The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา - EP.111 ฟาร์มเวลในป่าล่ามังกร 3
“ซี่ ซี่…”
เปลวเพลิงอยู่รอบหัวของสัตว์ขนาดยักษ์ตัวหนึ่งที่หน้าตาคล้ายกิ้งก่า ดวงตาตะกละตะกลามสีเลือดคู่หนึ่งจ้องมองกองไฟที่พลิ้วไหว โดยธรรมชาติของสัตว์ป่านั้นจะกลัวไฟ ดังนั้นมันจึงมีความหวาดกลัวต่อกองไฟอยู่บ้าง เพียงแต่ชายหนุ่มหล่อเหลาสวมชุดเกราะที่ยืนอยู่หลังกองไฟกลับทำให้มันน้ำลายไหล ถ้าไม่ได้กินมนุษย์ผู้นี้ลงไป กิ้งก่าตัวนี้คงไม่สบายใจเป็นแน่
ฉินเหลยถือดาบเดินออกมาจากถ้ำ เห็นเจ้าสัตว์วิญญาณที่แอบอยู่ในพุ่มไม้มาแต่ไกล จึงหัวเราะเบาๆ “มีเส้นไฟสีทองสามเส้น สีเงินสี่เส้นบนศีรษะ เป็นกิ้งก่าไฟอายุสามพันสี่ร้อยปี สัตว์วิญญาณชนิดนี้พบมากในป่าล่ามังกร แต่นี่มีอายุถึงสามพันสี่ร้อยปีก็เหมาะให้เสี่ยวซีใช้ทะลวงขั้นพลังอย่างมาก”
ฉินอินสวมเสื้อคลุมเดินออกมาจากถ้ำ ใบหน้างดงามภายใต้แสงจันทร์ยิ่งดูน่าหลงใหล นางแย้มพระโอษฐ์เล็กน้อย “สัตว์วิญญาณอายุสามพันสี่ร้อยปี ไม่จำเป็นต้องให้ข้าและเสี่ยวซีลงมือแล้วล่ะ อาอวี่กับพี่ฉินเหลยรีบจัดการมันเถอะ เสี่ยวซีหลอมวิญญาณสัตว์เสร็จ พวกเรายังจะได้พักผ่อนกันต่ออีกหน่อย รีบเข้าเถอะ…”
ฉินเหลยถือดาบอัสนีทลายก้าวขึ้นไป แววตาเหมือนกับกำลังมองสัตว์ตัวหนึ่งที่ติดกับดักของนายพราน แล้วยิ้มพูด “อาอวี่ หากพวกเราไม่ออกห่างจากกองไฟก็ไม่อาจล่อมันให้โจมตีได้ ไปกันเถอะ เราสองคนออกไปจัดการมัน รีบจัดการให้เสร็จๆ”
“ตกลง!”
ความจริงหลินมู่อวี่ไม่ได้เห็นกิ้งก่าไฟตัวนี้อยู่ในสายตาเลย ตอนที่เขากับฉู่เหยาหลบหนีอยู่ในป่าสัตตะดาราเคยสังหารกิ้งก่าไฟมาก่อน ถึงแม้อายุของมันจะแค่พันเจ็ดร้อยปี ตอนนั้นพลังของตนยังต่ำอยู่ แต่ตอนนี้ไม่เหมือนตอนนั้นแล้ว เขามีวิชาจตุธาตุควบคุมกระบี่และแก่นเพลิงมังกรแล้ว ไม่จำเป็นต้องใส่ใจเจ้าสัตว์วิญญาณอายุสามพันสี่ร้อยปีตัวนี้เลยแม้แต่น้อย
เขาจับกระบี่พุ่งออกไปแล้วยิ้มพูด “พี่ฉินเหลย มาดูกันว่าเราสองคนใครจะสังหารกิ้งก่าตัวนี้ได้ก่อนกัน!”
ฉินเหลยถือดาบพุ่งเข้าไป หัวเราะด่า “เจ้าบ้านี่ไม่บอกกันก่อน เจ้าวิ่งเร็วขนาดนั้น ข้าจะตามทันได้อย่างไรกันล่ะ!
……
“ซี่ ซี่…”
กิ้งก่าไฟมองคนสองคนที่พุ่งเข้ามา รีบแลบลิ้นแล้วกระโจนเข้ามาอย่างรวดเร็ว มันเคลื่อนไหวว่องไวมาก เพียงแต่มันประมาทพลังของชายหนุ่มตรงหน้าเกินไป
“ฟิ้ว!”
กระบี่เหลียวหยวนพุ่งออกไปอย่างเร็ว กระบี่ห่อหุ้มด้วยแสงอัสนีอันหนาแน่น หลินมู่อวี่ใช้อัสนีคลื่นคลั่งโจมตีทักทาย
“เปรี้ยง!”
ประกายไฟกระจายออกรอบทิศ เปลวไฟที่กิ้งก่าพ่นออกไปถูกกระบี่เหลียวหยวนแทงฝ่าทะลุเข้ามา คมกระบี่แทงเข้าที่ขากรรไกรบนของกิ้งก่า ฝากรูใหญ่ๆ ไว้หนึ่งรู เพียงแต่ไม่ได้แทงโดนสมองของมัน มิเช่นนั้นเจ้ากิ้งก่าไฟตัวนี้ต้องตายคาอย่างที่แน่นอน หลินมู่อวี่กางฝ่ามือแล้วชูขึ้น โซ่อัสนีหลายสายพุ่งทะยานขึ้นท้องฟ้า ควบคุมกระบี่เหลียวหยวนให้จู่โจมจากกลางอากาศ!
“โฮกกก!”
กิ้งก่าไฟคำรามอย่างเกรี้ยวกราด พยายามจะโจมตีกลับ แต่ก็ถูกหลินมู่อวี่ใช้หมัดเสียงปีศาจซัดเข้าใส่ดวงตาของมันทันที มันร้องโหยหวนแล้วถอยออกไป จังหวะนั้นเองหางของมันกระตุกอย่างแรง กระบี่เหลียวหยวนพุ่งลงมาตามลม แทงทะลุหางของกิ้งก่าอัคคี ตรึงหางของมันไว้กับก้อนหิน คราวนี้จะหนีก็หนีไม่พ้นแล้ว
ฉินเหลยหัวเราะฮ่า กระโจนตัวขึ้นกลางอากาศ ยกดาบอัสนีทลายขึ้น สายฟ้าไหลเวียนอยู่รอบดาบอัสนีทลาย การโจมตีที่รุนแรงกึกก้องนี้คงจะเป็นกระบวนท่าเด็ดของฉินเหลยกระมัง
“อัสนีกัมปนาท!”
“ฉัวะ” การโจมตีเดียว เลือดสาดกระเซ็น ทักษะดาบของฉินเหลยนั้นรุนแรง ไม่น่าเชื่อว่าจะฟันคอกิ้งก่าไฟขาดในดาบเดียว ไม่เพียงเท่านี้ ร่างของเขาเต็มด้วยพลังลมที่เย็นยะเยือก และจู่ๆ ก็จับดาบฟาดไปข้างหน้าทันที พร้อมเสียงตะโกนว่า “มังกรพิฆาต!”
เลือดเนื้อกระจุยกระจาย ฉากสังหารตรงหน้าไม่เหมาะสำหรับเด็กอยู่บ้าง กิ้งก่าไฟถูกฉินเหลยฟันจนกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย คลับคล้ายคลับคลาว่าได้ยินเสียงร้องของมังกรเบาๆ ในตัวของฉินเหลยจะต้องมีพลังมังกรอยู่เป็นแน่ มิเช่นนั้นพลังทำลายล้างของเขาคงจะไม่รุนแรงถึงขนาดนี้
“หมับ!”
หลินมู่อวี่คว้ากระบี่เหลียวหยวนที่บินหมุนกลับมาแล้วกล่าว “พี่ฉินเหลย ท่านอย่าฟันอีกเลย เจ้ากิ้งก่าไฟเละกระจุยเป็นชิ้นๆ แล้ว เดี๋ยวเสี่ยวซีจะหลอมวิญญาณสัตว์ยังไงล่ะ”
“อ่า จริงด้วย…” ฉินเหลยผู้คลั่งยุทธ์จึงรีบเก็บดาบ ยิ้มแหะๆ “องค์หญิงซี ดูดซับวิญญาณสัตว์ได้แล้วขอรับ สัตว์วิญญาณสามพันสี่ร้อยปีตัวนี้น่าจะเพียงพอทำให้ท่านทะลวงระดับได้!”
ถังเสี่ยวซีมองกองเลือดที่อยู่เต็มพื้น รู้สึกพูดไม่ออก แต่ก็ยังเหยียบกองเลือดของสัตว์วิญญาณแล้วเข้าไปยืนตรงนั้น ปล่อยวิญญาณยุทธ์จิ้งจอกอัคคีออกมาเริ่มหลอมวิญญาณสัตว์
หลินมู่อวี่ประคองกระบี่ไปยืนคุ้มกันอยู่ด้านข้าง เมื่อถังเสี่ยวซีเข้าถึงขั้นตอนที่สำคัญก็ปลดปล่อยติ่งหลอมอาวุธออกมาเงียบๆ ทันใดนั้นเปลวเพลิงก็ล้อมทั้งสองคนไว้ ฉินอิน ฉินเหลยไม่ได้พูดอะไร เพราะรู้ว่าหลินมู่อวี่กำลังช่วยถังเสี่ยวซีหลอมแก่นวิญญาณสัตว์อยู่ ขั้นตอนนี้ไม่นานมาก ไม่ถึงยี่สิบนาทีก็เสร็จเรียบร้อย
“ฟู่ว…”
หลินมู่อวี่เป่าปาก เก็บติ่งหลอมอาวุธ แววตาเป็นประกาย มองพื้นที่รกร้างอันอุดมสมบูรณ์ แล้วยิ้มกล่าว “เสี่ยวซีหลอมทักษะของกิ้งก่าไฟของตัวนี้มาได้แล้ว!”
ฉินอินยิ้มบางๆ “จริงหรือ”
“อืม”
ถังเสี่ยวซีก็ลืมตาคู่งามที่ส่องประกายวิบวับ แล้วยิ้มพูด “โชคดีที่มู่มู่เข้ามาช่วย ข้ารู้สึกถึงพลังของเขาช่วยข้าควบคุมแก่นวิญญาณของกิ้งก่าไฟไว้ ไม่งั้นแค่พลังของข้าก็ไม่อาจจะจัดการมันได้หรอก…”
ฉินเหลยรู้สึกแปลกใจ “อาอวี่ เจ้าใช้วิธีอันใดช่วยฝ่าบาทและองค์หญิงซีหลอมแก่นวิญญาณสัตว์กันแน่ เท่าที่ข้ารู้ การหลอมแก่นวิญญาณสัตว์นั้นมีโอกาสอัตราการดูดซับทักษะได้ไม่เกินสามส่วน เจ้าทำได้อย่างไรกัน”
หลินมู่อวี่ถูจมูกไปมา แล้วยิ้มกล่าว “ความลับบางอย่างก็เป็นของข้าคนเดียว พี่ฉินเหลยท่านอย่าถามเลย ท่านรู้เพียงว่ายังไงชีวิตนี้ข้าก็ไม่ทำร้ายพวกท่านก็พอแล้ว!”
ฉินเหลยอดยิ้มไม่ได้ “เช่นนั้นก็ได้ ในเมื่ออาอวี่ไม่อยากบอก พวกเราก็อย่าถามเลย กลับไปพักกันต่อเถอะ อีกหนึ่งวันก็น่าจะเข้าเขตสุสานมังกรแล้ว สัตว์วิญญาณบริเวณนี้มากขึ้นเรื่อยๆ พวกเราต้องระมัดระวังกันหน่อย”
“อืม”
หลินมู่อวี่พยักหน้า หลังจากคนอื่นเข้านอนกันแล้ว เขาก็ยังคงกอดกระบี่เหลียวหยวนมองท้องฟ้า ทางช้างเผือกทอประกาย ว่ากันว่าบนท้องฟ้าจะมีดาวหนึ่งดวงที่เป็นของเรา แต่ดาวดวงไหนกันที่เป็นของเขา ดินแดนอันกว้างใหญ่แห่งนี้ถูกผู้คนขนานนามว่า “ดินแดนชุ่ยติ่ง” อาณาจักรมนุษย์หนึ่งเดียวมีชื่อว่า “อาณาจักรฉิน” เพราะมีคนของตระกูลฉินที่มีสายเลือดของมังกรที่แท้จริงปกครองอยู่ แล้วตนเองมาอยู่ที่นี่มีความหมายอะไรอย่างนั้นหรือ
แต่ว่าผ่านเหตุการณ์มามากมายขนาดนี้ จะไม่รู้สักนิดเลยจริงๆ หรือ
ทุกคืนเขาสะดุ้งตื่นจากฝันร้าย เป็นเพราะอะไรกัน
นึกถึงเซียงเซียง หญิงสาวผู้ที่เลือกความตายเพื่อปกป้องเขา นางอ่อนแออย่างนั้นหรือ ก็ไม่ ความจริงแล้วนางกล้าหาญมาก
นึกถึงฉู่เฟิง ที่มีชีวิตเพื่อปกป้องฉู่เหยา แต่สุดท้ายกลับต้องตายด้วยน้ำมือของคนชั่ว เขาโง่เขลาหรือ ก็ไม่ ความจริงแล้วเขานั้นยืนหยัดมั่นคงมาก
นึกถึงถั่วงอกน้อย ฉินจื่อหลิง พวกคนที่อ่อนแอที่กำลังดิ้นรนเพื่อชีวิต พวกเขาน่าเศร้าหรือ ก็ไม่ แท้จริงแล้วพวกเขาพยายามสุดกำลังแล้วต่างหาก
นึกถึงจางเหว่ย บุรุษกระดูกเหล็กที่ตอนนี้กลายเป็นคนพิการ
นึกถึงถังเสี่ยวซี เสี่ยวซีที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสาเพื่อตัวเขาแล้วนางไม่เกรงกลัวอันตรายใดๆ
นึกถึงฉินอิน องค์หญิงผู้งดงามที่เชื่อและไว้วางใจในตัวเขา
นึกถึงสหายอย่างเฟิงจี้สิง ฉินเหลย และฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน
ดูเหมือนจะไม่ทันได้รู้ตัว เขาก็พบเหตุผลที่จะต่อสู้ฟันฝ่าต่อไปในโลกแห่งนี้ได้แล้ว
……
ยามรุ่งอรุณมาถึง แสงสีทองตกลงใบหน้าของหลินมู่อวี่ เขาไม่รู้ว่าเผลอหลับไปเมื่อไร ในมือเขายังจับกระบี่เหลียวหยวนไว้ ศีรษะหันไปด้านข้างเล็กน้อย รักษาท่าเตรียมป้องกันเอาไว้ แต่สุดท้ายก็หลับจนได้
ฉินอินถือกระบี่งามอย่างระมัดระวัง คุกเข่าลงข้างหลินมู่อวี่ เอียงพระพักตร์มองใบหน้ายามนิทราของเขา ท่าทางสนอกสนใจ แต่กลับทำใจปลุกเขาตื่นไม่ได้ นางรู้ว่าเมื่อคืนหลินมู่อวี่คงหลับไปได้ไม่นานมาก หลังจากฟ้าสว่างแล้วเขาถึงหลับ แม้แต่ฉินเหลยยังกรนออกมา แต่เขากลับไม่มีเสียงกรน คงเฝ้าระวังอยู่ตลอดทั้งคืน
ช่วงเช้าของปลายฤดูใบไม้ร่วงนั้นเย็นมาก ถังเสี่ยวซีกระชับเสื้อคลุมแน่น เงยหน้ายิ้ม
ฉินอินกลับทำพระหัตถ์ให้ลดเสียงลง แล้วตรัสเบาๆ “เงียบๆ หน่อย ให้เขานอนอีกสักครู่เถอะ!”
“อือ”
ถังเสี่ยวซียิ้มน้อยๆ เปิดย่ามแล้วค้นหาเนื้อสุกออกมา จากนั้นเรียกวิญญาณยุทธ์จิ้งจอกอัคคีมาจุดกองไฟอย่างระมัดระวัง ในระหว่างที่น้ำในหม้อเดือด ก็นำเนื้อสุกที่หั่นไว้โยนลงไป อยู่ในป่าไม่มีของกินดีๆ แค่น้ำแกงเนื้อร้อนๆ หนึ่งหม้อก็มีความสุขแล้ว
กลิ่นหอมของเนื้อก็ฟุ้งกระจายไปทั่วพร้อมกับเสียงเดือดปุดๆ ของน้ำแกง
หลินมู่อวี่อดทำจมูกฟุดฟิดไม่ได้ ท้องที่ว่างเปล่าของเขาหิวโหยมานานแล้ว แต่เมื่อลืมตาขึ้นกลับพบฉินอินยิ้มมองตนเองอยู่ จึงหน้าแดงขึ้น “องค์หญิง หน้ากระหม่อมมีแมลงหรือ”
“เปล่าสักหน่อย…” กลับเป็นฉินอินที่หน้าแดงเอง “อาอวี่ รีบลุกมากินข้าวเร็ว”
“อือ”
……
ถึงแม้ว่าจะหลับไปเพียงชั่วครู่ แต่หลินมู่อวี่กลับรู้สึกว่าปราณในชีพจรกลับมาเต็มเปี่ยมอีกครั้ง กลับคืนสู่สภาพปกติ พร้อมรับการท้าทายทุกสิ่ง
ถังเสี่ยวซีตักน้ำแกงเนื้อส่งให้เขา หลังจากทานน้ำแกงเนื้อลงไปแล้วรู้สึกเหมือนยังไม่อิ่มดี จึงกินอีกถ้วย ทำเอาถังเสี่ยวซีและฉินอินรู้สึกเคอะเขินอยู่บ้าง ที่ต้องการให้พวกเขากินเยอะหน่อย เพราะหลินมู่อวี่และฉินเหลยต่างเป็นพวกกระเพาะยักษ์ สรุปคือองค์หญิงฉินอินและองค์หญิงเสี่ยวซีกินไปแค่คนละครึ่งถ้วย
“ทำไมไม่เสวยเยอะอีกหน่อย” หลินมู่อวี่ถาม “ทรงลดความอ้วนอยู่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
ฉินอินไม่ค่อยเข้าใจความหมายของ “ลดความอ้วน” จึงตรัสขึ้น “ผู้หญิงในจักรวรรดิปกติจะกินให้อิ่มแค่ห้าส่วนเท่านั้น ถึงจะรักษารูปร่างที่งดงามได้ นางกำนัลในวังสอนข้าเรื่องนี้มาตั้งแต่ยังเล็ก”
หลินมู่อวี่สูดจมูก คิดในใจว่าคำพูดนี้ของฉินอินเพียงพอที่จะทำให้พวกผู้หญิงกินจุในยุคปัจจุบันอับอายได้
ด้านข้าง ฉินเหลยที่กินอิ่มแล้วก็ถือดาบอัสนีทลายขึ้น ยิ้มกล่าว “วันนี้พวกเราจะเข้าเขตสุสานมังกรกันแล้ว อย่างน้อยเครื่องหมายบนแผนที่ก็ระบุไว้แบบนั้น อาอวี่ สัตว์วิญญาณตัวต่อไปก็เป็นของเจ้าแล้วล่ะ!”
หลินมู่อวี่พูดด้วยความคับแค้นใจ “งั้นพี่ฉินเหลยต้องรับปากว่าจะไม่ฟันมั่วซั่วอีก อย่างน้อยก็ต้องรับปากว่าจะเหลือศิลาวิญญาณไว้ในสภาพสมบูรณ์ ไม่เช่นนั้นเดี๋ยวก็เหมือนกับกิ้งก่าไฟ ที่แม้แต่ศิลาวิญญาณก็ถูกท่านทำลายซะเละ”
“ฮ่า ข้าจะระวัง ดีที่เจ้าเตือนข้าไว้ก่อน!”
ความจริงศิลาวิญญาณใช้เหรียญทองก็หาซื้อได้แล้ว ดังนั้นพวกชนชั้นสูงอย่างฉินอิน ฉินเหลย ถังเสี่ยวซีจึงไม่ได้สนใจศิลาวิญญาณ เพราะศิลาวิญญาณเก็บกักพลังวิญญาณของสัตว์วิญญาณได้แค่ห้าสิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น แต่วิญญาณสัตว์ที่มีพลังวิญญาณหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์นั้นถึงจะเป็นสิ่งล้ำค่าในการฝึกพลังที่ฉินอินและถังเสี่ยวซีสนใจ
แต่หลินมู่อวี่ไม่เหมือนกัน ศิลาวิญญาณสำหรับเขาหมายถึงวิญญาณสัตว์ที่ใช้หลอมอาวุธ เป็นเงินเป็นทองทั้งนั้น! บนโลกนี้ตัวเขาเป็นแค่คนธรรมดา ถึงขั้นจนสุดๆ ต้องกินต้องอยู่อย่างมัธยัสถ์ ต้องพยายามอย่างหนัก ปกป้องแผ่นดิน ต้องอ่อนน้อมถ่อมตน รอบคอบ มองการณ์ไกล ทำความดี ไม่รังแกคนจน เป็นผู้ช่วยฝึกแห่งวิหารศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่ง เป็นต้น…