The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา - EP.303 เผ่าพันธุ์อสูรจู่โจม
EP.303 เผ่าพันธุ์อสูรจู่โจม
“ขอรับ.
หลินมู่อวี่พยักหน้าและกล่าวอย่างใจเย็น “ในตอนนั้นหากข้าไม่สังหารถังปิน เสี่ยวซีอาจต้องตายด้วยน้ำมือถังปินเป็นแน่”
“เฮ้อ…”
ชวีฉู่ถอนหายใจ “กระนั้น…ข้าเกรงว่าจะต้องเกิดข้อพิพาทขึ้น อีกทั้งถังปินยังตายด้วยคมดาบของเจ้า เมื่อถังห่าวและคนอื่นๆ กลับไปยังเมืองชีไห่ เรื่องนี้คงแพร่งพรายออกไป เช่นนั้นจะแก้ปัญญาได้อย่างไร?”
ฉินอินมองชวีฉู่ด้วยดวงตาเปล่งประกายและกล่าวว่า “ถังปินต้องการฆ่าเสี่ยวซี ทุกคนต่างประจักษ์ถึงเรื่องนี้ ตราบใดที่เราอธิบายเหตุผลแก่หลานกงอย่างชัดเจน ข้าเชื่อความรักที่หลานกงมีต่อเสี่ยวซีจะทำให้หลานกงเข้าใจและให้อภัย”
“ไม่”
ชวีฉู่ส่ายหัว “หากเสี่ยวซีเป็นผู้สังหารถังปิน หลานกงอาจยกโทษให้นางได้ เนื่องจากนางเพียงป้องกันตัวเอง ทว่าอาอวี่…เจ้าเป็นผู้สังหารถังปิน ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สามารถให้อภัยได้ ลองนึกถึงในความคิดของหลานกงดูสิ การที่ถังปินต้องการฆ่าเสี่ยวซี อย่างไรก็เป็นปัญหาภายในเมืองชีไห่ เหตุใดจึงกลับกลายเป็นอาอวี่ผู้ที่เป็นราชบุตรบุญธรรมเป็นผู้ลงมือ?”
ถังเสี่ยวซีอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกลัว “ข…ข้าไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี?”
ชวีฉู่ถอนหายใจและกล่าวว่า “ค่อยๆ แก้ปัญหาเถิด และดูว่าองค์จักรพรรดิจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร องค์หญิงอินและองค์หญิงซีต้องพูดเพื่อปกป้องอาอวี่ มิเช่นนั้นองค์จักรพรรดิอาจต้องเสียสละเพื่อรักษาบัลลังก์ต่อไป”
“เสียสละเพื่อรักษาบัลลังก์…”
ฉินอินเบิกตากว้าง “ม…ไม่! เสด็จพ่อจะต้องไปละทิ้งพี่อาอวี่เด็ดขาด…”
ชวีฉู่ยิ้ม “องค์หญิงอินทรงหลอกพระองค์เองจนเกินไป พระองค์มิทราบนิสัยขององค์จักรพรรดิหรือ ว่าแผ่นดินกับอาอวี่สิ่งใดสำคัญกว่ากัน องค์หญิงอินเข้าใจหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
ฉินอินนิ่งงัน
เฟิงจี้สิงพลันตบไหล่หลินมู่อวี่ “ไม่ต้องกังวล ทุกปัญหาต้องมีทางออกเสมอ อาวุโสฉู่พูดมีเหตุผล ทว่าอาอวี่…เจ้าต้องเข้าใจด้วยว่าตนเองเป็นราชบุตรบุญธรรม และเป็นจอมยุทธ์หนุ่มผู้มีความสามารถโดดเด่น อีกทั้งมีความสัมพันธ์อันดีกับเสี่ยวอิน องค์จักรพรรดิจำเป็นต้องให้เจ้าอารักขาองค์หญิงอิน เช่นนั้นพระองค์ทรงไม่ละทิ้งเจ้าแน่”
ชวีฉู่อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “คำพูดเฟิงจี้สิงนั้นเป็นความจริง!”
หลินมู่อวี่หันกลับมาถาม “อาวุโสฉู่ พลังของเสี่ยวซีตื่นขึ้นมาและกลายร่างเป็นอสูรจิ้งจอกเก้าหาง ข้าไม่รู้ว่าอาวุโสฉู่จะมีวิธีทำให้เสี่ยวซีกลับสู่สภาพเดิมได้หรือไม่ แม้ว่าเราจะไม่ได้รังเกียจรูปลักษณ์จิ้งจอกเก้าหางของนาง ทว่าก็ส่งผลต่อการใช้ชีวิตของเสี่ยวซี”
ชวีฉู่พยักหน้า “ข้าพอรู้เกี่ยวกับตำนานอสูรจิ้งจอกเก้าหางบ้าง และมีบันทึกเล็กน้อยในตำราโบราณ ในประวัติศาสตร์อันยาวนานนับหมื่นปี เราสูญเสียตำราต่างๆ ทุกครั้งที่เกิดสงคราม ข้าเกรงว่าคงไม่มีใครในแผ่นดินนี้รู้จักหรรือเคยเห็นอสูรจิ้งจอกเก้าหางมาก่อน เราคงเป็นคนกลุ่มเดียวเท่านั้น…”
“เช่นนั้นเราควรทำอย่างไรดี…” หลินมู่อวี่ตะลึง
ฉินอินกล่าว “โชคดีที่เสี่ยวซีสามารถควบคุมไฟในร่างกายได้ ตราบใดที่สวมเสื้อคลุมไว้ก็จะไม่มีใครเห็น แล้วเราค่อยช่วยกันแก้ปัญหา”
“อืม เป็นทางเดียวที่ทำได้ขณะนี้”
“กลับไปยังเมืองหลันเยี่ยนกันเถิด ในป่าล่ามังกรนี้ไม่ปลอดภัย”
“อื้ม!”
…
สามวันถัดมา ทุกคนกลับมาถึงเมืองหลันเยี่ยน
ภายในตำหนักเจ๋อเทียนเงียบสงัด ฉินจิ้นนั่งบนบัลลังก์สูงตระหง่านขณะที่เฝ้ามองชวีฉู่ หลินมู่อวี่ ฉินอิน เฟิงจี้สิง และถังเสี่ยวซี เดินเข้ามาเคียงข้างกันทั้งห้าคน
“เสี่ยวอิน ชวีฉู่ พวกเจ้ากลับมาแล้ว!” ฉินจิ้นยืนขึ้นอย่างตื่นเต้นและพูดว่า “เสี่ยวซีก็กลับมาเช่นกัน ดี ดีมาก…”
ถังเสี่ยวซีมองฉินจิ้นด้วยดวงตาสีทอง นางโค้งคำนับและกล่าวว่า “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเป็นห่วงพ่ะย่ะค่ะ”
ฉินจิ้นมองดวงตาของถังเสี่ยวซีแล้วรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยในใจ
ฉินอินพลันขยับม่านเปิดช่องเพื่อกล่าวกับทหารรักษาการณ์ “องครักษ์อวี้หลินและข้าราชบริพารทั้งหมดออกไปก่อน ข้าต้องการสนทนากับเสด็จพ่อเป็นการส่วนตัว พวกเจ้าอารักขาจากด้านนอกเท่านั้น”
ทุกคนประสานหมัดและกล่าวพร้อมกัน “พ่ะย่ะค่ะองค์หญิง!”
หลังจากทหารรักษาการณ์ออกไป ฉินจิ้นก็พยักหน้าและกล่าวว่า “ไม่เป็นไรแล้ว เสี่ยวซีให้ข้าดูเถิด”
ถังเสี่ยวซีค่อยๆ เปิดผ้าคลุมออก ทันใดนั้นใบหน้างามก็ปรากฏต่อหน้าองค์จักรพรรดิ หูคู่หนึ่งเปล่งประกายแสงเปลวไฟจางๆ และสั่นเล็กน้อย จากนั้นเสี่ยวซีเลื่อนมือไปปลดเชือกเสื้อคลุม ‘พรึ่บ’ ทันทีที่เสื้อคลุมหล่นลงมา หางเพลิงทั้งเก้าด้านหลังพลันกวัดแกว่งไปมาอย่างนุ่มนวลดูงดงามมาก
“อืม…”
ฉินจิ้นสูดหายใจเข้าลึก มองรูปลักษณ์ของถังเสี่ยวซีตรงหน้าด้วยความตกใจ นี่คืออสูรจิ้งจอกเก้าหางในตำนานอย่างแท้จริง…ทว่าเมื่อมองดีๆ นางก็ยังเป็นถังเสี่ยวซี!
“เสี่ยวซี เอาล่ะ” ฉินจิ้นโบกมือ
ถังเสี่ยวซีสวมเสื้อคลุมอีกครั้ง ก่อนจะก้มหัวและกล่าวว่า “ขอประทานอภัยที่เสี่ยวซีทำให้ฝ่าบาทเกรงกลัว”
“มิเป็นไร”
ฉินจิ้นพยักหน้าก่อนจะหันมองหลินมู่อวี่ “หลินมู่อวี่ รู้หรือไม่ว่าเจ้าได้ก่ออาชญากรรมขึ้น?!”
หลินมู่อวี่ก้าวไปด้านหน้าและพูดว่า “เสด็จพ่อ ข้าไม่รู้ว่าข้าก่ออาชญากรรมอะไร?”
ฉินจิ้นกล่าวด้วยสายตาที่น่าเกรงขาม “เรื่องการสังหารถังปินของเจ้าแพร่กระจายไปทั่วเมืองหลันเยี่ยน เจ้ายังจะแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องอีกหรือ? ลากหลินมู่อวี่มา แล้วตัดหัวมันซะ!”
“ไม่นะเสด็จพ่อ!” ฉินอินรีบคุกเข่าลง
ถังเสี่ยวซีเองก็คุกเข่าลงพื้นพร้อมกันและกล่าวว่า “ฝ่าบาท หลินมู่อวี่จำเป็นต้องสังหารถังปินเพื่อรักษาชีวิตกระหม่อม ได้โปรดทรงประทานอภัยให้แก่เขา หากฝ่าบาทลงโทษหลินมู่อวี่ในเรื่องนี้ ถังเสี่ยวซีเองก็ต้องได้รับโทษฐานความผิดเดียวกัน!”
ชวีฉู่ประสานหมัดกล่าว “ฝ่าบาท หลินมู่อวี่จำเป็นต้องฆ่าเพื่อช่วยชีวิตซึ่งเป็นความผิดที่ไม่หนักหนา กระหม่อมเชื่อว่าพระองค์มิควรลงโทษหลินมู่อวี่จนถึงแก่ความตายพ่ะย่ะค่ะ”
ฉินจิ้นกล่าวอย่างเฉยเมย “หลินมู่อวี่ ตั้งแต่โบราณกาล การสังหารผู้อื่นจะต้องชดใช้ด้วยชีวิต และเจ้าฆ่าถังปินผู้เป็นทายาทสืบทอดอันดับหนึ่งแห่งเมืองชีไห่ ข้าจึงจำเป็นต้องลงโทษ เจ้ามีข้อคัดค้านหรือไม่?”
หลินมู่อวี่เงยหน้ามองฉินจิ้นด้วยใบหน้าหม่นหมองและกล่าวว่า “ไม่มีพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท…”
หลินมู่อวี่รู้สึกทุกข์ใจ แม้จะรู้ว่าเป็นกลวิธีของจักรพรรดิ กระนั้นฉินจิ้นก็มองมายังราชบุตรบุญธรรมผู้นี้ด้วยสายตาโหดเหี้ยม หลินมู่อวี่รู้สึกได้ถึงความเย็นชาในจิตใจผู้คน อีกทั้งเขาเกรงว่านี่จะเป็นการร่วมมือเพื่อผลประโยชน์ระหว่างจักรพรรดิและขุนนางมากกว่าจะเป็นความสัมพันธ์ฉันพ่อลูก
ราชบุตรบุญธรรมของจักรพรรดิเป็นเพียงนามสมมุติ
ฉินจิ้นขบฟันแน่นขณะที่มองหลินมู่อวี่ “รอสักครู่…หลังจากจบการหารือ เจ้าควรไปรายงานตัวที่คุกลอยฟ้าเพื่อฝากขังเป็นการชั่วคราว”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ไม่ว่าฉินอินและถังเสี่ยวซีจะอ้อนวานมากเพียงใดก็ไม่มีประโยชน์ ฉินจิ้นเพียงสัญญาว่าจะไม่ประหารชีวิต ทว่ามิได้สัญญาว่าจะละเว้นโทษ หากฉินจิ้นไม่ลงโทษหลินมู่อวี่ เกรงว่าเมืองชีไห่อาจส่งราชทูตมายังเมืองหลันเยี่ยนเพื่อเจรจา
…
ขณะเดียวกันผู้ส่งสารพลันเข้ามา “ฝ่าบาท เหตุฉุกเฉินทางการทหารพ่ะย่ะค่ะ!”
ทุกคนต่างตกตะลึง เมืองที่เงียบสงบและปลอดภัยเช่นนี้ เหตุฉุกเฉินทางการทหารมาจากที่ใดกัน?
ฉินจิ้นเลิกคิ้วและกล่าวว่า “ว่ามา เหตุฉุกเฉินทางการทหารมาจากที่ใด?”
นายพลทหารกล่าวอย่างเคารพ “เหตุฉุกเฉินทางการทหารมาจากเมืองหน้าด่านอสูรทางตะวันตกของเมืองหลันเยี่ยน มีเผ่าพันธ์อสูรจำนวนมากมารวมตัวกันที่นั่น และอาจบุกมาได้ทุกเมื่อ หน่วยลาดตระเวนรายงานว่าครานี้เผ่าพันธุ์อสูรมีกองกำลังกว่าสองแสนตน!”
“อะไรนะ!?”
ฉินจิ้นยืนขึ้นกะทันหัน ความโกรธเกรี้ยวปรากฏขึ้นบนใบหน้า “เผ่าพันธุ์อสูรจากป่านิรันดร์ต้องการสร้างปัญหาอีกรึ? หึ! เหตุการณ์ที่กองทหารแห่งจักรวรรดิกวาดล้างป่านิรันด์เมื่อยี่สิบปีก่อน พวกมันต้องการสัมผัสประสบการณ์นั้นอีกครั้งสินะ?”
ชวีฉู่ประสานหมัดกล่าว “ฝ่าบาท เผ่าพันธุ์อสูรอยู่ในป่านิรันดร์อย่างสงบสุขมานานหลายสิบปี ครานี้พวกมันลำเส้นเขตแดนอีกครั้ง เราควรส่งแม่ทัพผู้โดดเด่นไปยังประตูเมืองอสูร มิเช่นนั้นหากประตูถูกทำลาย และกองทัพอสูรทะลวงเข้ามาในเมืองหลันเยี่ยน กระหม่อมเกรงว่าอาจจะสายเกินไปพ่ะย่ะค่ะ”
ฉินจิ้นพยักหน้า “เช่นนั้นอาวุโสฉู่ต้องการแนะนำผู้ใด?”
“หลินมู่อวี่” ชวีฉู่ยิ้มเล็กน้อย “เนื่องจากเขามีประสบการณ์ในการทำศึก”
“ไม่ได้ หลินมู่อวี่เป็นนักโทษ และไม่สามารถนำทัพ”
ฉินจิ้นกล่าวด้วยสายตาน่าเกรงขาม “มาเถิด ให้แม่ทัพพิทักษ์เมืองอวี่เหวินเซี่ยเคลื่อนทัพไปยังประตูเมืองอสูรทันที เผ่าพันธุ์อสูรทั้งสองแสนตนนั้นกำลังปิดกั้นเส้นทางตะวันตกของเมือง”
“พ่ะย่ะค่ะ!” อวี่เหวินเซี่ยกล่าวด้วยความเคารพ
ฉินจิ้นพลันออกคำสั่งอีกครั้ง “ขณะนี้เรามีกองทหารเพียงหนึ่งหมื่นนายซึ่งไม่เพียงพอที่จะต้านทานกองทัพอสูร ให้นกส่งสารไปเมืองหน้าด่านชีไห่ และขอให้ตู้ไห่ส่งกองกำลังสามหมื่นนายมาเพื่อเสริมกำลังแก่ทหารแห่งจักรวรรดิ”
“พ่ะย่ะค่ะ!” ผู้ส่งสารรับคำสั่งและเดินจากไป
…
เผ่าพันธุ์อสูรไม่ได้ย่างกรายเข้าป่าในแผ่นดินใหญ่เป็นเวลากว่ายี่สิบปี ขณะนี้พวกมันได้ยกกองทัพมาอย่างดุเดือด ทว่าฉินอิน ถังเสี่ยวซี และคนอื่นๆ มิได้รู้สึกหวาดกลัว เนื่องจากเมื่อครั้งที่เผ่าพันธุ์ปีศาจเข้ารุกรานแผ่นดินใหญ่ พวกเขายังไม่เกิด ต่างจากชวีฉู่ที่เข้าใจถึงพลังของเผ่าพันธุ์อสูรเป็นอย่างดี ชวีฉู่พลันประสานหมัดและกล่าวว่า “ฝ่าบาท กองทัพสี่หมื่นนายไม่เพียงพอที่จะหยุดการรุกรานของเผ่าพันธุ์อสูรได้ เราต้องการทหารฝีมือดีอย่างน้อยหนึ่งแสนห้าหมื่นนายเพื่อต่อต้านมันพ่ะย่ะค่ะ!”
“ข้ารู้”
ฉินจิ้นพยักหน้า “ทว่ากองทหารแห่งจักรวรรดิในเมืองหลวงส่วนใหญ่ถูกส่งไปนอกเมือง มณฑลชางหนาน มณฑลเทียนชู่ และมณฑลอวิ้นจงอยู่ห่างไกลเกินไปและคงไม่สะดวกที่จะส่งกองกำลังมา มีเพียงมณฑลชีไห่เท่านั้นที่อยู่ใกล้เมืองหลวงมากที่สุด แต่…อาอวี่เพิ่งสังหารถังปิน เช่นนั้นแล้วหลานกงจะยอมส่งกองกำลังมาสมทบเราได้อย่างไร?”
ถังเสี่ยวซีเงยหน้าขึ้น “ฝ่าบาท หากจำเป็น เสี่ยวซียินดีไปเมืองชีไห่ด้วยตนเองและขอให้ท่านปู่ส่งกองกำลังมาช่วยเมืองหน้าด่านอสูรพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม นั่นคือทางเดียวที่เป็นไปได้ คงต้องรบกวนเสี่ยวซีแล้ว”
ฉินจิ้นนั่งลงบนบัลลังก์ “อาวุโสฉู่ไปเมืองชีไห่กับเสี่ยวซีและขอกองกำลังหนึ่งแสนนายมาให้ได้ มิเช่นนั้นข้าคงต้องใช้ทหารค่ายเขาเหินและกองทัพองครักษ์เพื่อต้านทานศัตรูเท่านั้น”
ชวีฉู่ตอบรับ “พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทอย่าทรงเป็นกังวล!”
ชวีฉู่และถังเสี่ยวซีหันกลับ นางมองไปยังหลินมู่อวี่และกล่าวว่า “มู่มู่ เจ้าจะต้องไม่เป็นไร โปรดรอข้ากลับมา…”
หลินมู่อวี่พยักหน้าโดยไม่พูดอะไร
…
หลังจากจบการหารือ แม่ทัพพิทักษ์เมืองอวี่เหวินเซี่ยได้นำกองทัพไปยังเมืองหน้าด่านอสูรเป็นการส่วนตัวเพื่อบัญชาการรบ
ส่วนหลินมู่อวี่ถูกพาไปยังคุกลอยฟ้าโดยองครักษ์สองนาย เป็นครั้งแรกที่เขาได้สัมผัสคุกในเมืองหลันเยี่ยน ช่างเป็นรสชาติชีวิตที่ขมเป็นพิเศษ
โชคดีที่คุกลอยฟ้าได้รับการคุ้มกันโดยกองทัพทหารแห่งจักรวรรดิ แม้ว่าหลินมู่อวี่จะถูกส่งมายังคุก ทว่ายศตำแหน่งของเขายังอยู่ ดังนั้นผู้คุมจึงค่อนข้างสุภาพ อีกทั้งฉินอินมาเยี่ยมหลินมู่อวี่ทุกวันเวลาเย็นเพื่อนำอาหารมาให้ หลินมู่อวี่รู้สึกว่าการอยู่ในคุกครานี้ เป็นดั่งการพักร้อนพร้อมมีองค์หญิงโฉมงามที่ใครต่างก็ต้องอิจฉา