The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา - Ep.217 ผนึกจิ้งจองอัคนี
หลินมู่อวี่ทำลายผลงานที่ปรมาจารย์หลอมอาวุธอวี่จื้อหยานภาคภูมิใจจนย่อยยับ นี่เป็นข่าวที่น่าตกใจอย่างมาก ขุนนางส่วนใหญ่ต่างพนันว่าหลินมู่อวี่แพ้ ท่วาเขากลับเอาชนะได้อย่างง่ายดาย กระบี่ของอวี่จื้อหยานไม่เพียงหักครึ่งแต่แหลกเป็นชิ้นแทบจำสภาพเดิมไม่ได้!
“มู่มู่ชนะอย่างที่คาด!”
ถังเสี่ยวซียืนอยู่หลังเฟิงจี้สิงในฐานะเจ้าหญิงในชุดคลุมสีแดงเพลิงอันสง่างามเอ่ยขึ้นเป็นคนแรกด้วยความเชื่อมั่นในตัวหลินมู่อวี่อย่างเต็มเปี่ยม
ฉินอินที่ยืนยิ้มอยู่ข้างบัลลังก์จักรพรรดิเอ่ยขึ้น “เสด็จพ่อเป็นผู้ตัดสิน จะไม่ประกาศผลหน่อยหรือเจ้าคะ?”
ฉินจิ้นได้ยินดังนั้นจึงรีบตั้งสติ “ในฐานะผู้ตัดสิน ข้าขอประกาศให้หลินมู่อวี่เป็นผู้ชนะการทดสอบอาวุธในครั้งนี้ และจากการเดิมพัน…ท่านอวี่จื้อหยานจะต้องมอบเงินเดิมพันสองหมื่นเหรียญทองแก่องครักษ์หลินมู่อวี่! ข้าได้ยินมาว่าตระกูลอวี่จื้อคอยดูแลมณฑลเทียนชู่มาหลายปี สองหมื่นเหรียญทองคงไม่ทำให้ขนหน้าแข่งร่วงหรอกใช่หรือไม่?”
“เราขอน้อมรับการตัดสินพ่ะย่ะค่ะ!”
อวี่จื้อหยานยังคงหน้าเสีย หลังจากรับคำตัดสินจากจักรพรรดิแล้วจึงล้วงรายการจ่ายเงินจำนวนสองหมื่นเหรียญทองที่ลงชื่อด้วยลายมือของตนไว้จากอกเสื้อ ก่อนจะยื่นให้กับหลินมู่อวี่ด้วยสองมือ แววตาไร้ชีวิตเอ่ยขึ้น “หลินมู่อวี่ เงินเดิมพันเป็นของเจ้าแล้ว”
หลินมู่อวี่เก็บรายการจ่ายเงินไว้ในถุงสรรพสิ่งก่อนจะคำนับและกล่าว “ขอบพระคุณมากขอรับ ท่านอวี่จื้อหยานผู้ทรงเกียรติ”
“หามิได้”
อันที่จริงหลินมู่อวี่ไม่มีสิทธิ์ยืนอยู่ต่อหน้าขุนนางเช่นนี้เพราะตนเป็นเพียงแม่ทัพมังกรพเนจรอันดับหก และผู้ที่สามารถยืนประจัญหน้าได้มีเพียงแม่ทัพอันดับสามขึ้นไปเท่านั้น แต่ด้วยวันนี้มีงานประลองยุทธ์ ตำแหน่งทางทหารจึงได้รับการยกเว้น
หลินมู่อวี่มองไปยังฉินเหลยด้านหลังมีทหารสองนายยืนอยู่ คนแรกคือฉู๋ฉว๋ายเหมี่ยน ผู้บัญชาการองครักษ์มังกร และอีกคนคือจู้เก่ออวิ๋น ผู้บัญชาการองครักษ์พยัคฆ์ หลินมู่อวี่ที่เป็นผู้บัญชาการองครักษ์อินทรีจึงคิดจะเดินไปยืนกับฉินเหลย
หลินมู่หันหลังเดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าว อวี่จื้อหยานก็ตะโกนเรียก “ช้าก่อนหลินมู่อวี่!”
“มีอะไรหรือขอรับ?” หลินมู่อวี่หันไปมองต้นเสียง
อวี่จื้อหยานเอ่ยถามด้วยความสงสัย “จากที่ข้ารู้มา…อาวุธที่จะทำลายอาวุธระดับนิลได้ อย่างน้อยต้องเป็นระดับปราชญ์ขึ้นไป แล้วสัตว์วิญญาณที่ข้าเห็นเมื่อครู่ เจ้า…ไปเอากระบี่นี้มาจากไหน? ถ้าจะพูดให้ถูกมันเป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะมี ‘จิตแห่งช่างหลอม’ ขณะที่อายุยังน้อย เจ้าสร้างอาวุธปราชญ์ได้อย่างไรกัน?”
ถึงจะรู้ว่าตัดสินด้วยอายุไม่ได้ ถึงกระนั้นหากหลินมู่อวี่ไม่อธิบายให้ชัดเจนว่าใช้วิธีไหน อวี่จื้อหยานคงไม่ยอมเลิกราเป็นแน่แน่ หลินมู่อวี่ประสานกำปั้นคำนับและเอ่ยขึ้น “ไม่นานมานี้ มีฤาษีตนหนึ่งผู้มีทักษะในการหลอมแก่กล้าเดินทางผ่านมายังเมืองหลันเยี่ยนและไปพำนักอยู่ที่เขารังอินทรี ข้าจึงได้พูดคุยกับเขานิดหน่อย หลังจากนั้นข้าจึงจัดหาวัตถุดิบและขอให้เขาช่วยตีดาบจื่อยินให้องค์หญิง ท่านอวี่จื้อหยาน…เราพนันกันไว้ว่าดาบหลอมของใครจะแกร่งที่สุด แต่ไม่ได้บอกว่าต้องทำด้วยตนเองมิใช่หรือ?”
“อย่างนั้นรึ…”
อวี่จื้อหยานเผยรอยยิ้ม ในบรรดาคนรุ่นใหม่เขาคิดว่าตนเองคือสุดยอดปรมาจารย์ด้านการหลอมอาวุธ ด้วยสิ่งที่หลินมู่อวี่กล่าวเมื่อครู่ทำให้ความมั่นใจเขากลับมาอีกครั้ง เขาคำนับและเอ่ยขึ้น “ถึงท่านหลินมู่อวี่จะฉลาดแกมโกงในครานี้…ข้าก็ขอยอมรับความพ่ายแพ้แต่โดยดี เหรียญทองสองหมื่นเหรียญนี่ถือว่าเป็นของขวัญชั่วคราวให้แก่หน่วยองครักษ์อินทรีก็แล้วกัน อ้อ…”
“ขอบพระคุณสำหรับความเมตตาของท่านอวี่จื้อนะขอรับ!”
หลินมู่อวี่พูดตัดบทก่อนจะเดินไปหาฉินอินพร้อมกระบี่จื่อยินในมือ “ข้าแต่ฝ่าพระบาท ข้าขอพระบรมราชานุญาตในการมอบกระบี่เล่มนี้แก่องค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ”
ฉินจิ้นยิ้มอย่างมีความสุขก่อนจะกล่าว “แน่นอน เสี่ยวอินเป็นน้องสาวเจ้า เจ้ามีสิทธ์ชอบธรรมในการมอบให้นางโดยตรง เสี่ยวอิน…เหตุใดยังไม่มารับของขวัญจากพี่เจ้าอีกเล่า?”
ฉินจิ้นมองดูด้วยความยินดี เมื่อฉินอินจับชายชุดคลุมและเดินลงจากบัลลังก์ทองด้วยท่าทีสง่างาม ดวงตาคู่สวยจ้องมองหลินมู่อวี่ด้วยความสุข กระทั่งใบหน้าเรียวสวยมาหยุดอยู่ตรงหน้าหลินมู่อวี่พร้อมกับรอยยิ้มอันงดงาม “ขอบคุณสำหรับกระบี่จื่อยินเจ้าค่ะท่านพี่!”
ฉินอินที่สวยงามราวกับนางฟ้าทำให้หัวใจหลินมู่อวี่เต้นไม่เป็นจังหวะ เขายกกระบี่ขึ้นและกล่าว “เชิญองค์หญิงตรวจสอบดูเถิดขอรับว่าพระองค์พอพระทัยหรือไม่?”
“ข้าพอใจมาก”
ฉินอินรับกระบี่มาถือก่อนจะดึงมันออกจากฝัน “ชิ้ง” คมกระบี่รูปร่างเรียวยาวมีลายมังกรปรากฏจางๆ บริเวณโคนกระบี่มีตัวอักษร “ฉินอิน” ที่เขียนด้วยตัวหนังสือของนางสลักอยู่ เมื่อพลังวิญญาณจากกระบี่ถูกปลดปล่อย มีเพลิงปรากฏขึ้นรอบล้อมตัวอักษรอย่างน่าประหลาด ยิ่งไปกว่านั้น…ทั้งที่เพิ่งผ่านการปะทะรุนแรงกับกระบี่วิญญาณหยกของอวี่จื้อหยานมาแท้ แต่กลับไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนเลยสักรอย หากบอกว่าคมมีดนี้มีความแข็งแกร่งเท่ากระบี่แปดเล่มก็ไม่เกินจริง!
“เจ้าชอบหรือไม่?” หลินมู่อวี่ถามด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง
ฉินอินเก็บกระบี่เข้าฝักอย่างเบามือก่อนจะตอบ “อืม…ข้าชอบมาก ขอบพระคุณเจ้าค่ะท่านพี่”
“ดีใจที่เจ้าชอบ เช่นนั้นข้าคงต้องขอตัวก่อน”
“จริงสิ…เดี๋ยวท่านพี่ต้องเข้าร่วมงานประลอง เช่นนั้นจงสู้ให้สุดฝีมือเลยนะท่านพี่!”
“ข้ารู้แล้ว…ขอบคุณสำหรับกำลังใจนะ!”
หลินมู่อวี่หันกลับไปยืนด้านหลังฉินเหลยตามเดิม เขาไม่ควรแสดงความสนิทสนมกับฉินอินต่อหน้าการประชุมขุนนางมากจนเกินไป มิเช่นนั้นจะถูกกล่าวหาว่าปฏิบัติตัวไม่เหมาะสมเอาได้ อีกทั้งฉินอินยังเป็นถึงองค์รัชทายาทซึ่งไม่รู้ว่าเหล่าขุนนางคิดเช่นไรกับนางกันบ้าง เพราะการที่เขาเข้าตีสนิทกับฉินอินย่อมมีคนไม่เห็นด้วยมากมายเป็นแน่ และด้วยยังไม่แข็งแกร่งมากพอหลินมู่อวี่จึงไม่อยากก่อปัญหาขึ้นในตอนนี้ ต่อเมื่อกลุ่มมังกรผงาดเติบโตและมีกองกำลังกว่าแสนนายเมื่อไร…คงไม่มีสิ่งใดต้องกลัวอีก
ฉะนั้นต้องอดทนไปก่อนจนกว่าเวลานั้นจะมาถึง นี่เป้นสิ่งแรกที่หลินมู่อวี่ได้เรียนรู้เมื่อมายังโลกนี้
ฉินอินกระชับกระบี่จื่อยินแล้วเดินกลับไปนั่งบนบัลลังก์ข้างฉินจิ้นก่อนจะเอ่ยขึ้น “วันนี้เป็นวันสำคัญ การประลองยุทธ์ที่จัดขึ้นทุกสามปีเวียนมาบรรจบ บรรดาหนุ่มสาวทั้งหลายต่างเข้าร่วมเพื่อชิงความเป็นหนึ่ง ข้าเองก็อยากรู้ว่าใครจะได้เป็นผู้พิชิตเหรียญตรามังกรทอง เหล่าขุนนางทั้งหลายเราย้ายไปยังลานประลองเพื่อรับชมกันเถิด”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
ฉินจิ้นลุกขึ้นยืนในฐานะผู้นำและเดินลงจากบัลลังก์พร้อมกับควงแขนฉินอิน ฉินเหลยมองหน้าหลินมู่อวี่กับฉู๋ฮว๋ายเหมี่ยนเป็นสัญญาณให้ตามทั้งคู่ไป หลินมู่อวี่ยิ้มเมื่อฉินอินหันมามอง “ท่านพี่หายจากอาการบาดเจ็บหรือยังเจ้าคะ? ถึงจะบอกให้ท่านพี่ทำสุดความสามารถแต่ก็อย่าฝืนตัวเองไปนะเจ้าคะ”
“วางใจเถิด ข้าดีขึ้นมากแล้ว”
“เช่นนั้นก็ดีแล้วเจ้าค่ะ”
ถังเสี่ยวซีที่เดินอยู่ข้างๆ รีบเข้าประจบและเอ่ยขึ้น “มู่มู่ ในการประลองหากเจ้าพบกับถังปินท่านพี่ข้า เจ้าจงระวังตัวให้ดี ผนึกจิ้งจอกอัคนีของเขาบรรลุระดับเจ็ดแล้ว…อาจทำให้เจ้ารับมือยาก”
“ท่านพี่ของเสี่ยวซีงั้นหรือ?” หลินมู่อวี่ประหลาดใจ
ฉินอินที่ฟังอยู่อธิบายด้วยรอยยิ้ม “ตระกูลถังแห่งเมืองชีไห่มีบุตรชายทั้งหมดสามคน บุตรคนโตมีลูกสาวคือเสี่ยวซี คนรองมีลูกชายสองคนคือถังปินกับถังลู่ บุตรคนสุดท้องมีบุตรชายชื่อถังเทียน และบุตรหญิงชื่อถังเว่ย กล่าวกันว่าตระกูลถังแห่งเมืองชีไห่นั้น ถังปิน ถังลู่ และถังเทียนคือคู่แข่งคนสำคัญของเสี่ยวซี จนป่านนี้ยังไม่รู้ว่าใครจะได้สืบทอดตำแหน่งต่อไป!”
หลินมู่อวี่ยิ้ม “เท่าที่ข้ารู้ในตระกูลฉินเองคนที่จะได้รับสืบทอดคือคนที่แก่ที่สุด หากเป็นเช่นเดียวกัน…เสี่ยวซีที่เป็นลูกสาวคนโตก็สมควรได้รับโอกาสมากกว่าคนอื่นๆ มิใช่หรือ?”
ถังเสี่ยวซีส่ายหัวและยิ้ม “ไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิดหรอกมู่มู่ ตระกูลถังแห่งเมืองชีไห่ต้องฝึกฝนผนึกจิ้งจอกอัคนีเก้าระดับซึ่งเป็นวิชาที่สืบทอดภายในตระกูล และการฝึกที่ว่าต้องใช้วิญญาณยุทธ์จิ้งจอกอัคนีเพื่อช่วยเพิ่มพลังผนึก ดังนั้นใครก็ตามที่สามารถสร้างผนึกจิ้งจอกอัคคีได้แข็งแกร่งที่สุดถึงจะมีคุณสมบัติในการสืบทอด สำหรับข้าแล้ว…แทบไม่มีโอกาส!”
“เหตุใดจึงไม่มีโอกาสเล่า?” หลินมู่อวี่ไม่เข้าใจ
ถังเสี่ยวซียิ้มเจื่อน “เพราะ…ผนึกจิ้งจอกอัคนี้นั้นทรงพลังมาก ตั้งแต่ในอดีตจึงมีเพียงผู้ชายเท่านั้นที่จะฝึกฝนวิชานี้ได้…”
“เป็นเช่นนี้เอง…”
หลินมู่อวี่พยักหน้าเข้าใจ “เช่นนั้นเจ้าก็อย่าได้เศร้าใจไป…”
ถังเสี่ยวซีหัวเราะขัด “ข้าไม่สนอยู่แล้วล่ะว่าใครจะได้เป็นผู้สืบทอด ขอเพียงท่านปู่ยังรักข้าเหมือนเดิมก็พอใจแล้ว”
“อืม”
หลินมู่อวี่ไม่ได้กล่าวสิ่งใดต่อ บางทีการไม่ต้องการสิ่งใดเลยเช่นเสี่ยวซีอาจจะดีกว่าก็ได้
บริเวณด้านนอก เมื่อฉินจิ้น ฉินอิน ถังเสี่ยวซี ฉินเหลยและขบวนเสด็จมาถึงหน้าประตูตำหนักเจ๋อเทียน เหล่าประชาชนต่างมารวมตัวกันโห่ร้องกึกก้องไปทั่ว เพื่อโยนโฉมองค์จักรพรรดิและเจ้าหญิงของพวกเขา
“เตรียมพร้อมอารักขาองค์จักรพรรดิและองค์หญิงให้ดี!” ฉินเหลยตะโกนขึ้น
หน่วยองครักษ์มังกรและหน่วยองครักษ์พยัคฆ์แยกตัวทันทีที่ได้รับคำสั่ง เข้าห้อมล้อมขบวนเสด็จไว้ทั้งสี่ด้านเพื่อทำการอารักขาจักรพรรดิ เจ้าหญิง และบรรดาขุนนาง ทว่าการคุ้มกันในครั้งนี้ไม่มีการใช้โล่เพื่อให้ประชาชนได้ใกล้ชิดกับราชวงศ์ยิ่งขึ้น
เมื่อได้เห็นประชาชนทั้งหลายส่งเสียงให้กำลังใจ หลินมู่อวี่ก็รู้สึกตื้นตันเนื่องจากโอกาสจะเห็นภาพแบบนี้หาได้ยากนัก
ในฐานะผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์อินทรี ทำให้ตำแหน่งของหลินมู่อวี่นั้นอยู่ห่างไกลจากจักรพรรดิและฉินอินมาก เขาจึงต้องมาเดินกับเฟิงจี้สิงแทน ทั้งคู่จับด้ามอาวุธที่คาดไว้ตรงเอวขณะเดินไปด้วย ผ้าคลุมขาวที่สวมอยู่ก็ปลิวไสวไปตามแรงลมช่างเป็นภาพที่ดูสง่างามสมกับเป็นทหารกล้า
“ดูเหมือนจักรพรรดิของเราจะเป็นที่รักของคนได้ทั้งประเทศเลยนะ…” หลินมู่อวี่ยิ้มและหัวเราะออกมาเบาๆ
เฟิงจี้สิงขยับริมฝีปากกล่าว “ตั้งแต่พระองค์ได้ขึ้นครองราชย์ก็ทรงปกครองไพร่ฟ้าด้วยความเป็นธรรมมาตลอด ทรงงานอย่างหนักเพื่อลดภาษีใช้จ่ายของประชาชน ลดสงครามภายในของแปดจังหวัดทางตอนเหนือ ทำให้ผู้คนใช้ชีวิตได้อย่างเป็นสุข พวกเขาจึงให้การสนับสนุนจักรพรรดิขนาดนี้”
“ข้าเข้าใจแล้ว”
หลินมู่อวี่ไม่เอ่ยสิ่งใดต่อ ทุกคนย่อมรู้ดี…แม้ฉินจิ้นจะใจดีมีเมตตาถึงเพียงไหน ก็ไม่อาจลบล้างความจริงที่ว่าเขาไร้ความน่าเกรงขาม มิเช่นนั้นคงไม่เกิดการต่อต้านอย่างรุนแรงภายในกองทัพเช่นนี้
………………………