The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา - EP.118 วันฝึกทหาร
EP.118 วันฝึกทหาร
พริบตาเดียวก็ผ่านไปแล้วสี่วัน ทุกอย่างดูเงียบสงบเหมือนปกติ หลังจากที่ชางไป๋เฮ่อหายสาบสูญไปในป่าล่ามังกรก็ไม่ได้ปรากฏตัวมาให้เห็นอีกเลย เขาคงจะหวาดกลัวมากเช่นกัน หากเขาเข้ามายังเมืองหลันเยี่ยนก็จะพบเจอกับชวีฉู่ เหลยหง และคนอื่นๆ ตามไล่ล่าสังหาร ชางไป๋เฮ่อถูกพลังเจ็ดประทีปของหลินมู่อวี่โจมตีจนกระดูกซี่โครงหัก ในระยะเวลาอันสั้นนี้ไม่มีทางรักษาให้หายได้ นั่นย่อมทำให้เขาไม่กล้าที่จะหาเรื่องใส่ตัวเป็นธรรมดา
ช่วงเช้าตรู่ ภายในวิหารมีเสียง “เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง” ดังลอยออกมา จางเหว่ยสามารถลุกจากเตียงได้แล้ว เขาร่ายรำเพลงหมัดกระชากวิญญาณน่าเกรงขาม ถึงแม้จะยังไม่สามารถฟื้นพลังกลับมาได้อย่างเต็มที่ แต่อย่างน้อยพลังก็กลับมาเจ็ดส่วนแล้ว
หลินมู่อวี่ในชุดศึกของวิหารเดินเข้ามา แล้วยิ้ม “ยินดีด้วยจางเหว่ย เจ้าไม่เป็นอะไรแล้ว”
จางเหว่ยหยุดฝึกเพลงหมัดทันที เขายืนตัวตรงทำความเคารพหลินมู่อวี่ตามแบบฉบับของทหาร “บุญคุณของท่านหลินจื้อที่ทำให้ข้าได้เกิดใหม่อีกครั้ง จางเหว่ยจะจดจำไว้ในใจตลอดไป ชีวิตนี้ของข้าจางเหว่ย ครึ่งหนึ่งเป็นของท่านหลินจื้อ!”
“ไม่ต้องเกรงใจหรอก” หลินมู่อวี่ตบบ่าจางเหว่ยแล้วพูด “คนของจวนเสินโหวไม่ปล่อยพวกเราไปง่ายๆ แน่ ดังนั้นท่านจะต้องรีบฟื้นฟูพละกำลังโดยเร็ว มิเช่นนั้นพวกเราได้เสียเปรียบอีกแน่”
“ขอรับ!”
ในตอนนี้เอง เกอหยางก็เดินเข้ามา เอ่ยขึ้น “พรุ่งนี้เป็นวันฝึกทหารแล้ว พวกเจ้าเตรียมตัวหน่อยก็แล้ว หลินจื้อ นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าจะได้เข้าร่วมวันฝึกทหาร จางเหว่ยจะเป็นคนแจงรายละเอียดให้เจ้ารู้!”
“วันฝึกทหาร คืออะไรหรือ” หลินมู่อวี่ประหลาดใจ
จางเหว่ยยิ้มน้อยๆ อธิบายอย่างใจเย็น “ท่านหลินจื้อ ท่านอยู่ที่วิหารมานานแล้วน่าจะรู้แล้วว่า วิหารเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของเหล่าผู้ฝึกยุทธ์แห่งจักรวรรดิ มีหน้าที่อันยิ่งใหญ่สองประการ ประการแรกคือแสวงหาอัจฉริยะด้านการต่อสู้ในจักรวรรดิ อีกประการหนึ่งคือฝึกฝนและสร้างนักเรียนทหารชั้นยอด สถานที่กำเนิดผู้แข็งแกร่งแห่งจักรวรรดิก็คือวิทยาลัยแห่งนี้ และที่เมืองหลวงนี้ก็มี “วิทยาลัยเทพสงคราม” ที่แข็งแกร่งที่สุด อัจฉริยะทางทหารจำนวนมากล้วนจบจากวิทยาลัยเทพสงครามแห่งนี้ วิหารของเรารับหน้าที่ส่งกลุ่มครูฝึกกับผู้ช่วยฝึกไปยังวิทยาลัยเทพสงครามทุกเดือน เพื่อทำการฝึกสอนนักเรียน สั่งสอนพวกเขาให้มีทักษะและประสบการณ์การต่อสู้ที่ยอดเยี่ยม”
“แบบนี้นี่เอง…ข้าก็ต้องไปด้วยหรือ”
“แน่นอน ท่านเป็นผู้ช่วยฝึกที่แข็งแกร่งที่สุดของวิหาร หากท่านไม่ไป เกรงว่าหลังจากวันฝึกทหารนี้ ผู้ช่วยฝึกของเราคงถูกอัดน่วมจนเดินไม่ได้เป็นแน่”
หลินมู่อวี่ขมวดคิ้วทันที “จางเหว่ย อารมณ์โมโหรุนแรงของท่านนี่สมควรจะเปลี่ยนได้แล้ว ตอนฝึกก็อย่าซ้อมจนผู้ช่วยฝึกเป็นอัมพาตไปครึ่งตัวอีกรู้หรือเปล่า”
จางเหว่ยเกาท้ายทอย ยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน “ข้าจะพยายามระวังแล้วกัน ท่านหลินจื้อวางใจเถอะ!”
“อือ”
เกอหยางที่อยู่ด้านข้างยิ้มออกมา “วันฝึกทหารครั้งนี้ค่อนข้างพิเศษ ว่ากันว่าผู้บัญชาการทหารจำนวนมากจะมาร่วมงานด้วยตัวเอง เพื่อเฟ้นหานักเรียนที่กำลังจะจบการศึกษาฝีมือดีเข้าร่วมกองทัพ ดังนั้นเจ้าต้องทำตัวให้ดีหน่อย…นอกจากนี้ยังต้องระวังรักษาตัวเองให้ดีด้วย”
จางเหว่ยประสานหมัดคำนับ “รับทราบขอรับ ผู้ดูแลเกอหยาง”
ขณะที่พูด สายตาของจางเหว่ยก็ทอประกายเย็นเยียบ “คนของจวนเสินโหวในวิหาร นอกจากเจิ้งฟางกับโอวหยางชิวแล้ว ยังมีพวกลิ่วล้ออีกจำนวนหนึ่ง พวกนี้คือคนที่พวกเราต้องระวัง”
“ยังมีใครอีกหรือ”
“ครูฝึกระดับดาวสีเงินเติ้งจื่อหลิน ครูฝึกระดับดาวสีทองสวีฟ่าง แต่ที่น่ากลัวที่สุดคงจะเป็น…”
“ใครหรือขอรับ”
จางเหว่ยตาเป็นประกาย “คนผู้นี้ปกติจะเข้าร่วมการฝึกซ้อมน้อยมาก แต่เขาเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาครูฝึกระดับดาวสีทองทั้งหมด คนผู้นี้ถูกขนานนามว่ามือทวนอันดับหนึ่งแห่งวิหาร นามว่าจ้าวจิ้น ว่ากันว่าเมื่อหลายวันก่อนเขาได้เข้าสู่ระดับเจ็ดสิบแล้ว กลายเป็นครูฝึกระดับดาวสีทองที่มีความแข็งแกร่งขั้นราชันย์สวรรค์ ครูฝึกระดับราชันย์สวรรค์เพียงหนึ่งเดียวของวิหาร”
เกอหยางที่อยู่ด้านข้างกล่าวต่อ “สถานะของจ้าวจิ้นคือกุนซือผู้ช่วยระดับสองของจวนเสินโหว มีฐานะเป็นชนชั้นสูง อีกอย่างพละกำลังก็ไม่ธรรมดา เพลงทวนยอดเยี่ยม หลินจื้อเจ้าจะต้องระวังไว้ หากสามารถเลี่ยงการเผชิญหน้ากับจ้าวจิ้นได้ก็เลี่ยงเสีย รู้หรือไม่”
“ขอรับ ผู้ดูแลเกอหยาง”
“เอาล่ะ แยกย้ายกันไปฝึกได้แล้ว”
“ขอรับ!”
กลางดึก แสงดาวส่องสว่างกลางจวนเสินโหวในเมืองหลวง
เจิ้งอี้ฝานเงยหน้าขึ้นมองดวงดาวที่สุกสกาวอยู่เต็มท้องฟ้า พลางทอดถอนใจ ใบหน้าที่เข้มแข็งเด็ดเดี่ยวฉายแววแห่งความหดหู่ออกมาวูบหนึ่ง “คิดไม่ถึงว่าผู้อาวุโสชางก็พลาดท่าเสียที จุดนี้ข้าคิดไม่ถึงจริงๆ”
เจิ้งฟางประคองถ้วยชาเดินเข้ามา “ท่านพ่อ ดื่มชาก่อนขอรับ! ท่านปู่ชางพลาดท่าเพราะชวีฉู่อยู่ในป่าล่ามังกรด้วย มิเช่นนั้นไอ้เด็กหลินมู่อวี่นั่นหัวจะต้องหลุดจากบ่าแล้วอย่างแน่นอน”
“เฮ้อ…”
สายตาของเจิ้งอี้ฝานมีแววเคร่งขรึม “การพลาดพลั้งครั้งนี้ของผู้อาวุโสชางเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น ฝ่าบาทจะต้องทรงทราบเรื่องที่ผู้อาวุโสชางคิดจะปลงพระชนม์ฉินอินเป็นแน่ และจวนเสินโหวก็จะตกที่นั่งลำบากไปด้วย ไม่ได้การ เราต้องชิงลงมือจัดการก่อน”
“จะชิงลงมือจัดการอย่างไรขอรับ” เจิ้งฟางงุนงง
เจิ้งอี้ฝานสายตาเย็นเยียบ “ส่งสารไปถึงผู้อาวุโสชาง ให้เขาไปฝึกยุทธ์ที่เขาฉินหลิ่งชั่วระยะเวลาหนึ่งก่อน! พรุ่งนี้ที่ค่ายเสินเวยจะประกาศออกหมายจับชางไป๋เฮ่อทั่วจักรวรรดิ ผู้ที่นำหัวของชางไป๋เฮ่อมาได้จะได้รับรางวัลหนึ่งล้านเหรียญทอง”
“ขอรับ ท่านพ่อ!”
เจิ้งฟางพยักหน้ารับคำด้วยความนอบน้อม จากนั้นจึงกล่าว “ว่ากันว่าหลินมู่อวี่ค้นพบโอสถชนิดหนึ่งที่เรียกว่าผงต่อเส้นเอ็น แล้วเอามารักษาจางเหว่ยจนหายเป็นปกติ สองคนนี้ยังคงมีชีวิตอยู่ ท่านพ่อ เราจะปล่อยให้มันเป็นแบบนี้หรือ”
“หลินมู่อวี่จะต้องตาย!”
เจิ้งอี้ฝานทุบหมัดลงบนราวบันไดอย่างแรง สายตาอาฆาตมาดร้าย เขายิ้มพลางกล่าวว่า “พรุ่งนี้จะเป็นวันฝึกทหาร ข้าได้สั่งการไปยังแม่ทัพจ้าวจิ้นแล้ว ตอนนี้เขาเป็นถึงราชันย์สวรรค์ วันฝึกทหารจะเป็นวันตายของหลินมู่อวี่!”
“ฮึ ขอรับ”
……
วิหารศักดิ์สิทธิ์ ภายในห้องที่เรือนด้านข้าง
“ซ่า ซ่า…”
จ้าวจิ้นค่อยๆ เช็ดด้ามทวนที่มันขลับ ทวนหลีฮวาด้ามนี้อยู่ข้างกายเขามานานหลายปี ผ่านการสู้รบเหนือจรดใต้มานับไม่ถ้วน พรุ่งนี้จะเป็นเวลาที่ทวนหลีฮวานี้จะได้ดื่มเลือดอีกครั้ง
“ชิ้ง!”
เมื่อพลิกข้อมือเบาๆ ก็เกิดเสียงที่ปลายทวนขึ้นทันที และส่องประกายสวยงาม
จ้าวจิ้นเช็ดทวนหลีฮวาต่ออย่างเอื่อยเฉื่อย ในสายตาไม่มีอารมณ์ความรู้สึกใดๆ คนที่สมควรตายก็ย่อมจะต้องตาย ต่อให้เขาจะมีชีวิตที่รุ่งโรจน์เพียงใด แต่ภายใต้ความแข็งแกร่งที่สมบูรณ์แบบ เขาก็ยากที่จะหลบหนีความตายพ้น
“ก๊อก ก๊อก…”
เสียงเคาะประตูของคนรับใช้ดังมาจากด้านนอก “ใต้เท้าจ้าวจิ้น อาหารมื้อดึกมาส่งแล้ว จะให้ข้าน้อยยกเข้าไปเลยหรือไม่ขอรับ”
“ไม่ต้อง คืนนี้ข้าไม่กินเนื้อ”
จ้าวจิ้นยิ้มอย่างเยือกเย็น หลังจากรอให้คนรับใช้เดินห่างออกไป เขาก็พูดกับตัวเองว่า “พรุ่งนี้ก็จะได้กินเนื้อแล้ว”
……
รุ่งสาง ภายในวิหารมีเสียงเป่าสังข์ดังกึกก้องไม่ขาดสาย ในที่สุดวันฝึกทหารก็มาถึง
หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จ หลินมู่อวี่ จางเหว่ย และคนอื่นๆ ก็ทยอยกันสวมชุดศึกใหม่เอี่ยมของวิหาร แต่หลินมู่อวี่สังเกตเห็นว่า ชุดศึกของตัวเองนั้นค่อนข้างจะประณีตและดูหรูหรากว่าของจางเหว่ยอยู่สักหน่อย ชุดคลุมสีขาวด้านหลังมีปักรูปดอกจื่ออินสีเงินเอาไว้ เขาเคยเห็นชุดคลุมของเฟิงจี้สิงกับฉินเหลยปักรูปดอกจื่ออินสีทอง คงจะเป็นความแตกต่างของสถานะ
ม้าศึกถูกจูงออกไปทีละตัว พอหลินมู่อวี่เจอม้าของตัวเองก็กระโดดขึ้นหลังม้า เขาเห็นเหลยหง เกอหยาง เจิ้งฟาง และสมาชิกผู้ดูแลระดับต่างๆ เดินอยู่เบื้องหน้า แล้วตามด้วยหลินมู่อวี่ เจิ้งซานเหอ และครูฝึกกับผู้ช่วยฝึกระดับดาวสีทอง จากนั้นจึงเป็นระดับดาวสีเงิน ระดับดาวสีทองแดง ระดับดาวเหล็ก และระดับชั้นอื่นๆ ในวิหาร การแบ่งระดับมีความเข้มงวดยิ่ง ไม่มีใครกล้ายืนข้ามระดับ
“ออกเดินทาง!”
หลังจากเหลยหงออกคำสั่ง ม้าก็เดินต่อกันเป็นทิวแถวออกจากวิหารอย่างรวดเร็ว ตรงออกไปนอกเมือง
วิทยาลัยเทพสงครามตั้งอยู่นอกเมือง เนื่องจากพื้นที่ในเมืองหลวงนั้นคับแคบเกินไป ไม่สามารถสร้างลานฝึกซ้อมที่กว้างขวางมากพอให้กับวิทยาลัยเทพสงครามได้ ใช้เวลาชั่วโมงกว่าๆ ก็มาถึงป่าลึกนอกเมือง ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าที่เป็นระเบียบเรียบร้อยมาแต่ไกล นักเรียนหนุ่มในชุดเครื่องแบบทหารสีน้ำเงินเข้มของจักรวรรดิกลุ่มหนึ่ง กำลังฝึกขี่ม้ายิงธนูกันอยู่
แต่เมื่อครูฝึกกับผู้ช่วยฝึกของวิหารผ่านมา นักเรียนกลุ่มนี้ก็หยุดการฝึกซ้อม และแสดงความเคารพให้เห็นกันแต่ไกล ภายในใจของนักเรียนนั้น ครูฝึกของวิหารล้วนเป็นความศักดิ์สิทธ์ที่มีตัวตนอยู่จริง
วิทยาลัยเทพสงครามเหมือนเป็นเมืองๆ หนึ่งเสียมากกว่า มีกำแพงสูงกว่าสิบเมตร โอบล้อมไปด้วยป่าเขากวาง ในความเป็นจริง ตอนที่ก่อสร้างสถานที่แห่งนี้ก็ได้ยึดเอาวิทยาลัยเทพสงครามเป็นเสมือนป้อมปราการในสงครามแล้ว ใช้ป้อมนี้โอบล้อมคุ้มครองเมืองหลันเยี่ยนไว้ที่จุดศูนย์กลาง เมื่อขบวนของวิหารเดินทางมาถึง ประตูใหญ่ก็ค่อยๆ เปิดออก กลุ่มคนบนหลังม้าก็ออกมาต้อนรับ ด้านหน้าสุดคือชายชราเคราขาวผู้หนึ่ง สวมใส่ชุดเกราะ ท่าทางเหมือนเป็นผู้อาวุโส เขาประสานหมัดคารวะพลางยิ้ม “ใต้เท้าเหลยหง ท่านมาถึงแล้ว พวกเราเหล่าอาจารย์และนักเรียนของวิทยาลัยเทพสงครามรอต้อนรับท่านอยู่นานแล้ว!”
เหลยหงก็ประสานหมัดคารวะตอบเช่นกัน “อาจารย์ใหญ่ฉินฮ่าวเกรงใจเกินไปแล้ว พวกเราเข้าไปด้านในเถอะ เวลาในวันฝึกทหารนั้นมีค่านัก!”
“ตกลง!”
หลังจากเข้าไปในวิทยาลัยแล้ว ด้านในนั้นกลับกว้างขวางอย่างน่าประหลาด นักเรียนทุกคนของที่นี่ล้วนสวมเครื่องแบบทหารของจักรวรรดิ ดูมีชีวิตชีวา แต่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้ชาย มาคิดดูแล้วภายในกองทัพนั้นมีผู้หญิงอยู่น้อยมาก อีกอย่างตามความเข้าใจของหลินมู่อวี่นั้นบนดินแดนชุ่ยติ่งนี้ ฐานะของผู้หญิงนั้นต่ำต้อยยิ่งกว่าจีนในยุคโบราณหลายเท่านัก แต่ยกเว้นผู้หญิงที่มีฐานะสูงศักดิ์อย่างฉินอินกับถังเสี่ยวซี แต่ถึงอย่างนั้น พวกนางก็ยังไม่สามารถรับตำแหน่งที่สำคัญในกองทัพได้อยู่ดี
ในไม่ช้า ลานทดสอบขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้า มันสามารถจุคนได้อย่างน้อยหลายพันคน บนอัฒจันทร์นั้นมีคนนั่งอยู่เป็นจำนวนมาก หลินมู่อวี่ใช้สายตาที่แหลมคมสอดส่องกวาดมองอย่างละเอียด เหรียญตราตรงปกเสื้อของคนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นดาวสีทอง ซึ่งหมายความว่าคนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นหัวหน้ากองพันขึ้นไป
หลังจากกลุ่มคนทยอยนั่งประจำที่แล้ว เกอหยางก็เริ่มขานชื่อครูฝึกและผู้ช่วยฝึกทีละคนไปเรื่อยๆ
ท้ายที่สุด เกอหยางก็ประกาศเสียงดัง “เริ่มการฝึกสนามแรก ครูฝึกระดับดาวสีทองแดง โจวเพ่ย คู่กับผู้ช่วยฝึกระดับดาวสีทองแดง เจียงเหยียน!”
ทั้งสองคนขึ้นไปบนเวที หลังจากการต่อสู้ผ่านไป ครูฝึกโจมตีผู้ช่วยฝึกจนล้มไปกองกับพื้น เหล่านักเรียนที่นั่งอยู่โดยรอบโห่ร้องออกมาทันที ด้านผู้ช่วยฝึกก็ลุกขึ้นยืนอย่างสะบักสะบอม ทำความเคารพอย่างนอบน้อม แต่ครูฝึกผู้นั้นแม้แต่จะชายตามอง ราวกับคนผู้นี้สมควรได้รับการปฏิบัติเช่นนี้แล้ว
หลินมู่อวี่ขมวดคิ้ว พวกครูฝึกนี่หยิ่งผยองกันเกินไปแล้ว
การฝึกซ้อมสาธิตมีขึ้นตลอดช่วงเช้า ภายในลานทดสอบด้านข้างเป็นการประลองตัวต่อตัวของนักเรียน ส่วนเจ้าหน้าที่ทหารระดับสูงเหล่านั้นก็ได้คัดเลือกนักเรียนที่ตนสนใจเอาไว้แล้ว หลินมู่อวี่ชมดูอยู่ตลอดช่วงเช้า การสาธิตของครูฝึกระดับดาวสีทองทั้งหมดถูกจัดให้อยู่ท้ายสุดในช่วงบ่าย ดังนั้นผู้ช่วยฝึกระดับดาวสีทองอย่างเขาก็ต้องรอให้ถึงช่วงบ่ายถึงจะเริ่มทำงาน