The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา - EP.219 เฟิงจี้สิงปลดปล่อยพลังศักดิ์สิทธิ์
‘เปรี้ยง!’
ฝักดาบกระแทกกับดาบของอีกฝ่าย หลินมู่อวี่ตวัดกระบี่วิญญาณมังกรไปที่โอวหยางจิงเทียนทันที ปราณยุทธ์ล้อมรอบฝักดาบแปรเปลี่ยนเป็นเกลียวเพลิง!
โอวหยางจิงเทียนตกใจจนรีบชักดาบกลับ ขณะที่ข้อมือปกคลุมไปด้วยปราณแท้และดาบเริ่มบิดเบี้ยวราวกับอสรพิษพันรอบกระบี่วิญญาณมังกร “เพลงดาบบิดเกลียว!”
ปราณยุทธ์ของหลินมู่อวี่พลันหายไปทันที ซึ่งทำให้การโจมตีของเขาไม่มีผล ทว่าก็มิได้กังวลนัก จากนั้นหลินมู่อวี่คลายฝ่ามือขณะที่กระบี่วิญญาณมังกรถูกพันธนาการ ก่อนจะปล่อยหมัดซึ่งปกคลุมไปด้วยปราณยุทธ์เข้าที่ไหล่ศัตรูทันที!
โอวหยางจิงเทียนหมุนตัวหลบอย่างรวดเร็วขณะที่ตวัดดาบออกไป!
‘ฉัวะ!’
หลินมู่อวี่เอนกายหลบขณะที่ยกมือขึ้นควบแน่นโซ่สายฟ้าเชื่อมฝ่ามือกับกระบี่วิญญาณมังกร ทันใดนั้น! กระบี่วิญญาณมังกรที่ถูกปัดออกไปพลันหมุนคว้างและแทงเข้าที่หลังโอวหยางจิงเทียนพร้อมฝักดาบอย่างรวดเร็ว!
‘เปรี้ยง!’
โอวหยางจิงเทียนได้รับความเสียหายอย่างหนักและไม่สามารถทนได้อีกต่อไป เขาเลือดออกเต็มปากและดวงตาฉายแววตื่นตระหนกขณะที่มองไปยังกระบี่วิญญาณมังกรซึ่งปกคลุมไปด้วยปราณยุทธ์ ก่อนจะกลับไปอยู่ในมือหลินมู่อวี่อีกครั้ง
“ข้าแพ้แล้ว…”
โอวหยางจิงเทียนลุกขึ้นยืนพร้อมประสานมือ “ท่านองครักษ์รักษาพระองค์หลินมู่อวี่มิได้รับเกียรติยศที่ควรได้รับ โอวหยางจิงเทียนได้รับการชี้แนะแล้ว! ทว่า…นั่นคือจิตควบคุมกระบี่ใช่หรือไม่?
หลินมู่อวี่พยักหน้า “อืม นั่นคือจิตควบคุมกระบี่ที่ได้รับสืบทอดมา”
“ขอบคุณสำหรับการชี้แนะขอรับ…”
…
หลังจากเสร็จสิ้นการต่อสู้ ชื่อของหลินมู่อวี่ก็เข้าสู่ยี่สิบสี่อันดับแรก
เขาเดินกลับไปที่อัฒจันทร์ผู้รับชม ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน เฟิงจี้สิง และคนอื่นๆ ต่างเข้ามาแสดงความยินดีด้วย แม้ว่าจะเป็นเพียงยี่สิบสี่อันดับแรก ทว่าก็เป็นการเปิดตัวต่อสาธารณชนครั้งแรกของหลินมู่อวี่!
การแข่งขันรอบถัดไปเป็นไปดังคาด เจิ้งฟาง อวี่เหวินเหลี่ยน หลิงเฟิง และชายหนุ่มผู้มีความสามารถโดดเด่นจากมณฑลต่างๆ เอาชนะได้อย่างง่ายดาย หลังจากนั้นไม่นานรายชื่อทั้งยี่สิบสี่คนก็ถูกเขียนบนกระดานไม้ด้วยสีทองซึ่งส่องแสงระยิบระยับภายใต้แสงอาทิตย์
การแข่งขันดำเนินต่อไป
ผู้เข้าแข่งขันเหลือเพียงยี่สิบสี่คน และส่วนใหญ่ก็คุ้นเคยกันดี เจิ้งฟางเมินหลินมู่อวี่ เฟิงจี้สิง และคนอื่นๆ ความบาดหมางระหว่างพวกเขามีมากเกินไป ส่วนถังปินจากตระกูลถังแห่งเมืองชีไห่ก็เข้าไปคุยกับพวกเจิ้งฟางและอวี่เหวินเหลี่ยน พวกเขาต่างจบการศึกษาจากวิทยาลัยเทพสงคราม ซึ่งถือว่าเป็นเพื่อนร่วมสถาบัน
อวี่เหวินเหลี่ยนถือกระบี่เล่มบางพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ผนึกจิ้งจอกอัคนีของคุณชายถังเข้าสู่ระดับเจ็ดแล้ว ควรแก่การเฉลิมฉลองยิ่งนัก ดูเหมือนว่าตระกูลถังแห่งเมืองชีไห่จะได้รับการสืบทอดต่อโดยคุณชายถังในภายภาคหน้า”
ถังปินเผยยิ้มจางๆ “คำชื่นชมจากท่านนายพลอวี่เหวินไม่ถูกนัก ข้ามิได้มีทักษะสูงมาก หวังเพียงเข้ารอบสิบอันแรกในการประลองยุทธ์เท่านั้น”
“ด้วยผนึกจิ้งจอกอัคนีระดับเจ็ด ท่านจะได้เข้ารอบสิบอันดับแรกอย่างแน่นอน คุณชายถังมิต้องเป็นกังวล ฮ่าๆ…”
หลิงเฟิงที่ยืนอยู่ไม่ไกลรู้สึกกังวลเล็กน้อย “การประลองยุทธ์ปีนี้ไม่ง่ายนัก ต้องรอดูว่าจะได้พบกับใครในรอบถัดไป หากต้องเจอกับเฟิงจี้สิง ฉินเหลย ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน และหลินมู่อวี่ คงเป็นการยากที่จะเอาชนะ ท่านอ๋องน้อยเจิ้งฟางคิดว่าอย่างไรขอรับ?”
เจิ้งฟางมีสีหน้ามุ่งมั่น “แค่พยายามให้ดีที่สุด แพ้หรือชนะก็ให้สวรรค์เป็นผู้ตัดสิน!”
“ฮ่าๆ ท่านอ๋องน้อยมีพลังยุทธ์ที่แข็งแกร่ง ทว่าเมื่อครั้งที่เป็นใต้เท้าในวิหาร ท่านได้ประลองดาบกับหลินมู่อวี่ ซึ่งผลออกมาเสมอกัน ดูเหมือนว่าหลินมู่อวี่จะมีทักษะอยู่บ้าง”
เจิ้งฟางเป็นผู้ที่เจ็บช้ำจากการพ่ายแพ้ครานั้น คำพูดของหลิงเฟิงจึงทำให้สีหน้าเจิ้งฟางเปลี่ยนทันที เขาพลันกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “หลินมู่อวี่ผู้นั้น…ก็เป็นเพียงขยะที่รู้วิธีฉกฉวยผลประโยชน์จากโอกาส คอยดูเถิด!”
“ฮ่าๆ แน่นอน ข้าจะตั้งตอรอดูเลย! จริงสิ ได้ยินมาว่าพี่สาวอ๋องน้อยเป็นสาวงามอันดับสามของเมืองหลวง และนางก็มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนแห่งองครักษ์รักษาพระองค์เมื่อเร็วๆ นี้ ดูเหมือนว่าจวนเสินโหวจะให้ค่ากับสถานะองครักษ์อวี้หลินเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องเอาชนะให้ได้?” หลิงเฟิงยิ้มเยาะ
เจิ้งฟางเลือดขึ้นหน้าและชักกระบี่ออกมาครึ่งหนึ่งทันทีพร้อมคำรามลั่น “หลิงเฟิง! หากเจ้าพูดมากอีก คิดหรือว่าท่านพ่อจะไม่ตัดลิ้นเจ้า? ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนผู้ไม่มีหัวนอนปลายเท้า คนธรรมดาไม่มีบรรดาศักดิ์เช่นนั้นจะคู่ควรกับพี่สาวข้าได้เยี่ยงไร? พี่สาวข้าเพียงตาบอดไปชั่วขณะ ไม่นานคงตระหนักได้ว่าฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนไม่คู่ควรกับนาง!”
“เช่นนั้นรึ?”
หลิงเฟิงประสานมือขณะที่หัวเราะ “ข้าได้พูดผิดไป หวังว่าท่านอ๋องน้อยจะให้อภัย”
“ฮึ่ม!”
ขณะที่เจิ้งฟาง หลิงเฟิง ถังปิน และคนอื่นๆ กำลัง ‘คุยกันอย่างสนุกสนาน’ พวกฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนก็แอบฟังจากระยะไกล เสียงของกลุ่มเจิ้งฟางดังมากจนยากที่จะทำเป็นหูทวนลม เฟิงจี้สิงพูดขึ้นขณะที่กำลังทำความสะอาดดาบสะบั้นวาโย “จวนเสินโหว จวนเจิ้นกั๋ว และจวนฮู้กั๋วมักแอบต่อสู้กันอย่างลับๆ ในเมืองหลวง หาได้ยากที่จะเห็นพวกเขาคุยกันเช่นนี้ ช่างตีสองหน้ากันเก่งยิ่งนัก!”
จากนั้นเฟิงจี้สิงก็เงยหน้ามองฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน “เจ้าเด็กนี่ ชอบเจิ้งเซียงจริงๆ หรือ?”
ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนตะลึง “คุณหนูเจิ้งเซียงเป็นผู้มีความพรสวรรค์และงดงาม นางสามารถทำให้หัวใจของฉู่มีความสุข แน่นอนว่ามันต้องเป็นความรัก ผู้บัญชาการเฟิงจะต่อต้านพวกเราหรือ? แม้ข้าจะพูดไปเช่นนี้…แต่ก็รู้ว่าจะต้องนำปัญหามาให้เป็นแน่”
เฟิงจี้สิงยิ้ม “ทุกคนมีชีวิตเดียวและแสนสั้น ไม่ง่ายเลยที่จะพบกับหญิงสาวผู้ทำให้หัวใจของเจ้ามีความสุข ในเมื่อชอบนาง ก็ต้องไล่ตามนางอย่างกล้าหาญ ข้าในฐานะสหายจะคอยสนับสนุนเจ้าเสมอ ทว่าความสัมพันธ์ระหว่างจวนเสินโหวและองครักษ์อวี้หลินตึงเครียดมาก ดังนั้นทางสายนี้คงมิสวยงามนัก”
ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนหดหู่ใจ “ข้ารู้…”
เฟิงจี้สิงยิ้ม “เรื่องระหว่างสหายเฒ่าฉู่กับเจิ้งเซียง พวกเจ้ามีความเห็นอย่างไร?”
ฉินเหลยพูด “ข้าไม่เข้าใจเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิง…”
ฉินเหยียนจึงพูด “หากท่านพี่ไม่เข้าใจ ข้าก็ไม่เข้าใจ…”
เฟิงจี้สิงพูดเสียงแผ่วเบา “อาอวี่ แล้วเจ้าล่ะ?”
หลินมู่อวี่นั่งอยู่บนก้อนหินและพูดอย่างเป็นการเอง “เป็นอย่างที่พี่เฟิงพูด ท่านควรไล่ตามนางอย่างกล้าหาญ หากชอบนางก็อย่าเสียใจกับสิ่งใดอีกเลย มีเพียงพี่ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนเท่านั้นที่จะปกป้องตนเองได้ เจิ้งอี้ฝานเป็นคนที่เหี้ยมโหดมาก ไม่มีใครรู้ว่าเขาจะจัดการพี่อย่างไร…”
ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนพยักหน้า “อื้ม ข้าจะระมัดระวังตัว”
…
ขณะเดียวกันการแข่งขันรอบที่สองก็ได้ประกาศขึ้นโดยมีทั้งหมดสิบสองนัด และครั้งนี้ก็เป็นการจับคู่อย่างลงตัว ซึ่งจอมยุทธ์หลายคนได้จับคู่กันเอง
เฟิงจี้สิงพบถังปิน
หลินมู่อวี่พบหลิงเฟิง
ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนพบเจิ้งฟาง
สำหรับฉินเหลยและฉินเหยียนนั้นโชคดีมาก คู่ต่อสู้ของพวกเขาไม่แข็งแกร่งนักซึ่งมีระดับต่ำกว่าขอบเขตนภา กระนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเข้าสู่ขอบเขตนภา มีจอมยุทธ์เพียงหยิบมือที่สามารถทะลวงขอบเขตนภาก่อนอายุสามสิบห้า ดังนั้นพวกหลินมู่อวี่ ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน เฟิงจี้สิง และคนอื่นๆ ล้วนถูกมองว่ามีพรสวรรค์ในสายตาคนภายนอก
เฟิงจี้สิงยกดาบขึ้นและปัดฝุ่นออกจากชุดเกราะ ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม “ข้าไปล่ะ”
“ระวังตัวด้วย ผนึกจิ้งจอกอัคนีของถังปินแข็งแกร่งมาก!” ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนเตือน
“วางใจเถิด เขามิใช่คู่ต่อสู้ของข้า”
ความมั่นใจของเฟิงจี้สิงเกือบจะเป็นหยิ่งผยอง ทว่ามิได้มีใครแคลงใจกับความทะนงตัวของเขา เฟิงจี้สิงเป็นผู้บัญชาการอายุน้อยที่สุดในจักรวรรดิ มีทหารอวี้หลินใต้บังคับบัญชาสามหมื่นนาย และกองทหารอีกสองหมื่นนายซึ่งกระจายกำลังออกไป ดังนั้นเฟิงจี้สิงเป็นผู้ที่แข็งแกร่งมากอย่างไม่ต้องสงสัย
ถังปินยังคงมีสีหน้าสงบนิ่ง ก่อนจะขึ้นไปบนลานและกล่าวทั้งรอยยิ้ม “ผู้บัญชาการเฟิงจี้สิงโปรดชี้แนะ ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอกันเร็วถึงเพียงนี้ในการประลองยุทธ์ ช่างเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ”
เฟิงจี้สิงเผยยิ้ม “คุณชายถังปินโปรดเมตตา อย่าปล่อยให้ข้าพ่ายแพ้อย่างน่าอนาถจนเกินไป”
“ถ่อมตัวเกินไปแล้ว”
“อืม!”
เฟิงจี้สิงตวัดดาบและเสียงหอนหมาป่าก็ดังขึ้น หมาป่าเพลิงสายฟ้าม่วงปรากฏขึ้นบนไหล่พร้อมปล่อยสายฟ้าแล่นแปลบบนใบดาบ ชุดศึกปลิวไสวตามสายลม คิ้วคมได้รูป และดวงตาเปล่งประกายราวกับดวงดารา ถึงแม้เฟิงจี้สิงจะยังไม่เริ่ม ก็ทำให้หญิงสาวนับไม่ถ้วนหลงใหลจนแทบกรีดร้องออกมาแล้ว!
ถังปินเผชิญหน้าเฟิงจี้สิงโดยปราศจากอาวุธ เขาฝึกฝนผนึกจิ้งจอกอัคนีมาทั้งชีวิต จึงไม่เกรงกลัวอาวุธใด
“เข้ามา!”
เฟิงจี้สิงเริ่มการโจมตีก่อน เขาตวัดดาบสะบั้นวาโยเพื่อสร้างลม จากนั้นก็ฟันออกไปด้วยพลังธาตุลมล้อมรอบใบมีด…พายุทะเลทรายคลั่ง!
ถังปินจะดูถูกพลังที่แข็งแกร่งเช่นนี้ได้อย่างไร…เขาถอยไปครึ่งก้าวพร้อมยกฝ่ามือซ้ายขึ้น ทันใดนั้น! ก็เกิดเปลวไฟพวยพุ่งเป็นเครื่องหมายกลางฝ่ามือ ถังปินคำรามลั่น “ผนึกปลดอรุณ!”
‘เปรี้ยง!’ เปลวไฟปะทะกับลมอย่างรุนแรงจนระเบิดขึ้น ส่งเฟิงจี้สิงและถังปินถอยหลังไปหลายก้าว พวกเขาเริ่มโจมตีอีกครั้งหลังจากรัศมีพลังคงที่ เฟิงจี้สิงควบแน่นปราณยุทธ์ก่อนจะกลายเป็นทรายลุกไหม้ล้อมใบดาบ ทันใดนั้น! ก็ตวัดดาบออกไปอย่างรวดเร็ว…ทรายอัคนีหลอมทอง!
ถังปินยังคงตั้งท่าเช่นเดิม ยกมือขวาพร้อมผนึกจิ้งจอกอัคนี้ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือ ผนึกจิ้งจอกชั้นที่สาม…ผนึกเพลิงคลั่ง!
‘ตูม!’
การฟันของเฟิงจี้สิงปกคลุมไปด้วยเปลวไฟซึ่งกลืนกินทุกสิ่งตรงหน้า ทรายอัคนีหลอมทองทะลวงผนึกของศัตรูแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เฟิงจี้สิงมิได้สนใจเสื้อคลุมที่ลุกเป็นไฟ ทั้นใดนั้นทั่วทั้งร่างกายก็ปกคลุมไปด้วยสายฟ้า ก่อนจะตวัดดาบอีกครั้งด้วยเพลงดาบเก้าวายุท่าที่สี่…ดาบสายฟ้าคลั่ง!
ถังปินเงยหน้าขึ้นฟ้า ในที่สุดใบหน้าเรียบเฉยของเขาก็เริ่มแปรเปลี่ยน ถังปินสัมผัสได้ถึงพลังอันล้นหลามส่งออกมาจากการฟันของเฟิงจี้สิง เขาพลันกางฝ่ามือและข้ามไปใช้ผนึกจิ้งจอกอัคนีชั้นที่ห้าผนึกเทพเทวา!
แสงสีทองปรากฏขึ้นขณะที่ถังปินผายฝ่ามือพร้อมปลดปล่อยพลังศักดิ์สิทธิ์!
‘ตูม!’
พลังปะทะกันอย่างรุนแรงกลางอากาศ เกิดคลื่นพลังกระจายเป็นวงกว้างจนทำให้เหล่าขุนนางบนอัฒจันทร์ส่งเสียงฮือฮา
ผผลสุดท้ายเฟิงจี้สิงถูกกระแทกด้วยผนึกเทพเทวาจนเลือดไหลมุมปาก ทว่าก็ยังคงสามารถประคองตัวอยู่บนอากาศ ปราณยุทธ์ของเขาเพิ่มขึ้นขณะที่หมาป่าเพลิงสายฟ้าสีม่วงส่งเสียงคำรามก้อง จากนั้นก็ยกดาบขึ้นพร้อมภาพมายาราชาปีศาจปรากฏขึ้นด้านหลัง! ปราณยุทธ์ของเฟิงจี้สิงแข็งแกร่งจนดูน่าเกรงขาม!
“พระเจ้า…”
ฉินเหยียนตกตะลึง “พลังยุทธ์ของเฟิงจี้สิงสูงถึงระดับนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
ฉินเหลยหรี่ตาลง “นี่คือท่าที่แปดของเพลงดาบเก้าวายุที่เฟิงจี้สิงสร้างขึ้นมาเอง…พลังปีศาจกลืนกินสวรรค์ ข้าเคยได้สัมผัสกับท่านี้มาก่อน…ซึ่งทรงพลังมากจนทำให้ข้ากระอักเลือด”
…
ถังปินที่อยู่ในสนามประลองเริ่มรู้สึกไม่ดี เฟิงจี้สิงกำลังจะตวัดดาบอันทรงพลังนั้น และถังปินคงทำได้เพียงต้านรับการโจมตี เปลวเพลิงลุกท่วมฝ่ามือทันทีก่อนจะโจมตีด้วยท่าที่แข็งแกร่งที่สุด…ผนึกปัญจธาตุ!
ทันใดนั้น! ธาตุพลังทั้งห้าก็ปรากฏขึ้นรอบตัวถังปิน ซึ่งได้แก่ โลหะ ไม้ น้ำ ไฟ และดิน หลอมรวมเป็นรัศมีทรงพลังทะยานสู่สรวงสวรรค์!
‘เปรี้ยง!’
เปลวเพลิงประสานกับสายฟ้าเกิดลมกระโชกไปทั่วลานประลอง
ทันใดนั้นเปลวเพลิงก็หายไป เฟิงจี้สิงจึงลอยลงมาบนพื้น เสื้อคลุมด้านหลังถูกไฟไหม้หายไปครึ่งหนึ่ง และใบหน้ายังคงสงบนิ่ง “ข้าชนะแล้วหรือ?”
‘อึก…’
ถังปินกระอักเลือดออกมาเต็มพื้น ทั้งตัวเต็มไปด้วยรอยเฉือน เขาสั่นสะท้านขณะที่ประสานมือกล่าว “พลังยุทธ์ของท่านผู้บัญชาการเฟิงจี้สิงไม่ธรรมดา ถังปินแพ้แล้วขอรับ!”
“ขอบคุณที่ท่านออมมือให้ แล้วข้าจะเลี้ยงสุราคุณชายถังปินเอง!”
“ขอรับ!”
………………………