The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา - Ep.255 ลาก่อนเสี่ยวอิน
หลินมู่อวี่แบกฉินอินวิ่งฝ่าสายลมอย่างรวดเร็ว เพื่อไม่ให้ฉินอินต้องปะทะกับการโจมตี แม้จะได้รับการฝึกร่างกายมาบ้างทว่าด้วยอาการบาดเจ็บทำให้อ่อนแอยิ่งนัก
กระทั่งหนีไม่พ้น หลินมู่อวี่จึงหันหน้าเข้ารับการโจมตีด้วยเกราะปราณ
“ปึก!”
แรงอัดกระแทกจากไม้บรรทัดเหล็กที่พุ่งมา ส่งผลให้หลินมู่อวี่ซี่โครงหักและกระอักเลือด ความปวดร้าวแผ่ซ่านจนขาทั้งสองข้างสั่นสะท้านเริ่มรับน้ำหนักไม่ไหว ทว่าก็ยังฝืนไปต่อ…ต้องไปให้ไกลกว่านี้แม้เพียงเล็กน้อยก็ยังดี
ซึ่งโอกาสทิ้งระยะไล่ล่ามาถึงแล้ว เนื่องจากขาที่บาดเจ็บของศัตรูทำให้มันวิ่งช้าลง
ไม่นานมีดเสียงปีศาจแหวกสายลมบินกลับเข้าฝักอย่างรวดเร็ว
หลังจากวิ่งมากว่าชั่วโมง ในที่สุดขาของหลินมู่อวี่ก็เริ่มล้า ทั้งยังอาการสาหัสจากแขนทั้งสองข้างอีก สติของหลินมู่อวี่เริ่มพล่าเลือนพร้อมจะสลบไปทุกขณะ
“เสี่ยวอิน ข้าเหนื่อยล้าเต็มทีแล้ว” หลินมู่อวี่เอ่ยอย่างอ่อนแรง
ฉินอินน้ำตาคลอพยักหน้าพลางกล่าว “อาอวี่เราเข้าใกล้จะถึงหุบเขาต้าวเจียงแล้ว…หยุดพักรักษาแผลก่อนเถิด นักฆ่าปริศนานั่นคงเลิกตามเราแล้ว”
“อืม”
เมื่อวางฉินอินกับพื้นสำเร็จหลินมู่อวี่ก็ทิ้งตัวลงในทันใด ขณะเดียวกันหมาป่าวาโยสีทองก็พุ่งพรวดออกมาจากชายป่าด้านข้าง มันกระดิกหางด้วยความดีใจเมื่อได้เจอผู้เป็นนายอีกครั้ง ฉินอินเข้าใจที่มันหนีไปเช่นนี้ ความหวาดกลัวต่อผู้ที่แข็งแกร่งอย่างนักฆ่าปริศนาเป็นสัญชาตญาณของมัน
ฉินอินล้วงกองโอสถหลากชนิดออกมาจากถุงสรรพสิ่ง หลินมู่อวี่เอ่ยขึ้นเมื่อตรวจสอบโอสถเหล่านั้นอย่างถี่ถ้วนแล้ว “นี่คือโอสถเทพประสาน…ช่วยรักษาแขนข้าให้ไม่กลายเป็นคนพิการได้ วานช่วยทาแผลให้ข้าที จากนั้นจงใช้โอสถฟื้นฟูและโอสถสีทองรักษาตัวเองด้วย เพราะแผลของเจ้าก็สาหัสไม่แพ้ข้าหากไม่รีบจะแย่เอาได้”
“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ แต่ข้าจะรักษาท่านพี่ให้เรียบร้อยเสียก่อน”
ฉินอินเร่งรักษาหลินมู่อวี่ ทว่าเมื่อเห็นข้อมืออันเหวอะหวะแล้ว ทั้งร่างก็สั่นเทิ้ม…พยายามฝืนน้ำตาไม่ให้ไหลและทายาตามแผลฉกรรจ์
หลินมู่อวี่นอนพักใต้ต้นสนแห้งด้วยความเหนื่อยล้า หลังจากได้รับการรักษาแล้วแขนขวาดูเหมือนจะเริ่มขยับได้เล็กน้อย เขาค่อยๆ ยกมันขึ้นแตะบ่าฉินอินพลางยิ้มกล่าว “อย่าโศกเศร้าไปเลย เราหนีรอดมาได้ก็นับว่าโชคดีแล้ว”
“เจ้าค่ะ”
ฉินอินปาดน้ำตาที่หยดย้อยก่อนจะเอ่ย “ไอ้สารเลวนั่นเป็นใครถึงได้แข็งแกร่งนักเจ้าคะ? พลังอันน่ากลัวนั่น…ทรงพลังยิ่งกว่าปรมาจารย์เสียอีก…”
“ใช่ ทักษะดาบของมันนับว่าอยู่ในระดับสุดยอด”
หลินมู่อวี่หลับตากล่าว “แม้แต่ข้าที่เป็นถึงผู้ชนะการประลองยุทธ์ยังไม่สามารถทำอะไรมันได้ อีกทั้งนักฆ่าผู้นี้ยังไม่ใช้วิทยายุทธ์เลยด้วยซ้ำ วิชาของมันแตกต่างจากเรา…เป็นพลังแห่งความมืดอันชั่วร้าย”
“ข้าเห็นด้วยเจ้าค่ะ”
ฉินอินพันแผลของหลินมู่อวี่ เมื่อได้เห็นคราบเลือดที่เปรอะเปื้อนเสื้อผ้า น้ำตาก็เริ่มคลอเบ้าอีกครั้ง “เจ้านักฆ่าปริศนานั่นคงเป็นเผ่าพันธุ์ที่เราไม่รู้จัก อย่างน้อยข้าก็ไม่เคยเห็นในตำราประวัติศาสตร์”
“ทั้งแท่งเหล็กที่เรียกว่าอาวุธและทหารมารที่เคยกล่าวถึงแท้จริงแล้วคือสิ่งใดกันแน่?”
“ข้าเองก็ไม่ทราบ ท่านพี่พอจะสัมผัสสิ่งใดได้จากพลังของมันหรือไม่เจ้าคะ?”
“ภายในพลังอันแข็งแกร่งนั้น ข้าสัมผัสได้ถึงเส้นด้ายจากมัน”
“เส้นด้ายหรือ?” ฉินอินถาม
หลินมู่อวี่ฉุกคิดครู่หนึ่งก่อนตอบ “เป็นเส้นด้ายที่มีความอาฆาตอันรุนแรงแฝงอยู่…ทว่ามันเกี่ยวข้องอย่างไรกับกองทัพมาร? ไหนจะแท่งโลหะที่เจ้านักฆ่านั่นใช้เป็นอาวุธสังหารอีก!”
…
ณ เส้นทางบนภูเขามีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้น
ใต้ต้นไม้สูงใหญ่ ผู้ชายท่าทางแปลกประหลาดคนหนึ่งกำลังลอยตัวอยู่กลางอากาศ แววตาสีแดงเลือดนั้นบ่งบอกถึงความคับแค้นที่สุมอยู่เต็มอก บริเวณขาขวามีแผลฉกรรจ์อันน่าสยดสยอง ราวกับถูกของมีคมฟันจนเกือบขาด ชายคนดังกล่าวใช้แท่งโลหะเข้าประคบแผลสด แสงสีเขียวที่เปล่งประกายออกมาจากมันช่วยเชื่อมประสานแผลลึกกระทั่งสมานกันอย่างรวดเร็ว เป็นภาพที่แปลกตาหาชมได้ยาก
“อืม…”
ชายแปลกประหลาดลืมตาขึ้นพลางถอนหายใจและบ่นพึมพำกับตัวเอง “มีผู้ฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่งในโลกมนุษย์ด้วยหรือนี่…จะว่าไปแล้วมีดบินของไอ้เด็กนั่นแปลกประหลาดยิ่งนัก แม้แต่พลังของข้ายังมิอาจมองเห็นได้ โชคยังดีที่มีแท่งเหล็กแห่งเก้าพระพุทธองค์อยู่ด้วย พลังของมันช่วยรักษาแผลให้หายไวขึ้น ต่อเมื่อข้าฟื้นตัวเสร็จเมื่อไร ข้าจะตามล่าสังหารไอ้ตัวปัญหานั่นให้สิ้นซาก!”
…
ด้วยโอสถรักษาขั้นสูงบวกกับพลังน้ำเต้าทองจึงทำให้หลินมู่อวี่ฟื้นฟูร่างกายได้อย่างรวดเร็ว ทว่าในขณะเดียวกันฝ่ายศัตรูนั้นรักษาตนจนใกล้หายดี และกำลังจะนำหายนะมาเยือนทั้งคู่ในไม่ช้า…
ลมเย็นสดชื่นพัดมาจากทางแม่น้ำต้าวเจียงที่ไกลออกไปอีกไม่กี่ไมล์
มื้อเย็นของทั้งคู่คืออาหารแห้งกับน้ำที่พกติดตัวมา ท่ามกลางอากาศอันเย็นยะเยือก ฉินอินไม่กล้าก่อกองไฟเนื่องด้วยกลัวศัตรูรู้ตำแหน่ง หลินมู่อวี่ที่ยังไม่หายจากอาการบาดเจ็บดีจึงเริ่มหนาวสั่น ฉินอินเมื่อเห็นดังนั้นจึงสงสารจับใจและเข้าไปโอบกอดให้ร่างกายมอบความอบอุ่นซึ่งกันและกัน
หลินมู่อวี่ปลดปล่อยทักษะชีพจรวิญญาณออกไปโดยรอบ ก่อนจะผ่อนคลายตนเองลงเล็กน้อย สาเหตุที่ต้องทำเช่นนี้เพราะนักฆ่าผู้นั้นสามารถเข้าประชิดตัวเขาได้อย่างง่ายดายด้วยทักษะซ่อนเร้นระดับเดียวกัน ดังนั้นหลินมู่อวี่จะประมาทไม่ได้
อย่างไรก็ตามอาการบาดเจ็บที่ยังไม่หายดี ทำให้หลินมู่อวี่ใช้ทักษะได้ไม่เต็มร้อยในตอนนี้
…
สองชั่วโมงต่อมา หลินมู่อวี่ที่สัมผัสได้ถึงจิตสังหารจึงรีบลืมตาโดยพลัน “เสี่ยวอิน มันใกล้เข้ามาแล้ว!”
ฉินอินตกตะลึงจนทำตัวไม่ถูก “เราจะทำอย่างไรกันดีเจ้าคะ?”
“ไปยังแม่น้ำต้าวเจียงให้ไวที่สุด!”
“ท่านพี่คิดจะทำสิ่งใดกันแน่?”
“ข้าไม่ได้จะทำสิ่งใด” หลินมู่อวี่ตอบพลางลุกขึ้นทั้งที่แขนยังคงห้อยอยู่ “ข้าเพียงคิดว่าเราจะมาตายตอนนี้ไม่ได้ หากเรายังอยู่ที่นี่หนทางเดียวก็คือตาย ทว่าหากเราไปหาสิ่งที่ทรงพลัง มันคงช่วยให้เรารอดชีวิตได้ไม่มากก็น้อย”
“ท่านพี่คิดจะใช้พลังของมังกรเกราะน้ำแข็งที่ก้นแม่น้ำช่วยหรือเจ้าคะ?” ฉินอินตกตะลึง
“แล้วเจ้ามีทางอื่นรึ? รีบไปกันเถิด!”
“ทราบแล้วเจ้าค่ะ…”
แม้ฉินอินจะไม่ยินดีนักที่ต้องกลับไปเจอกับมังกรเกราะน้ำแข็ง ทว่าหากเลือกได้ก็ไม่อยากตายด้วยน้ำมือของชายผู้นั้น นักฆ่าปริศนานั่นน่ากลัวกว่ามังกรร้ายเสียอีก!
เนื่องจากไม่มีม้าอยู่แล้ว ทั้งคู่จึงทำได้เพียงวิ่งไปตามถนนเท่านั้น โชคดีที่หลินมู่อวี่ไม่ได้รับบาดเจ็บที่ขา และการเคลื่อนไหวรวดเร็วก็ไม่ได้ส่งผงต่อบาดแผลที่มีอยู่มาก
แขนที่หักทั้งสองข้างแม้จะได้รับการรักษาแล้ว ทว่าก็ยังอ่อนแอและต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่กว่าจะจะฟื้นตัวสมบูรณ์ ซึ่งหากฝืนใช้งานมากก็อาจกลับไปหักจนกลายเป็นปัญหาได้อีก แต่ด้วยการถูกไล่ล่าครั้งนี้…หากไม่ใช้แขนช่วยคงต้องตายสถานเดียว
…
แม่น้ำใสสะท้อนแสงจันทราน่ามอง จะมีใครหารู้ไม่ว่าข้างใต้สายธารเย็นนั้นเต็มไปด้วยมังกรเกราะน้ำแข็งจำนวนนับไม่ถ้วนอยู่
จากการตรวจจับของทักษะชีพจรวิญญาณ พบว่าชายผู้นั้นใกล้เข้ามาทุกขณะ
หลินมู่อวี่ชักกระบี่วิญญาณมังกรออกอย่างเบามือ ก่อนจะใช้มันกรีดผิวหนังและหยดเลือดลงไปในแม่น้ำ ไม่นานนักเหล่ามังกรเกราะน้ำแข็งที่ได้กลิ่นคาวเลือดก็มาชุมนุมกัน หลินมู่อวี่ได้เพียงภาวนาให้พวกมันสามารถช่วยสกัดศัตรูได้สักนิดก็ยังดี
“เสี่ยวอิน เจ้าไปซ่อนหลังต้นไม้นั้นเสีย” หลินมู่อวี่ชี้ไปยังต้นสนยักษ์ที่อยู่ไม่ไกล
“ไม่เจ้าค่ะ”
ฉินอินปฏิเสธพลันเอ่ยด้วยแววตาจริงจัง “ข้าจะไม่ยอมเป็นตัวถ่วงอีก ครานี้ข้าจะปกป้องท่านพี่เองเจ้าค่ะ”
ฉินอินตัดสินใจอย่างแน่วแน่พร้อมกับโซ่เทวะสีทองที่ปรากฏขึ้นรอบกาย หลินมู่อวี่ทำได้เพียงยิ้มรับอย่างจำใจ “เช่นนั้นหากเรารอดไปได้ เจ้ากับข้า…เราหนีไปอยู่หุบเขาต้าวเจียงด้วยกัน!”
ฉินอินยิ้ม “ข้าเคยวาดฝันว่าโชคชะตาของข้าคือการได้เป็นจักรพรรดินี มิใช่มาตายเยี่ยงนี้ ฮ่าๆๆ ถึงกระนั้นก็ไม่เป็นไร…ต่อให้ต้องจบชีวิต…ก็ยังมีท่านพี่อยู่เคียงข้างข้า”
“อืม…” หลินมู่อวี่พยักหน้ารับ “มันมาแล้ว ล่อมันไปที่แม่น้ำกันเถิด”
“เจ้าค่ะ”
…
ไม่ไกลนัก นักฆ่าปริศนากำลังเดินถือดาบมาพร้อมกับเหล็กเทวะ เนื่องจากการกระหน่ำโจมตีด้วยพลังฌาณเจ็ดประทีปและมีดเสียงปีศาจของหลินมู่อวี่ ส่งผลให้พละกำลังนักฆ่าผู้นี้ลดไปกว่าครึ่ง นี่จึงเป็นโอกาสอันดีของหลินมู่อวี่และฉินอินในการเผด็จศึก
“เสี่ยวอิน เจ้าใช้กู่ฉินใช่หรือไม่?” หลินมู่อวี่ยิ้มถาม
ฉินอินล้วงกู่ฉินออกมาจากถุงนภาคราม พลางใช้มือกระชับมันแน่นด้วยความโกรธ โซ่เทวะสีทองเปล่งแสงเรืองรองล้อมรอบร่างขององค์หญิงราวกับชุดคลุม “เต๊ง…” เสียงดีดกู่ฉินสะท้อนคลื่นสีทองซัดสาดเข้าใส่นักฆ่าปริศนาโดยตรง
“หืม?”
นักฆ่าสังเกตเห็นการโจมตีจึงรีบหลบโดยพลัน คลื่นเสียงสีทองเฉือนต้นไม้เบื้องหลังจนขาดเป็นสองท่อน!
“ตาย!”
นักฆ่าส่งเสียงคำรามพลางกระโจนเข้าใส่ฉินอินอย่างรวดเร็วหมายจะใช้ดาบฟัน ทว่าใบดาบยังไม่ได้เหวี่ยงเขาก็ถูกเถาวัลย์น้ำเต้าที่พุ่งขึ้นมาจากพื้นรัดตัวไว้
“มีดเสียงปีศาจ!”
หลินมู่อวี่ออกคำสั่ง มีดเสียงปีศาจทะยานออกไปทันใด!
นักฆ่าตอบสนองอย่างรวดเร็วออกแรงกระชากเถาวัลย์จนขาด ก่อนจะหลับตาและควบคุมแท่งเหล็กเข้าสกัดกั้นมีดเสียงปีศาจของหลินมู่อวี่! “เคร้ง!” เพียงได้ลิ้มรสคมมีดเพียงครั้งเดียว เขาก็มองเห็นจุดอ่อนของมีดบินได้อย่างชัดเจน การจะป้องกันไม่ได้ขึ้นอยู่กับการมองเห็น แต่อยู่ที่การฟังเสียง!
“ถึงตาข้า!” ดาบยาวเหวี่ยงลงมาอย่างแรงหมายจะฟันเข้ากลางหัวฉินอิน!
หลินมู่อวี่รีบใช่ฝ่ามือผลักฉินอินออกก่อนดาบจะมาถึงพร้อมกับกล่าวทิ้งท้ายด้วยรอยยิ้ม “ลาก่อนเสี่ยวอิน…”
“ฟึบ!”
ฉินอินถูกผลักกระเด็นไปกว่าสิบเมตรหลบดาบสังหารได้อย่างฉิวเฉียด ขณะที่หลินมู่อวี่กางฝ่ามือเรียกเถาวัลย์น้ำเต้าออกมารัดศัตรูไว้ก่อนจะกระโดดลงไปใต้น้ำพร้อมกัน ภายใต้ลำธารอันเย็นยะเยือก กลุ่มก้อนพลังวิญญาณอันชั่วร้ายพุ่งเข้ามาหาเหยื่อทั้งสองอย่างรวดเร็ว!
………………