี้สิงรีบตั้งรับอย่างรวดเร็ว เสียงดาบของทั้งสองปะทะกันมากกว่าเจ็ดครั้ง
ยังดีที่ทั้งสองไม่ได้ปล่อยปราณยุทธ์ออกมาเต็มที่ มิเช่นนั้นแค่ปราณกระบี่ก็คงจะทำลายที่นี่ให้กลายเป็นซากปรักหักพังได้
ฉู่เหยามองดูทั้งสองคนสู้กัน นางปรบมือแล้วยิ้ม “ท่านพี่ พยายามเข้า!”
เสียงหัวเราะของเฟิงจี้สิงดังลอยมา “เพลงกระบี่ของพี่ชายเจ้าห่วยขนาดนั้น จะพยายามยังไง!”
“เคร้ง!”
ท่ามกลางเสียงกระบี่ที่ดังขึ้น ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนยกกระบี่ขึ้นและถอยหลังอย่างรวดเร็ว เขาไถลออกไปหลายเมตรจนชนเข้ากับกำแพง ใบหน้าฉายแววตกตะลึง เงยหน้าแล้วยิ้ม “พี่เฟิง ข้าแพ้ท่านอีกแล้ว!”
เพลงดาบของเฟิงจี้สิงนั้นในแข็งมีอ่อน และเป็นเพราะพลังอันนุ่มนวลนี้เองที่โค่นฉู่ฮว๋ายเหมียนลงได้
“ตาข้าบ้างล่ะ!”
ฉินเหลยเป็นพวกคลั่งไคล้วิชายุทธ์ เขาชักกระบี่ออกแล้วพุ่งขึ้นหน้าชิงจู่โจมก่อน ชัดเจนว่าทักษะกระบี่ของเขาเหนือกว่าเฟิงจี้สิง มีหลักมีการพอตัว ผ่านไปหลายกระบวนท่าเฟิงจี้สิงรู้สึกถึงอันตรายหลายครา จึงรีบกระโดดออกจากสนามประลองอย่างรวดเร็ว ประสานมือคารวะแล้วกล่าว “ผู้บัญชาการฉินเหลยแกร่งกล้ายากจะต่อกร…ข้าน้อยได้รับการชี้แนะแล้ว…”
“อา แค่นี้เจ้าก็ยอมแพ้แล้วรึ” ฉินเหลยชะงัก หน้าตาเหมือนยังสู้ไม่สะใจ จึงเอ่ยด้วยความหงุดหงิด “ข้านึกว่าเพลงกระบี่ของเจ้าสองคนก้าวหน้าขึ้น นึกไม่ถึงว่าพวกเจ้าจะเกียจคร้าน ไม่ศึกษาวิชากระบี่เลยสักนิด”
เฟิงจี้สิงหัวเราะเสียงดัง “ข้าศึกษาเฉพาะเพลงดาบเฟิงสิง ไม่ใช่เพลงกระบี่เสียหน่อย”
ฉินเหลยกวาดสายตามองไปรอบๆ จนไปตกอยู่ที่หลินมู่อวี่ เขายิ้มเอ่ย “อาอวี่ เจ้าสะพายกระบี่อยู่ คงจะใช้กระบี่สินะ มาสิ มาประลองกับข้าสักสองสามเพลงเป็นอย่างไร”
“เอ๋?”
หลินมู่อวี่ตกใจ เขาไม่คิดมาก่อนตัวเองจะต้องออกโรงด้วย จึงรีบสั่นศีรษะ “อย่าดีกว่าขอรับ ข้าเป็นแค่ผู้ช่วยฝึกของวิหารศักดิ์สิทธิ์ แถมยังอยู่แค่ขอบเขตปฐพี จะไปสู้กับพวกขอบเขตนภาอย่างพวกท่านได้อย่างไรกัน…”
“อาอวี่!”
ฉินเหลยถลึงตาใส่ “เจ้าไม่คิดจะให้เกียรติข้าฉินเหลยเลยงั้นรึ”
ด้านข้าง ถังเสี่ยวซียื่นมือไปผลักแขนหลินมู่อวี่ ยิ้มพูด “มู่มู่เป็นยอดฝีมือเชียวนะ ท่านพี่ฉินเหลย ท่านก็ระวังด้วยละ เกิดท่านแพ้ขึ้นมา กองทหารอวี้หลินคงได้ขายหน้ายกกองเป็นแน่…”
ฉินเหลยดวงตาเบิกโพลง “อาอวี่!”
หลินมู่อวี่ถูกบังคับให้ทำเรื่องที่เกินกำลัง จึงได้แต่ลุกขึ้นยืน ก้าวเข้าสู่ลานประลอง แล้วถามย้ำว่า “ไม่ใช้วิญญาณยุทธ์ใช่ไหมขอรับ”
“ถูกต้อง ชักกระบี่เถอะ!”
“อืม!”
หลินมู่อวี่ยืนตระหง่านอยู่ที่เดิม ยกมือขวาวางในแนวนอนขวางหน้าอก กระแสลมหลายสายปรากฏขึ้น เสียง “ชิ้ง” ดังขึ้น กระบี่เหลียวหยวนที่สะพายหลังหลุดออกจากฝักเอง และถูกเขาเอื้อมมือจับไว้ บนด้ามกระบี่มีเปลวเพลิงหลายสายแผ่ออกมา
“เยี่ยม เป็นวิชากระบี่ที่ยอดมาก!”
ฉินเหลยอดรู้สึกสนใจขึ้นมาไม่ได้ เขาเคยพบเจอยอดฝีมือที่มีวิชาควบคุมกระบี่มาไม่น้อย แต่ไม่เคยพบใครที่มีลักษณะพลังแบบหลินมู่อวี่มาก่อน ขนาดว่าฉินอินยังต้องมองหลินมู่อวี่ตาค้าง นางไม่คิดมาก่อนว่าเด็กหนุ่มไร้ยางอายที่รักเงินเท่าชีวิตผู้นี้จะชักกระบี่ได้ไม่ธรรมดาแบบนี้!
“ข้าจะบุกละนะ!”
ฉินเหลยเปล่งเสียง จับกระบี่พุ่งออกไป ถึงแม้จะกระโดดเบาๆ แต่แสงจากกระบี่นั่นหมุนเคว้งฟาดฟันอย่างต่อเนื่องถึงสี่ครั้งติดต่อกันราวกับรูเล็ตต์ หลินมู่อวี่ถอยไม่ได้ สองมือจับกระบี่ขึ้นปัดป้อง รู้เพียงว่าแขนทั้งสองข้างถูกกระแทกใส่สี่ครั้งต่อเนื่องจนแขนแทบขาด หลังจากปัดป้องได้สำเร็จ ยังไม่ทันที่หลินมู่อวี่จะตั้งสติ ฉินเหลยก็ระเบิดเสียงดังขึ้น แล้วยกขาขึ้นเตะ
ต้องต้านไว้ให้อยู่ ไม่เช่นนั้นต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน!
หลินมู่อวี่ยกขาขึ้นอย่างรวดเร็ว ปะทะเข้ากับขาของฉินเหลยที่เตะเข้ามา ชัดเจนว่าปราณยุทธ์ของอีกฝ่ายแข็งแกร่งกว่า กระแทกจนหลินมู่อวี่ต้องถอยไปหลายก้าว แต่จังหวะที่ถูกกระแทกถอยหลังนั้น แสงอัสนีสายหนึ่งลอยอยู่บนมือขวาของเขา กระบี่เหลียวหยวนลอยขึ้นกลางอากาศ ใช้สายฟ้าบังคับกระบี่ระเบิดการโจมตี—อัสนีคลื่นคลั่ง!
“พรึ่บ!”
แสงอัสนีสีฟ้าอมม่วงห่อหุ้มกระบี่เหลียวหยวน พุ่งตรงเข้าโจมตีใส่ฉินเหลย หลินมู่อวี่ไม่ได้ใช้พลังทั้งหมด ใช้พลังเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น เขากลัวว่าจะไปทำร้ายฉินเหลยเข้าเหมือนกัน
“เฮ้ย?!”
ฉินเหลยตกตะลึง จึงรีบยกหมัดขึ้นมา สร้างเกราะปราณสามชั้นออกมาป้องกัน!
“เปรี้ยง!”
แสงอัสนีสาดออกไปทั่วสารทิศ ฉินเหลยประมาทพลังของหลินมู่อวี่ ถูกโจมตีจนถอยหลังไปหลายก้าว เขาหน้าแดงขึ้นมาทันที แผดเสียงต่ำแล้วชักนำปราณยุทธ์ปริมาณมหาศาลให้เข้าไปในกระบี่ จากนั้นจึงกระโจนตัวขึ้นโจมตีอีกคราจากด้านบน วัวบ้าตัวนี้ ตั้งใจจะใช้พละกำลังกำราบฝ่ายตรงข้าม
กระบวนท่านี้รุนแรงเกินไป ถึงขนาดที่ปราณยุทธ์อันหนาวเหน็บพัดจนหลินมู่อวี่ลืมตาแทบไม่ขึ้น
เขาแบมือออก สายลมอ่อนๆ ไร้เสียงก่อกำเนิดขึ้น นี่ก็คือขั้นตอนเริ่มต้นของการใช้ลมควบคุมกระบี่
“ย่าส์”
ตอนที่หลินมู่อวี่ยกมือขึ้น กระบี่เหลียวหยวนก็ลอยขึ้นมาราวกับมีชีวิต พัดพาลมพายุอันหนาวเหน็บส่วนหนึ่งออกไป อาวุธในมือของฉินเหลยเป็นกระบี่ที่ตีจากเหล็กธรรมดา เทียบไม่ได้กับกระบี่เหลียวหยวนที่เป็นกระบี่ระดับนิลขั้นที่ห้า กอปรกับพลังของวิญญาณกระบี่ เสียงหวีดแหลมดังขึ้น กระบวนท่าทลายวายุเข้าปะทะกับพายุรุนแรงของฉินเหลย!
“เปรี้ยง!”
เกิดเสียงกัมปนาทขึ้นอีกครั้ง พลังงานระเบิดออก ทั้งฉินอิน เฟิงจี้สิง ถังเสี่ยวซีและฉู่เหยาต่างมองตาค้าง
ใบหน้าฉินเหลยเผยความหวาดกลัว เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าทักษะการควบคุมกระบี่ของเด็กหนุ่มผู้นี้จะมีอานุภาพมากขนาดนี้ ไม่เหมือนการโจมตีที่อ่อนแอไร้พลังของผู้ใช้ทักษะควบคุมกระบี่เหล่านั้นที่เคยพบเจอมา
หลินมู่อวี่รู้สึกฮึกเหิมอยากจะสู้ต่อ เขาอยากเห็นอานุภาพของการใช้ธาตุทั้งสี่ควบคุมกระบี่ว่าทรงพลังขนาดไหนเหลือเกิน และฉินเหลยยอดฝีมือขั้นราชันย์สวรรค์ระดับที่เจ็ดสิบสองผู้นี้ก็เป็นคู่ซ้อมที่หาได้ยากยิ่ง!
“วิ้ง!”
กระบี่หวีดร้องแล้วหมุนเป็นเกลียว หลินมู่อวี่แบบมือทั้งสองข้างออก เปลวเพลิงร้อนแรงหลายสายเชื่อมกับกระบี่เหลียวหยวน เพียงแต่การโจมตีครั้งนี้เขาไม่ได้ใช้แก่นเพลิงมังกร ใช้เพียงไฟธรรมดาเท่านั้น กระบี่ส่งเสียงหวีดแหลมขึ้นมา เปลวเพลิงหมุนเป็นเกลียววนรอบกระบี่ พุ่งเข้าใส่ฉินเหลยราวกับลูกศรคมกริบ!
ฉินเหลยหวาดผวา รู้สึกได้ว่าตนเองจะต้านกระบี่นี้ไว้ไม่อยู่!
“ย้าก!”
เท้าเขาจิกพื้นสุดแรง ท่ามกลางเสียงสะเทือนนั้น โซ่สีทองหลายเส้นลอยปรากฏขึ้นรอบกาย นั่นคือวิญญาณยุทธ์โซ่เทวะของเขานั่นเอง!
……
“ท่านพี่ฉินเหลย!”
ฉินอินลุกพรวดขึ้น แววตาเต็มไปด้วยความกังวล โซ่เทวะเป็นวิญญาณยุทธ์อันดับหนึ่งที่มีพลังทำลายล้างสูงสุดในใต้หล้า นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น หากพลาดพลั้งไปเพียงเล็กน้อยอาจทำให้คู่ต่อสู้ของฉินเหลยจบชีวิตได้ และหลินมู่อวี่ก็เคบช่วยชีวิตตนเองไว้ จะให้เขามาตายต่อหน้าตนเช่นนี้ ฉินอินทนไม่ได้
“เปรี้ยง!”
เปลวเพลิงระเบิดขึ้น การหมุนเกลียวของการใช้อัคคีควบคุมกระบี่ปะทะและทำลายโซ่ตรวนเทวะ ฉินเหลยถอยหลังกรูด เลือดลมปั่นป่วน รู้สึกฮึกเหิมขึ้นมา เขาไม่สนคำห้ามปรามของฉินอิน สะบัดกระบี่ โซ่เทวะพันรอบกระบี่และพุ่งเข้าใส่หลินมู่อวี่
สองเท้ายืนอย่างมั่นคง ปราณจำนวนมหาศาลทะลักออกมา หลินมู่อวี่เรียกปราการเกล็ดมังกรและกระดองเต่าทมิฬออกมาด้วยความเร็วสุดขีด ขณะเดียวกันสองมือก็ใช้ทักษะอัคคีบังคับกระบี่เหลียวหยวนที่กระดอนกลับมาใหม่ แก่นเพลิงมังกรไหลเวียนรอบกระบี่อย่างรวดเร็ว ในเมื่อแก่นเพลิงมังกรทำร้ายผู้คนได้ง่าย เช่นนั้นก็ใช้มันในการป้องกันน่าจะค่อนข้างปลอดภัยล่ะนะ
“ตูม!”
เกิดเสียงดังสนั่น ราวกับว่าชั้นเจ็ดของหอสดับพิรุณจะพังทลายลงมา
“ครืนนน…”
หลินมู่อวี่คุกเข่าข้างเดียวลงพื้น อ้าปากหอบหายใจแรง ปราการเกล็ดมังกรและกระดองเต่าทมิฬถูกระเบิดกระจุย ใช้พยุงตัวด้วยกระบี่เหลียวหยวนอยู่บนพื้น หากไม่ใช่เพราะมีแก่นเพลิงมังกรคุ้มครอง ตนเองคงถูกฆ่าทิ้งแล้ว!
ฉินเหลยกลับจับกระบี่ ยืนหน้าซีดอยู่ตรงนั้น วิญญาณยุทธ์โซ่เทวะของเขาแตกละเอียดอย่างไม่น่าเชื่อเพราะการโจมตีเมื่อครู่ วิญญาณยุทธ์เสียหายร่างกายจึงบาดเจ็บไปด้วย ฉินเหลยกระอักเลือด เงยหน้ามองหลินมู่อวี่ แสยะยิ้มก่อนเอ่ยว่า “อาอวี่ เพลงกระบี่และการป้องกันของเจ้ายอดเยี่ยมมาก…ฮ่า ฮ่า สะใจ! สะใจจริงๆ ! เรามาสู้กันอีกเถอะ”
หลินมู่อวี่ไม่ได้เงยหน้าขึ้น แต่กลับยกมือซ้ายขึ้นโบกไปมา “พี่ฉินเหลย ไม่สู้แล้ว ข้ายอมแพ้…”
เลือดลมในร่างกายปั่นป่วน เขาไม่เหลือพลังที่จะต่อสู้แล้วจริงๆ
……
ถังเสี่ยวซีสาวเท้าเข้ามาอย่างรวดเร็ว ประคองหลินมู่อวี่ไว้ “ไม่เป็นไรใช่ไหม”
ฉู่เหยาก็ตามมาด้วย นางจับชีพจรหลินมู่อวี่ แล้วยิ้มออกมา “ไม่เป็นอะไร แค่วิญญาณยุทธ์ได้รับบาดเจ็บเท่านั้น”
ฉินอินมองฉินเหลยด้วยสายตาตำหนิ ก่อนตรัสขึ้น “พี่ฉินเหลย ท่านบุ่มบ่ามเกินไป ไม่อยากจะเชื่อว่าจะใช้โซ่เทวะเจ็ดชั้นทำร้ายอาอวี่ หากไม่ใช่เพราะพลังของเขาล้ำลึกละก็ เกรงว่าคงจะ…”
ใบหน้าฉินเหลยมีแต่คำขอโทษ “ข้า…ข้าผิดไปแล้ว เสี่ยวอินอย่าโกรธเลย ข้า…”
“ไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ นั่งลงแล้วปรับลมหายใจรักษาอาการบาดเจ็บภายในเถอะ”
“อืม”
……
เฟิงจี้สิงยกจอกสุราขึ้น ก่อนยิ้มเอ่ย “อาอวี่ วิชาควบคุมกระบี่ของเจ้าเรียนมาจากสำนักไหนรึ”
“จากผู้เฒ่าลึกลับผู้หนึ่งขอรับ…”
“หืม?” เฟิงจี้สิงรู้ว่าเขาไม่อยากบอก จึงยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น “ในเมื่ออาอวี่มีเพลงกระบี่ที่ยอดขนาดนี้ ถ้าไม่เข้าร่วมงานประลองกระบี่ที่จัดขึ้นทุกสามปีก็ออกจะน่าเสียดายเกินไป!”
“งานประลองกระบี่หรือ”
“ถูกต้อง ทุกๆ สามปีเมืองหลวงจะจัดงานประลองกระบี่ครั้งใหญ่ขึ้นหนึ่งครั้ง ผู้ที่ได้อันดับหนึ่งจะได้รับการแต่งตั้งเป็นองครักษ์อวี้หลินเชียวนะ แล้วยังจะได้รับเกียรติเข้าเฝ้าฝ่าบาทอีกด้วย!”
พูดจบ เฟิงจี้สิงก็ทุบหน้าอกตัวเองก่อนหัวเราะขึ้น “ข้าฝีมือต่ำต้อย เป็นแค่ผู้ชนะงานประลองกระบี่เมื่อสามปีก่อน! ตอนนั้นข้าก็ได้รับฉายา ‘พยัคฆ์แห่งถนนทงเทียน’ ด้วยนะ…”
“พยัคฆ์แห่งถนนทงเทียนหรือ”
ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนหัวเราะอยู่ข้างๆ “ความหมายก็คือตอนนั้นเขาถือดาบเยินๆ ไล่ฟันตั้งแต่ถนนทงเทียนฝั่งตะวันออกไปยังฝั่งตะวันตกน่ะสิ วันๆ เอาแต่สู้กับเหล่าอันธพาลและกลุ่มอิทธิพลท้องถิ่น ไม่มีใครสู้เขาได้ เฮ้อ…โลกนี้ช่างไม่ยุติธรรม คนแบบนี้ดันมาเป็นเป็นผู้บัญชาการกองทหารรักษาพระองค์เสียได้”
เฟิงจี้สิงถลึงตาใส่เขา “ขี้เหร่อย่างเจ้าไม่ต้องพูดมากน่ะ!”
ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน “……”